เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 180.2
“เจ้าของไม่อยู่แล้ว ที่นี่ก็เปลี่ยนไปเหมือนกันสินะ”
เรือนกระจกที่เคยมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยดอกไม้หลากชนิดอยู่เสมอ ในตอนนี้กลับว่างเปล่าถูกปล่อยให้ร้างเสียแล้ว
ดอกไม้ที่ลาลาเน่หวงแหนเป็นพิเศษถูกย้ายไปไว้ในห้องของเธอเรียบร้อยแล้ว ส่วนดอกไม้อื่นๆ ที่เหลือก็ได้แต่ปล่อยให้มันเหี่ยวเฉาร่วงโรยไปทั้งแบบนั้น
กระถางดอกไม้ว่างเปล่าข้างในเรือนกระจกปรากฏเข้าสู่ห้วงสายตา แต่เธอไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไร
เพราะลาลาเน่เองตอนนี้คงจะกำลังใช้เวลาอย่างมีความสุขอยู่กับอาบีน็อกซ์นี่นะ
เดินผ่านเรือนกระจกไปก็มองไปเห็นคนคุ้นเคยอยู่อีกฟากของทางเดิน
เบเลซัก
หลังจากที่เบเจอร์กับเซรัลโดนขับไล่ไปอยู่เรือนเล็ก เบเลซักเองก็ออกไปนอกคฤหาสน์น้อยลงมาก
ถึงแม้จะไม่ใช่ความตั้งใจของเจ้าตัวก็เถอะ
อาสทาน่าไม่ยอมเรียกตัวเบเลซักให้ไปไหนมาไหนด้วยอีกต่อไปแล้ว
“ทางนี้นอกจากเรือนกระจกก็ไม่มีอะไรแล้วสักหน่อย”
ถึงยังไงสำหรับลาลาเน่แล้ว เบเลซักก็เคยเป็นน้องชายที่ดีอยู่เหมือนกัน
บางทีอาจจะออกมาเดินเล่นแถวนี้ เพราะคิดถึงลาลาเน่ขึ้นมาก็ได้
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เรื่องที่พวกนั้นทำกับลาลาเน่ก็คงจะกลายเป็นยิ่งดูน่ารังเกียจเข้าไปใหญ่
“เฮ้!เจ้า!”
ในตอนนั้นเองเบเลซักที่เดินเตะกองใบไม้ระบายอารมณ์ก็สังเกตเห็นเธอเข้าจนได้
เจ้านั่นเดินจ้ำเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึง ก่อนที่จู่ๆ จะถามพรวดพราดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เจ้าใช่มั้ย”
“อะไร ถ้าจะถามก็ถามให้มันรู้เรื่องหน่อย เบเลซัก”
“อย่ามาทำเป็นอวดดี!”
เบเลซักหอบแฮกด้วยความโมโห
“เจ้าเป็นคนขโมยท่านพี่ไปไม่ใช่หรือไง!”
“ขโมย?”
“เอาตัวคนไปจากห้องที่ถูกขังไว้ แล้วส่งไปไกลแบบนั้น ไม่เรียกว่าขโมยแล้วจะเรียกว่าอะไร!”
โทษเธอซะงั้น น่าขำชะมัด
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าขังลาลาเน่เอาไว้ทำไม”
เบเลซักตอบอะไรไม่ออก
ก็ต้องพูดไม่ออกแน่อยู่แล้วละ
เพราะมันเป็นความจริงที่พวกเขาขังคนปกติคนหนึ่งเอาไว้อย่างกับนักโทษ แล้วนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องไม่ยอมให้ออกไปไหน
“ท่านพี่เป็นคนที่จะต้องแต่งงานกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง แล้วจะให้ปล่อยให้นางหนีไปกับไอ้บ้านนอกนั่นหรือไง”
“แล้วนั่นพวกเจ้าทำเพื่อลาลาเน่มั้ยล่ะ”
“มันก็ดีกว่ากลายเป็นผู้หญิงที่ตามืดบอดหนีไปกับไอ้ประหลาดนั้น แล้วทิ้งโอกาสในการแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์อยู่ดี!”
“โอกาสในการแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์”
เธอหัวเราะด้วยความรู้สึกทุเรศใจ
“การแต่งงานกับคนอย่างอาสทาน่าถือเป็นโอกาสอย่างนั้นเหรอ”
จะโง่ก็ช่วยโง่ให้มันมีขอบเขตบ้างเถอะ
“ถ้ามันเป็นโอกาสที่ดีขนาดนั้น งั้นเจ้าก็ไปแต่งแทนเลยสิ เบเลซัก”
คนประเภทเดียวกันบางทีคงจะอยู่ด้วยกันได้ยืนยาวเป็นร้อยปีเลยมั้ง
“แล้วก็พูดให้มันถูกๆ หน่อย ตอนนี้เจ้าไม่ได้โมโหเพราะข้าทำลายเกียรติของลาลาเน่ แต่โมโหเพราะพลาดโอกาสในการสังเวยลาลาเน่ จนเจ้ากับบิดามารดาต้องพลาดโอกาสได้ดิบได้ดีเท่านั้นต่างหาก”
“เจ้าก็เลยไปเกาะติดกับไอ้ชั้นต่ำนั่น ถึงได้ถูกเรียกตัวไปร่วมงานเลี้ยงมื้อเย็นขององค์จักรพรรดินี คงจะสนุกดีใช่มั้ยล่ะ”
เกาะติดงั้นเหรอ
พูดอะไรไม่ดูตัวเองเอาเสียเลย
เธอแสยะยิ้มเข้มพลางเอ่ยถามขึ้น
“ดูจากการที่เจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว แสดงว่าแม่ของเจ้าคงจะอิจฉามากเลยละสิ”
“อะไรนะ”
เบเลซักสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ราวกับพร้อมที่จะต่อยเธอสักหมัดได้ทุกเมื่อ
แต่เพียงครู่เดียวเด็กนี่ก็ต้องหยุดชะงัก
เพราะอัศวินประจำกองกำลังอัศวินหลายนายที่ยืนอยู่ไกลๆ อีกฝั่งกำลังเฝ้าจับตามองเบเลซักอยู่
ใบหน้าดูคุ้นตาอยู่เหมือนกันนะนั่น
คนกลุ่มนั้นเป็นอัศวินที่ปกติค่อนข้างสนิทสนมกับสองแฝดมากเป็นพิเศษ
ท่าทางเหมือนเพิ่งจะซ้อมเสร็จและกำลังอยู่ในระหว่างทางไปพักผ่อน ทุกคนถึงได้มีสภาพเลอะเทอะไปด้วยหยาดเหงื่อกับดินโคลน แต่ถึงแม้เบเลซักจะถลึงตาใส่ พวกเขาก็ยังไม่ยอมขยับก้าวออกไปจากตรงนั้น ราวกับว่าถ้าจำเป็นจริงๆ ก็พร้อมที่จะเข้ามาแทรกได้ทุกเมื่อ
“ตั้งสติหน่อย เบเลซัก ถ้าเจ้าไม่อยากโดนขับไล่ออกจากตระกูลเหมือนพ่อของเจ้า”
เบเลซักโมโหเดือดเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ แต่เขาก็ยังกลัวอัศวินพวกนั้น จึงไม่อาจสุ่มสี่สุ่มห้าลงไม้ลงมือกับเธอได้
“แล้วก็เจ้าน่ะ โกรธผิดคนแล้ว”
เธอเอ่ยพูดในขณะที่เดินผ่านไปข้างๆ เบเลซัก
“คนที่ทำให้เจ้าไม่อาจพบหน้าลาลาเน่ได้อีกต่อไปมันไม่ใช่ข้า แต่เป็นบิดามารดาผู้โง่เขลาที่ตั้งใจจะถวายบุตรสาวของตัวเองให้เจ้าโง่อย่างอาสทาน่าต่างหาก”
เธอเดินจากไปโดยทิ้งเบเลซักเอาไว้คนเดียวด้านหลัง
ผิดคาดที่เจ้านั่นเอาแต่ยืนเงียบอยู่นิ่งๆ
นิสัยของเขาปกติควรที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ จนด่าสาปแช่งหรือไม่ก็พูดจาเหยียดหยามตะคอกใส่หน้าเธอแล้วแท้ๆ
“อ๊า ค่อยโล่งหน่อย”
ออกมาเดินเล่นแล้วดันพบเข้ากับเบเลซัก นึกว่าวันนี้จะดวงตกเสียแล้ว
แถมความรู้สึกอึดอัดใจที่ทำให้หายใจแทบไม่ออกก็ยังรู้สึกโล่งขึ้นมากทีเดียว
“ต้องส่งของขวัญไปให้ลาลาเน่สักหน่อยแล้วสิเนี่ย”
