เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 179.1
เล่ม 5 บทที่ 179.1
ตอนที่ 179
โหว ตกใจสุดๆ ไปเลยนะเนี่ย
ชั่วเสี้ยววินาทีจู่ๆ ใบหน้าของเฟเรสก็ดูยั่วยวนมากเสียจนทำเอาหลอดลมตีบตัน หายใจแทบไม่ออก
คนเขายั่วยวนกันด้วยวิธีการแบบนี้นี่เอง
เฮ้ เจ้านี่เป็นเด็กอันตรายจริงๆ สินะ
รู้สึกได้เลยว่าใบหน้าของเธอคงจะแดงก่ำไปหมด หัวใจก็เต้นเสียงดังโครมคราม
แต่ตอนนี้เฟเรสก็แค่อินกับบทบาทคู่หมั้นเท่านั้นเอง
เธอพยายามปลอบตัวเองให้สงบโดยพยายามคิดซ้ำๆ อยู่แบบนั้น
พอใจเริ่มสงบลงได้บ้าง สายตาก็เริ่มสังเกตเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆ ได้ชัดเจนอีกครั้ง
จักรพรรดินีเองก็ดูจะตกใจมากพอสมควรกับพฤติกรรมหน้าด้านหน้าทนของเฟเรสเหมือนกัน ตอนนี้ท่าทางจะสงบต่อไปไม่ไหวแล้วละมั้งนั่น
ไหนๆ หน้าก็แดงแล้ว เธอเลยหันหน้าไปมองเฟเรสพลางยกมือขึ้นปิดปากแสร้งทำเป็นเขินอาย
“ตายแล้ว เจ้าชายละก็…”
ในขณะเดียวกันก็พยายามจะดึงมือออกอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่เฟเรส เจ้าเด็กนี่กลับจับมือเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ลองกระตุกมือพยายามจะดึงมือออกจากมือของเขา แต่มือใหญ่นั่นก็ไม่แม้แต่จะกระดิกเลยสักนิด
เธอแสร้งทำเป็นเอนกายเข้าไปแนบชิดกับเฟเรส ก่อนจะแอบถลึงตาจ้องเด็กหนุ่มเขม็งโดยไม่ให้จักรพรรดินีสังเกตเห็น
เฮ้ นี่จะไม่ยอมปล่อยจริงๆ ใช่มั้ย
พอเธอทำแบบนั้น เฟเรสก็ส่งสัญญาณผ่านสายตาพยักพเยิดไปทางจักรพรรดินี
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ในระหว่างที่หัวเราะกลบเกลื่อน เธอก็หันไปเห็นว่าจักรพรรดินียังคงจับจ้องสายตามาที่เธอกับเฟเรสไม่ยอมห่างอยู่เหมือนเคย
ช่วยไม่ได้สินะแบบนี้
โดนคนอื่นจับมือเอาไว้แน่นก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าจักรพรรดินีสงสัยในตัวพวกเราขึ้นมาแม้แต่นิดเดียวละก็ คงได้จบเห่มันที่นี่แน่
เธอตบไหล่อีกข้างของเฟเรสที่เอนกายมาทางเธอเบาๆ แสร้งทำเป็นปัดเศษฝุ่น ในขณะเดียวกันก็มองเขาราวกับคนคลั่งรัก
หลังจากเห็นว่าเวลาผ่านไปสักพักแล้วเธอกับเฟเรสก็ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากกันสักที จักรพรรดินีก็เอ่ยพูดกับเฟเรสด้วยความไม่พอใจ
“เสียมารยาทเกินไปแล้วนะคะ เจ้าชายลำดับที่สอง”
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี แต่ก็อย่างที่เห็น พอดีคู่หมั้นของกระหม่อมแสนจะน่ารักเหลือเกิน พอได้สัมผัสสักคราแล้ว จึงยากที่จะยอมปล่อยมือไปได้ง่ายๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสตอบอย่างลื่นไหล ขนาดเธอที่เฝ้ามองอยู่ข้างๆ ยังรู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปหมดเลย
