เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 173.1
เล่ม 5 บทที่ 173.1
ตอนที่ 173
“คิดจะใช้วิธีการเช่นนี้กับข้างั้นเหรอ”
เธอยืนมองชุดของตัวเองอยู่หน้ากระจก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทางไปนอกคฤหาสน์
ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม การรีบร้อนลงมือนั้นไม่ใช่เรื่องดี
แต่วันนี้ถือเป็นข้อยกเว้น
พรุ่งนี้ช่วงเช้าจะมีการประชุมขุนนางเกิดขึ้น และจะมีการตัดสินว่า กฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตจะผ่านมติหรือถูกปัดตก
เวลาที่เธอมีเหลืออยู่จึงมีแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น
“ตอนนี้เฟเรสน่าจะอยู่ที่นั่น”
แต่แล้วในจังหวะที่เธอเปิดประตูออกไป ตั้งใจว่าจะลองไปพบเฟเรสที่กลุ่มการค้าโมนัค
“อ๊ะ เฟเรส”
เฟเรสยกมือข้างหนึ่งค้างไว้กลางอากาศอยู่หน้าประตู ดูเหมือนว่าเขาเองก็กำลังจะเคาะประตูห้องเธออยู่พอดี
“จะไปไหน”
เฟเรสถามเธอ
ท่าทางคงจะรีบมามากทีเดียว บนร่างกายของเด็กหนุ่มยังเหลือกลิ่นอายของสายลมด้านนอกติดอยู่เลย
“…ไปหาเจ้า”
“เพราะอย่างนั้นไง ข้าถึงได้มาหาเจ้าแทน”
“เข้ามาก่อนเถอะ”
เธอเดินนำเฟเรสไปยังห้องรับรอง วางกระเป๋าถือในมือลงบนโต๊ะ
ถ้าเป็นวันปกติก็คงจะเตรียมน้ำชาให้เขาสักแก้ว แต่วันนี้ทันทีที่นั่งลง เธอก็เปิดประเด็นพูดใจความสำคัญออกไปทันที
“เจ้าเองก็ได้ยินข่าวแล้วใช่มั้ย เรื่องกฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโต”
“แผนการที่จักรพรรดินีเก็บงำเอาไว้คือเรื่องนี้”
เฟเรสพยักหน้าลงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ถ้าผ่านมติที่ประชุมขุนนางแล้วละก็ มันจะมีผลต่อชนชั้นสูงทุกตระกูลในทันที ถ้าเป็นเช่นนั้น เทีย ลอมบาร์เดีย…”
ดูเหมือนว่าทันทีที่ได้ยินข่าวเรื่องกฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโต เฟเรสก็เป็นห่วงเธอก่อนเรื่องอื่นใด
คนเพียงคนเดียวที่รู้ว่า เป้าหมายของเธอคือการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย
แน่นอนว่ากฎหมายฉบับใหม่ที่จักรพรรดินีพยายามผลักดันนั้น ไม่ได้เล็งเป้ามาที่เธอ
ทั้งหมดนั่นก็แค่พยายามที่จะมัดมือมัดเท้าของท่านปู่เท่านั้น
ปล่อยให้เบเจอร์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าตระกูลคนถัดไป หรือยอมให้ลาลาเน่เกี่ยวดองกับโอรสของนางอย่างอาสทาน่า
บีบบังคับให้ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง
แต่ฝ่ายที่โดนผลกระทบเข้าอย่างจังโดยที่จักรพรรดินีเองก็คงไม่คาดคิดมาก่อน กลับกลายเป็นเธอเสียได้
ดังนั้นถึงได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเฟเรสถึงได้รู้สึกเป็นห่วงเธอ
แต่เธอก็ส่ายหน้า แล้วเอ่ยพูดกับเขา
“มันจะถูกเสนอขึ้นในที่ประชุมขุนนาง แต่ถ้ามันผ่านมติละก็ จะมีผลต่อการสืบทอดบัลลังก์ด้วยเหมือนกัน กฎหมายนั่นมันพุ่งเป้าไปที่เจ้าด้วย เฟเรส”
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เฟเรสจะมัวมานั่งเป็นห่วงคนอื่นอยู่อย่างนี้
แต่เฟเรสกลับเอ่ยพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
“โล่งอกที่โอรสของฝ่าบาทมีแค่ข้ากับอาสทาน่าสองคน”
…แค่สองคนเหรอ
“มันยังมีวิธีให้ข้ากลายเป็นโอรสคนโต หรือเป็นโอรสเพียงหนึ่งเดียวอยู่”
“อา…”
วิธีการเป็นโอรสคนโต หรือโอรสเพียงองค์เดียว
ก็คือกำจัดอาสทาน่าทิ้งไปเสีย
เผลอลืมไปเลย
ว่าแต่ในชีวิตก่อนเฟเรสใช้วิธีการใดในการขึ้นดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทกันนะ
เพื่อเป้าหมายแล้วละก็ เขาเป็นคนที่สามารถลงมือทำได้ทุกเรื่อง เด็กหนุ่มคนนี้น่ะ
“แต่เทีย เจ้าคงจะไม่อยากใช้วิธีการแบบนั้น แน่นอนว่าข้าก็ต้องเป็นห่วงเจ้าอยู่แล้ว”