แต่แล้วในตอนที่พึมพำอยู่อย่างนั้นพลางเดินผ่านด้านหน้าประตูคฤหาสน์
ก็มองเห็นด้านหลังอันแสนคุ้นตาของใครบางคนที่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้าพอดี
ผมสีน้ำตาลถูกมัดขึ้นสูงอย่างประณีต เสื้อผ้าถูกรีดจนเรียบไร้ซึ่งรอยยับแม้แต่จุดเดียว
แคทเธอรีนนั่นเอง
“ให้ตายเถอะ”
ยังไม่ได้เตรียมใจจะเจอหน้าแคทเธอรีนอีกครั้งเลยนะ
เธอตั้งใจจะหมุนตัวหันหลังหนีไปเงียบๆ
ทว่า
“ท่านฟีเรนเทีย”
แคทเธอรีนของพวกเราดูจะสายตาดีเหมือนกันนะเนี่ย
เธอได้แต่ยิ้มหวานทักทายแคทเธอรีนอย่างช่วยไม่ได้
“สวัสดีค่ะ แคทเธอรีน มีธุระอะไรที่คฤหาสน์หรือคะ”
“พอดีมีเรื่องต้องปรึกษาท่านเจ้าตระกูลเรื่องงานพบปะนักเรียนทุนลอมบาร์เดียในสัปดาห์หน้าน่ะค่ะ”
“งานพบปะนักเรียนทุนเหรอคะ ยังไม่ถึงเวลาจัดงานพบปะสักหน่อย…”
ความทรงจำที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองทำให้เธอต้องหยุดชะงัก
ในชีวิตก่อนก็มีช่วงที่จู่ๆ งานพบปะนักเรียนทุนก็ถูกจัดขึ้นเร็วแบบนี้อยู่ครั้งหนึ่ง
เป็นเพราะ ‘เรื่องนั้น’ นี่เอง
เธอเหม่อมองแคทเธอรีนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
“เหรอคะ ถ้าอย่างนั้นก็กลับดีๆ …”
“เมื่อวานนี้ขออภัยด้วยนะคะ ท่านฟีเรนเทีย”
แคทเธอรีนโค้งศีรษะขอโทษเธออย่างจริงใจ
“ต่อไปข้าจะระมัดระวังให้มาก ไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีกค่ะ”
แต่เธอส่ายหน้า แล้วยิ้มตอบกลับไป
“ไม่หรอกค่ะ แคทเธอรีน ต่อไปจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้นไม่ต้องใส่ใจมากขนาดนั้นก็ได้ค่ะ”
“…คะ?”
แคทเธอรีนลังเลไปชั่วครู่ด้วยความไม่เข้าใจ แล้วพยักหน้าลงเบาๆ
ถึงแม้จะสงสัย แต่ก็ไม่ถามคำถามก้าวก่ายมากเกินไป ปฏิกิริยาตอบสนองสมกับเป็นแคทเธอรีนมากจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางกลับดีๆ นะคะ แคทเธอรีน”
หลังจากกล่าวลาเสร็จ เธอก็เริ่มขยับเท้าตั้งใจว่าจะเดินกลับไปยังปีกคฤหาสน์
“คือว่า ท่านฟีเรนเทียคะ”
แคทเธอรีนเอ่ยเรียกเธอด้วยใบหน้าดูลังเลเป็นอย่างมาก
“ไม่ทราบว่างานพบปะนักเรียนทุนในสัปดาห์หน้ามีนัดหรือเปล่าคะ”
“ไม่ค่ะ คงจะอยู่ในคฤหาสน์”
“ถ้าอย่างนั้น…”
ว่าแล้วเชียว แคทเธอลีนกำลังลังเลอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ
แต่เพียงครู่เดียวก็ตั้งใจแน่วแน่ แล้วเอ่ยพูดกับเธอด้วยใบหน้าจริงจัง
“วันนั้นข้าขอรบกวนเวลาสักครู่ได้มั้ยคะ มีคนอยากจะแนะนำให้รู้จักน่ะค่ะ”
คนที่แคทเธอรีนอยากแนะนำให้เธอรู้จัก
พอจะคาดเดาได้อยู่ว่าคนคนนั้นน่าจะเป็นใคร
คราวนี้กลับกลายเป็นเธอที่ต้องลังเล
แต่คำตอบสำหรับเธอมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
“ได้ค่ะ แคทเธอรีน”
เธอพยักหน้าตอบรับยิ้มๆ