แล้วชายหนุ่มก็พูดเสริมต่ออีกประโยค
“แน่นอนว่าองค์จักรพรรดินีคงจะใจกว้างเข้าใจกระหม่อมเป็นอย่างดีใช่มั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
ในเมื่อเฟเรสออกหน้าพูดถึงขนาดนั้นแล้ว จักรพรรดินีเองก็โต้แย้งอะไรต่อไปไม่ได้อีก
ถ้าพูดออกมาตรงนี้ว่า ‘ข้าทนมองพฤติกรรมรักใคร่ของพวกเจ้าไม่ได้ จงปล่อยมือกันเสียเดี๋ยวนี้!’ แล้วละก็ คงมีแต่ตัวจักรพรรดินีเองนั่นแหละที่จะกลายเป็นที่หัวเราะขบขันของผู้คน
จักรพรรดินีราวีนีเองก็รู้เรื่องนั้นดี จึงได้แต่ยิ้มเย็นแทนคำตอบ
สุดท้ายจนกระทั่งตอนที่ของหวานล้างปากถูกยกออกมาเสิร์ฟ เฟเรสก็ยังคงจับมือของเธอเอาไว้
มือชื้นเหงื่อไปหมดแล้ว
เหลือบมองเฟเรสเพราะอยากจะปล่อยมือออกเต็มทน แต่เขาก็แค่มอบสบตาเธอยิ้มๆ ไม่ยอมปล่อยมืออยู่ดี ตอนนี้เธอเองก็ได้แต่ยอมแพ้ในความดื้อดึงของเขาเหมือนกัน
แกรก
ของหวานที่ผู้ดูแลประจำวังยกมาวางลงตรงหน้าเธอพร้อมกับเสียงจานกระทบโต๊ะเบาๆ มันเป็นเค้กสตรอว์เบอร์รี่ที่หน้าตาดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
นี่มัน…
“ข้าให้คนเตรียมขนมหวานจากร้านที่คุณหนูลอมบาร์เดียชอบไปบ่อยๆ ไว้ให้ค่ะ คาราเมล อเวนิวหรือเปล่านะคะ ชื่อร้านนั่น”
เธอกับจักรพรรดินีมองหน้ากันยิ้มๆ
ตอนนี้จักรพรรดินีกำลังสื่อถึงเธอผ่านเค้กจากร้านคาราเมล อเวนิว
‘ข้าให้คนไปสืบเรื่องเจ้ามามากขนาดนี้แล้ว’
เรื่องแบบนี้คนส่วนใหญ่อาจจะเหงื่อไหลอาบท่วมแผ่นหลังแล้วก็ได้
เธอก้มหน้ามองเค้กที่ถูกปาดหน้าอย่างงดงามด้วยครีมสีขาวเนียนละเอียด
จักรพรรดินีไม่ได้โอ้อวดเกินจริงเสียทีเดียว
เพราะเจ้าเค้กสตรอว์เบอร์รี่ครีมสดนี่น่ะ เป็นหนึ่งในของหวานที่เธอมักจะแวะไปซื้ออยู่บ่อยๆ จริงๆ
แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่า ขอบเขตความสามารถในการหาข้อมูลของจักรพรรดินียังมีขีดจำกัดอยู่
เค้กนี่มันเป็นเค้กที่เธอซื้อไปให้ลอรีลต่างหากล่ะ
เพราะมันเป็นเค้กที่ลอรีลชื่นชอบมากที่สุด
เมริลลีนลูกสาวตัวน้อยของลอรีลเองก็ชอบเอานิ้วจิ้มครีมสดรสหวานเข้าปากและเลียริมฝีปากแผล็บๆ รับประทานมันอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียว
ถ้าหากความสามารถในการหาข้อมูลของจักรพรรดินีเก่งกาจจริงๆ แล้วละก็ เค้กที่วางอยู่ตรงหน้าเธอควรจะเป็นเค้กช็อกโกแลตราดคาราเมลที่เธอชื่นชอบ ไม่ใช่เค้กสตรอว์เบอร์รี่แบบนี้