เฟเรสเสยผมที่ปรกลงมาข้างหน้าขึ้น ในขณะที่เอ่ยพูดต่อ
“ก่อนอื่นคำว่า ‘บุตรชายคนโต’ มันย่อมหมายถึงขัดขวางห้ามไม่ให้ผู้หญิงขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างเด็ดขาด”
ต่อให้มีเจ้าตระกูลใดคิดอยากจะส่งมอบตระกูลให้บุตรสาวผู้มากความสามารถเหมือนอย่างท่านปู่ก็ตาม ถ้าอ้างอิงจากกฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตแล้วละก็ จะไม่มีทางทำเช่นนั้นได้เลย
ในเมื่อผู้หญิงย่อมไม่ใช่บุตรชาย เท่ากับถูกเพิกถอนสิทธิในการแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดไปอย่างสมบูรณ์แบบ
ดังนั้นจึงมีแต่ ‘บุตรชายคนแรก’ เท่านั้นที่จะเหมาะสมในการเป็นผู้สืบทอด
“ต้องให้ท่านปู่ไปเข้าร่วมการประชุมขุนนางให้ได้”
การประชุมขุนนางที่ไร้ซึ่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียหรือท่านปู่ของเธอ จะกลายเป็นสวรรค์สำหรับพวกอังเกนัสทันที
มันเป็นสถานที่ที่ใช้ระบบเสียงข้างมากในการตัดสิน ดังนั้นการประชุมขุนนางที่ไม่มีท่านปู่ คนที่จะมีอิทธิพลมากที่สุดในที่ประชุมจะกลายเป็นเจ้าตระกูลอังเกนัสคนใหม่อย่างดิวอิจ
บางทีตอนนี้ก็คงกำลังวิ่งเต้นไปพบบรรดาขุนนางทั้งหลาย เพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนโหวตข้างตัวเองในวันพรุ่งนี้อยู่ละมั้ง
แน่นอนว่าวิธีการที่ได้ผลที่สุดยังไงก็คงจะเป็นการใช้เงินซื้อเสียงนั่นแหละ
“ในสถานการณ์ที่ราชโองการสั่งห้ามของท่านปู่จะถูกปลดออกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พวกตระกูลอื่นที่เดิมทีถือข้างลอมบาร์เดีย ตอนนี้เองก็ยังต้องเกรงใจอังเกนัสกันอยู่บ้าง”
ดังนั้นต้องหาทางส่งท่านปู่ไปร่วมการประชุมขุนนางให้ได้
เฟเรสรับฟังคำพูดของเธออยู่เงียบๆ
เธอเหม่อมองเรือนผมสีดำสนิทของเด็กหนุ่ม กวาดสายตาไล่ไปมองใบหน้าเนียนไร้จุดด่างดำ ก่อนจะมองสบนัยน์ตาสีแดงคู่นั้น
ยังมีวิธีที่เธอจะขัดขวางจักรพรรดินีเหลืออยู่
แต่เธอไม่อาจทำมันคนเดียวได้สำเร็จ
เพราะมันเป็นเรื่องที่จะเป็นไปได้ ก็ต่อเมื่อเฟเรสยอมยื่นมือช่วยเหลือเท่านั้น
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยพูดกับเด็กหนุ่มที่เฝ้ามองเธออยู่เงียบๆ ราวกับรอคอยเวลานี้อยู่แล้ว
“เฟเรส ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกให้ข้าใช้งานเจ้าได้ใช่มั้ย”
เฟเรสพยักหน้าลงอย่างเชื่องช้า
ปอยผมสีดำสนิทเพียงแค่ปรกลงมาบนหน้าผากเล็กน้อยเท่านั้นเองแท้ๆ
แต่จู่ๆ หัวใจของเธอก็เริ่มเต้นกระหน่ำส่งเสียงดังโครมครามไม่หยุดเสียแล้ว
นี่ไม่ได้คิดจริงจังสักหน่อย ทำไมเป็นแบบนี้เนี่ย!
สงบสติหน่อย หัวใจจ๋า!
“พวกเรามาใช้กันและกันเป็นไง”
“กันและกัน?”
เธอเปิดกระเป๋าถือออก
และหยิบเอาของที่ตั้งใจจะนำไปให้เฟเรสออกมามอบให้เขา
“…นี่มัน”
เฟเรสขมวดคิ้วลงเล็กน้อย
อา นี่เธอจะโดนปฏิเสธเหรอ
เธอจับใจที่ร่วงหล่นเอาไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยพูดโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร
“เพชรไง”
“ข้ารู้”
เฟเรสใช้ปลายนิ้วลูบไล้ของที่เธอมอบให้อยู่ไม่กี่ครั้ง ก่อนจะวางมันลง
และหยิบเอากล่องใบเล็กคล้ายกันออกมาจากอกเสื้อ แล้วยื่นมันให้เธอเห็น
“เพชรมณีแดง”
สีแดงสดดั่งทับทิม เพรชมณีแดงส่องประกายระยิบระยับแม้ว่าจะอยู่ภายใต้แสงไฟสลัว
“บางทีพวกเราคงจะคิดเหมือนกัน”
เฟเรสอมยิ้มเล็กน้อยขณะที่เอ่ยพูดขึ้นเช่นนั้น
“ไม่ น่าจะคิดต่างกันนะ”
นัยน์ตาสีแดงดั่งเพรชมณีแดงคู่นั้นมองสบกับนัยน์ตาของเธอที่สั่นไหว
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดาย”
เฟเรสวางกล่องใบเล็กทั้งสองกล่องลงตรงหน้าเธอ ก่อนจะเอ่ยพูด
“เจ้าเป็นคนเลือกก็แล้วกัน เทีย วิธีการของข้า หรือวิธีการของเจ้า จะไปทางใด”
* * *