เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 170.2
เล่ม 4 บทที่ 170.2
สามวันต่อมา
ในที่สุดราชโองการสั่งห้ามก็ถูกส่งมาถึงเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย
ชนชั้นสูงทั้งหลายที่ได้ยินข่าวต่างก็เชื่อว่าเรื่องคราวนี้จะกลายเป็นศึกสงครามที่กินระยะเวลายาวนาน มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า สุดท้ายบางทีเรื่องทั้งหมดนี่อาจจะจบลงด้วยการแต่งงานก็เป็นได้
เพราะผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้เกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ขึ้นมาได้แค่เพราะการแต่งงานของบุตรสาวเพียงหนึ่งเดียวของเบเจอร์ ลอมบาร์เดีย
แต่ลอมบาร์เดียก็โต้ตอบกลับทันทีราวกับเฝ้ารอจังหวะอยู่ก่อนแล้ว
กลุ่มการค้าลอมบาร์เดียในเมืองหลวงปิดประตูลงทันที และกลุ่มก่อสร้างลอมบาร์เดียกับกลุ่มคมนาคมลอมบาร์เดียต่างก็พากันถอนตัวออกจากเมืองหลวง
เมืองใหญ่อย่างเมืองหลวงที่เชื่อมต่อเข้ากับเมืองอื่นๆ ได้อย่างราบรื่นมาโดยตลอด เพียงพริบตาจึงเริ่มเกิดรอยร้าวขึ้น มีเสียงโวยวายจากกลุ่มการค้าขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลางที่เคยพึ่งพาอาศัยการคมนาคมลอมบาร์เดียมาโดยตลอดเช่นกัน
เพียงแค่วันเดียวทุกคนต่างก็ตระหนักได้ถึงความเป็นจริง
อำนาจอันแสนยิ่งใหญ่ในอาณาจักรแห่งนี้ที่ตระกูลลอมบาร์เดียเป็นผู้ครอบครอง
เซรัลแจ้งข่าวเรื่องนี้ให้ลาลาเน่ฟังตั้งแต่เช้าตรู่
“ตอนนี้รู้หรือยังล่ะ เจ้าทำเรื่องใหญ่โตแค่ไหนลงไป ลาลาเน่”
“ท่านแม่…”
ลาลาเน่กำลังอ่อนไหวอย่างรุนแรงตามความคาดหมายของเซรัล
แตกต่างจากที่ผ่านมาที่เอาแต่ปิดปากเงียบด้วยความดื้อรั้น ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องเฝ้าดูแลกระถางดอกไม้และแจกันที่เอามาจากเรือนกระจก
เบเจอร์จึงฉวยจังหวะนี้ตำหนิเสียงเข้ม
“รู้หรือไม่ว่าราชโองการสั่งห้ามมันเป็นบทลงโทษที่ร้ายแรงแค่ไหนสำหรับชนชั้นสูง ไม่รู้ว่าเรื่องคราวนี้จะทำให้ลอมบาร์เดียต้องแบกรับความเสียหายมากแค่ไหนด้วย”
ลาลาเน่ไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้เลย
อย่างที่ทุกคนในครอบครัวบอกกับนาง เรื่องทั้งหมดนี่เป็นความผิดของนางคนเดียว
เงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวังเหลือบมองเบเลซักผู้เป็นน้องชาย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงแค่สายตาเย็นชาเท่านั้น
นางทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นจริงๆ เหรอ ก็แค่อยากแต่งงานกับคนที่รักเท่านั้นเองแท้ๆ แค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเท่านั้นเอง
ชั่วเสี้ยววินาที ลาลาเน่รู้สึกราวกับใจที่เคยแน่วแน่เริ่มสั่นคลอนขึ้นมาเสียแล้ว
“ถ้าเจ้าชายลำดับที่หนึ่งได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท เจ้าก็จะกลายเป็นถึงพระชายาเชียวนะ ลาลาเน่ และเมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็จะได้เป็นจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรแลมบลู พวกคุณหนูตระกูลอื่นต่างก็กระหายอยากครอบครองตำแหน่งนั้นกันทั้งนั้น แล้วทำไมเจ้าถึงไม่อยากเป็นกัน”
เซรัลเอ่ยว่าราวกับอึดอัดใจเป็นอย่างมาก
“ชอบไอ้บ้านนอกตระกูลรูมันอะไรขนาดนั้นกัน นอกจากหน้าตาหล่อเหลาแล้ว ก็ไม่มีอะไรเทียบชั้นเจ้าชายลำดับที่หนึ่งได้เลยสักนิด!”