เหมือนอย่างที่ถ้าหากนี่เป็นงานเลี้ยงมื้อเย็นที่เธอเป็นเจ้าภาพแทน ตรงหน้าจักรพรรดินีก็คงจะไม่ใช่เค้ก แต่เป็นผลไม้ราดน้ำผึ้งชั้นยอดไปแล้ว
“ขอบพระทัยเพคะ องค์จักรพรรดินี”
เธอยิ้มรับพลางหยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กอย่างเอร็ดอร่อย
แสร้งทำท่าราวกับมันเป็นเค้กที่เธอชอบที่สุด
จักรพรรดินีเองก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจเช่นกัน
และก็มีของอย่างอื่นถูกวางลงตรงหน้าเธออีกชิ้น
“องค์จักรพรรดินี นี่มัน…”
“ของขวัญสำหรับการหมั้นหมายที่ข้าอยากมอบให้คุณหนูลอมบาร์เดียค่ะ”
ต่อให้จะสงสัยในความสัมพันธ์ของเธอกับเฟเรสแค่ไหน แต่ดูท่าทางยังไงจักรพรรดินีก็คงคิดที่จะพยายามซื้อใจเธออยู่ดี
คงคิดจะหาทางใช้เธอเป็นสะพานเชื่อมไปหาท่านพ่อละสิ
ยืมเงินของพวกเซอเชาว์ไปมากกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ตระกูลอังเกนัสก็เลยต้องหาที่พึ่งพิงแห่งใหม่
และหากมองจากเฉพาะภายนอกเพียงอย่างเดียว ในทวีปตอนนี้คนที่หาเงินได้มากที่สุดก็คือพ่อของเธอนั่นเอง
“ขอบพระทัยเพคะ องค์จักรพรรดินี”
ลองเปิดกล่องสีดำสนิทออก ก็พบว่าข้างในนั้นมีต่างหูมรกตสีเขียวคู่หนึ่ง
ดีไซน์ของมันมองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของชั้นดี ดูเหมือนจะเป็นของล้ำค่าที่ตกทอดสืบต่อกันมาหลายรุ่น
อังเกนัสอาจจะเงินทองร่อยหรอแล้วก็จริง แต่จักรพรรดินียังมีเงินส่วนตัวที่ได้จากทางราชวงศ์อยู่บ้าง
แต่เท่าที่เธอรู้มา เงินจำนวนนั้นส่วนใหญ่ถูกนำไปลงทุนในกิจการของอังเกนัสเกือบหมดแล้ว
ถือว่าจักรพรรดินีทุ่มเททั้งกายและใจไปมากจริงๆ
จักรพรรดินีแย้มรอยยิ้มในขณะที่ช่วยคลายข้อสงสัยให้เธอ
“มันเป็นอัญมณีที่สืบทอดต่อกันมาในราชวงศ์แต่ละยุคสมัยค่ะ”
ว่าแล้วเชียว
หมายความว่าเป็นของที่หยิบฉวยเอามาจากคลังสมบัติของราชวงศ์สินะ
“คุณหนูลอมบาร์เดียเองก็กำลังจะมาเป็นสมาชิกของราชวงศ์ ข้าเลยเลือกมาให้เพราะเห็นว่ามีสมบัติของราชวงศ์ติดตัวเอาไว้สักชิ้นก็น่าจะดีน่ะค่ะ”
“ขอบพระทัยเพคะ องค์จักรพรรดินี”
เอาไว้คงต้องคืนมันให้เฟเรสทีหลัง
ต่อให้เป็นเธอก็เถอะ ยังไงการจะเก็บมรดกตกทอดของราชวงศ์เอาไว้กับตัวทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย มันก็รู้สึกกระดากใจอยู่เหมือนกัน
“ว่าแต่เจ้าชายลำดับที่สองกับคุณหนูลอมบาร์เดียเองก็หมั้นหมายกันแล้ว คงมีเรื่องให้ต้องหารือเกี่ยวกับพวกงานแต่งงานหลายเรื่องทีเดียว แบบนี้ท่านชายแคลอฮันจะเดินทางกลับมาจากเชซายูเมื่อไหร่เหรอคะ”
รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณในทันที
ว่าคำถามนี้คือเหตุผลทั้งปวงของการที่จักรพรรดินีตั้งใจจัดงานเลี้ยงมื้อเย็นในวันนี้ขึ้นมา รวมถึงพยายามทำให้เธออารมณ์ดีโดยการมอบอัญมณีให้เป็นของขวัญ ทั้งยังยกยอกันสารพัด
เธอปิดกล่องต่างหูลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดินี
“ขอองค์จักรพรรดินีทรงโปรดอย่าเข้าพระทัยผิด ได้โปรดรับฟังหม่อมฉันด้วยเพคะ”
และแสร้งทำสีหน้าระมัดระวังในขณะที่เอ่ยพูดออกไป
“ตอนนี้ท่านพ่อไม่มีเวลาว่างมาสนใจเรื่องอื่นนอกจากเชซายูหรอกเพคะ ทั้งทางด้านแรงกาย ทั้งทางด้านเวลา และเหนือสิ่งอื่นใดคือทางด้านการเงินด้วยเพคะ”
แววตาของจักรพรรดินีส่องประกายดุดันขึ้นมาทันที
เพราะเธอดันไปเหยียบศักดิ์ศรีของนางเข้า
แต่ผิดคาดที่ราวีนีไม่แม้แต่จะตำหนิเสียงดังขัดเธอว่าไร้มารยาทเหมือนอย่างที่ทำกับเฟเรสเมื่อครู่นี้
เธอเหลือบมองเฟเรสที่นั่งเงียบอยู่ข้างกาย
ก็ว่าที่ผ่านมาเด็กนี่ดูจะงานยุ่งมากเหลือเกิน
นี่คงไปรีดไถเงินทองสูบเลือดสูบเนื้อจากจักรพรรดินีไปจนหมดตัวเลยสินะ?
“แต่ข้าพอจะทราบสถานที่ที่พอจะช่วยเหลือองค์จักรพรรดินีได้บ้างอยู่นะเพคะ”
“…ที่ไหนหรือคะ”
“ร้านค้าเพลเลสเพคะ”
“ร้านค้า…เพลเลส?”
ทันทีที่นามของร้านค้าเพลเลสดังออกมาจากปากเธอ จักรพรรดินีก็ดูเหมือนจะตกใจมากกับชื่อที่ไม่ทันได้นึกถึงมาก่อน
อีกอย่าง สำหรับนางแล้ว ร้านค้าเพลเลสยังเป็นพันธมิตรของลอมบาร์เดีย และยังมีแนวโน้มว่าจะถือข้างฝ่ายเฟเรส
แถมยังเคยปะทะกับอังเกนัสอย่างรุนแรงตอนทำการค้าไม้ทรีบ้าอีกด้วย
“ช่วงนี้ร้านค้าเพลเลสมีเงินทองเหลือใช้อยู่มาก ก็เลยกำลังมองหาที่ทางลงทุนระยะยาวอยู่เพคะ หม่อมฉันที่คอยช่วยงานของร้านค้าเพลเลสอยู่บ่อยครั้งเองก็ทราบ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความลับอะไรขนาดนั้น”
นัยน์ตาของจักรพรรดินีส่องประกายวาววับเมื่อได้ยินคำว่า ‘เงินทองเหลือใช้’
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ
“ไม่ทราบสิคะ ไม่รู้ว่าร้านค้าเพลเลสจะยอมฟังข้าหรือเปล่า”
“ท่านเครย์ลีบัน เพลเลส เป็นอาจารย์ของหม่อมฉันก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องเงินกับธุรกิจแล้วละก็ ท่านสามารถมองข้ามเรื่องราวในอดีตไปได้อยู่แล้วละเพคะ”
ดูเหมือนจักรพรรดินีจะตกหลุมพรางคำพูดของเธอไปแล้วครึ่งหนึ่ง
และมีท่าทางจะลังเลว่าจะลองติดต่อไปดูสักครั้งดีหรือเปล่า
เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของเฟเรสที่มองหน้าเธอจนแทบทะลุ ในขณะที่ยื่นข้อเสนออันแสนยั่วใจให้แก่จักรพรรดินี
“หม่อมฉันลองถามท่านอาจารย์ให้ดีมั้ยเพคะ องค์จักรพรรดินี”
* * *