เบเลซักตะโกนอย่างเย่อหยิ่ง
“ข้าน่ะ ข้า…”
เพียงแค่นึกถึงอาบีน็อกซ์ขึ้นมา นัยน์ตาของลาลาเน่ก็เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา กระทั่งตอนนี้ลาลาเน่ก็ยังคงคิดถึงอาบีน็อกซ์ทั้งรอยยิ้มอ่อนโยน ทั้งมืออบอุ่นที่คอยเอาใจใส่นางเป็นอย่างดีคู่นั้น แค่ได้อยู่ข้างกายอาบีน็อกซ์ นางก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวสิ่งใด ทั้งยังสูดลมหายใจได้ปลอดโปร่งไร้ซึ่งความกังวล
‘แต่สำหรับนางแล้ว มันอาจจะเป็นความสุขที่มากเกินไปก็ได้’
ลาลาเน่ได้แต่ยิ้มขมขื่น
และราวกับอ่านความรู้สึกในใจของเด็กสาวออก เบเจอร์รีบเอ่ยต่อทันที
“ท่านชายน้อยรูมันเองก็คงลำบากมากทีเดียว จากที่ได้ยินมาเห็นว่าไม่ไปปรากฏตัวในงานพบปะทางสังคมสักแห่ง ไม่ยอมออกมานอกคฤหาสน์เลยด้วยซ้ำ ก็คงจะไม่กล้าเงยหน้ามองคนอื่นนั่นแหละ”
“ถ้าเป็นข้าก็คงทำเหมือนกันครับ เพียงแค่เพราะการมีคนรัก กลับทำเอาวุ่นวายกันไปทั้งอาณาจักรแบบนี้ บางทีคงอับอายมากจนต้องหนีกลับตะวันออกไปเลยก็ได้”
เบเลซักเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอ
สุดท้ายหยาดน้ำตาเม็ดกลมก็ไหลรินลงมาจากนัยน์ตาของลาลาเน่จนได้
เซรัลลูบศีรษะของลาลาเน่ด้วยความอ่อนโยนพลางพูดปลอบ
“ในบรรดาชนชั้นสูงจะมีสักกี่คนกันที่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก ลาลาเน่ อย่างไรนี่ก็ไม่ต้องย้ายไปไกลจากเขตแดนของลอมบาร์เดียเสียหน่อย หากเป็นพระราชวังที่ครอบครัวสามารถไปเยี่ยมเจ้าได้ทุกเมื่อ เจ้าเองก็คงจะเศร้าน้อยลงบ้างไม่ใช่หรือ”
“มันก็จริง แต่ว่า…”
“แถมองค์จักรพรรดินีเองก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า พระองค์สัญญาแล้วว่าจะดูแลเจ้าไม่ต่างจากบุตรสาวแท้ๆ การแต่งงานครั้งนี้จะช่วยให้พวกเราทั้งหมดได้เป็นครอบครัวเดียวกันนะ”
เสียงอ่อนหวานทำให้ลาลาเน่รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ
ท่านแม่เป็นห่วงเธอมากจริงๆ สินะ
ถ้าอย่างนั้น หากบอกท่านแม่ว่า ท่านอาบีน็อกซ์เป็นชายหนุ่มที่ดีต่อเธอขนาดไหน บางทีท่านอาจจะเข้าใจความรู้สึกของเธอขึ้นมาบ้างก็ได้หรือเปล่า
ความหวังเอ่อล้นขึ้นมาในอก
ลาลาเน่เปิดปากพูดเสียงแผ่วจนแทบไม่มีใครได้ยิน
“ท่านแม่ แต่ข้าชอบท่านอาบีน็อกซ์…”
“โอ๊ย จริงๆ เลย!”
จู่ๆ เบเลซักก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง แล้วโวยวายเสียงดัง ก่อนจะตำหนิลาลาเน่
“ท่านพี่คิดจะทำตัวแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน”
“เบเลซัก…”
“เห็นสถานการณ์ตอนนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีกหรือไง แค่ท่านพี่ยอมเสียสละคนเดียว ทุกคนก็จะได้มีความสุขกันแล้ว!”
“…ว่ายังไงนะ”
เสียงของลาลาเน่สั่นเครือ นางแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
ถึงแม้จะชอบทำตัวโหดร้ายกับคนอื่นอยู่เสมอ แต่สำหรับลาลาเน่ผู้เป็นพี่สาวแล้ว ยังไงเบเลซักก็ยังเป็นน้องชายที่นางรักอยู่ดี แต่นี่มัน
“ต่อให้ตามืดบอดหลงไอ้บ้านนอกรูมันหัวปักหัวปำก็เถอะ! ถ้าท่านพี่ยอมแต่งงานกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง ทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ ทั้งข้า ต่างก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการกันทั้งนั้น!”
“…สิ่งที่ต้องการ?”
“ใช่!แล้วท่านพี่ยอมเสียสละแค่นี้เพื่อครอบครัวไม่ได้หรือไง เอาแต่พูดถึงไอ้อาบีน็อกซ์ อาบีน็อกซ์นั่นอยู่ได้! จะตามืดบอดหลงผู้ชายมากกว่าครอบครัวแค่ไหน ก็ควรจะมีขอบเขตบ้างสิ! ตั้งสติได้แล้ว!”
ลาลาเน่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
ราวกับมีใครมาทุบศีรษะของนางด้วยหินก้อนใหญ่
พอลองกวาดสายตาหันไปมองรอบๆ อย่างช้าๆ ทั้งท่านพ่อและท่านแม่ต่างก็ปิดปากเงียบเห็นด้วยกับความเห็นของเบเลซักกันหมด
เหมือนกับทุกคนกำลังบอกว่า ‘แค่เจ้ายอมเสียสละคนเดียวก็จบเรื่อง’
และในตอนนั้นเอง นางก็พลันนึกถึงคำพูดที่เทียเคยพูดขึ้นมา
“ครอบครัวของลาลาเน่ต้องการที่จะสละเจ้าเพื่อตัวเอง คนที่ทำเรื่องเช่นนั้นไม่ใช่คนที่น่าซาบซึ้งในพระคุณหรอกนะ”
นางเคยหวังว่าคำพูดนั้นจะเป็นเรื่องไม่จริง แต่ก็เฉกเช่นทุกคราว คำพูดของเทียถูกต้องเสมอ
“เพราะฉะนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องอดทนเสียสละเพื่อครอบครัวอีกต่อไปแล้วก็ได้ ลาลาเน่”
คำพูดประโยคนั้นในความทรงจำดังขึ้นในหัว พร้อมกับแจกันดอกไม้สีแดงปรากฏเข้าสู่สายตาของลาลาเน่ แล้วนางก็พยักหน้าลง
“ตกลงค่ะ”
เสียงนิ่งสงบมากเสียจนนางเองยังรู้สึกตกใจดังหลุดออกจากปาก
“ข้าจะทำตามที่ท่านพ่อกับท่านแม่บอก”
“โอ้ ลาลาเน่!”
“คิดถูกแล้วละ!”
ท่าทางของเซรัลกับเบเจอร์ที่ดูดีใจมากอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ลาลาเน่ยิ่งรู้สึกมั่นใจมากกว่าเดิม
มั่นใจว่าสิ่งที่นางเลือกเป็นทางเลือกที่ถูกต้องแล้ว
“แต่ได้โปรดให้เวลาข้าได้ตัดใจเรื่องท่านอาบีน็อกซ์เสียหน่อยเถอะค่ะ”
“วะ เวลา?”
เบเจอร์เอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
“ค่ะ ไม่ได้นานอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ ขอแค่ไม่กี่วันก็พอ ระหว่างนี้ขอเวลาให้ข้าได้คิดอยู่ตามลำพังเงียบๆ ในห้องเถอะนะคะ ท่านพ่อ”
เบเจอร์เหลือบมองเซรัล พอเห็นว่าเซรัลพยักหน้าตกลง เบเจอร์จึงเอ่ยขึ้นราวกับเป็นเรื่องช่วยไม่ได้
“ได้ ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้น งั้นพวกข้าก็จะให้เวลาไม่รบกวนเจ้าก็แล้วกัน นี่เปลี่ยนใจแล้วจริงๆ ใช่มั้ย ลาลาเน่”
ลาลาเน่มองสบนัยน์ตาของเบเจอร์ที่ไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกดีใจเอาไว้ได้ ถึงแม้จะรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง ก่อนจะพยักหน้าลงอย่างช้าๆ
“ค่ะ ไม่ต้องกังวลก็ได้ค่ะ ท่านพ่อ”
***
วันนี้กับพรุ่งนี้ไม่ต่างอะไรจากโอกาสสุดท้ายในการพาลาลาเน่หนีออกไปได้อย่างปลอดภัย
เธอแสร้งทำเป็นออกมาเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย แต่พอเดินผ่านคฤหาสน์ฝั่งหน้าต่างห้องของลาลาเน่ เธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
“อา ค่อยโล่งอกไปที”
ริมหน้าต่างห้องของลาลาเน่วางแจกันที่มีดอกไม้สีแดงสดบานอยู่
โปรดติดตามต่อเล่ม 5