เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 181.1
ตอนที่ 181
ดึกดื่นค่ำคืนยามพระจันทร์กลมโตส่องสว่างอยู่เหนือฟากฟ้า
แปลกที่ค่ำคืนนี้เธอไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด
เธอเปิดโคมไฟดวงเล็กนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน
แต่เนื้อหาในหนังสือไม่ได้เข้าหัวเลยสักประโยค
กางหนังสือหน้าเดิมค้างไว้ไม่ได้พลิกเปลี่ยนหน้ามานานแล้ว
“อารมณ์แบบนี้จะให้มานั่งอ่านหนังสือได้ไงล่ะ”
เธอปิดหนังสือแล้ววางมันทิ้งไว้
เอาจริงตัวเธอเองก็รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไรถึงได้อารมณ์เสียขนาดนี้
“ทำไมเอาแต่ทำสีหน้าแบบนั้นอยู่เรื่อย”
อันที่จริงเวลาแบบนี้เธอก็ได้แต่โทษตัวเองที่สามารถอ่านความรู้สึกของเด็กหนุ่มจากใบหน้าไร้อารมณ์นั่นออก
ตอนที่พวกเราใกล้ชิดกันมากจนเกือบจะจูบกัน ก่อนที่แคทเธอรีนจะเดินเข้ามา
บนใบหน้าของเฟเรสมีอารมณ์อื่นนอกเหนือจากความตื่นเต้นกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ความกังวล
ขนาดเธอนอนอยู่ตรงหน้าแค่ปลายจมูกเขาแท้ๆ แต่เด็กนั่นก็ยังกังวลเหมือนกับกลัวว่าเธอจะหลุดมือไป
“ข้าไปส่งนะ”
“แขกรออยู่ไม่ใช่เหรอ เฟเรส เอาไว้ค่อยเจอกันทีหลังนะ”
และตอนที่เธอปฏิเสธเขาแล้วหมุนตัวเดินจากไป
เฟเรสกำลังหวาดกลัว
มากเสียจนต่อให้พยายามแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก็ไม่อาจตัดใจทำเป็นไม่รู้ได้จริงๆ
“เฮ้อ”
ถอนหายใจหนักอึ้ง
รู้สึกหงุดหงิดชะมัด
“ทำไมต้องใจเต้นแบบนี้ด้วย”
โมโหหัวใจตัวเองที่แค่นึกถึงเฟเรสขึ้นมาก็ดันมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้จริงๆ
ในตอนนั้นเอง
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังก้องไปทั่วบ้านอันเงียบสงัด
ไม่มีคำพูดบอกกล่าวว่าเจ้าของเสียงเคาะเป็นใคร
แต่เธอสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าคนที่ยืนอยู่นอกประตูบานนั้นเป็นใคร
ตึ้กตั้ก ตึ้กตั้ก
หัวใจที่เริ่มสงบลงบ้างพลันเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงอีกครั้ง
เธอเปิดประตูออก
“สวัสดี เฟเรส”
เฟเรสยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แสงไฟจากทางเดินตกกระทบลงมาบนเรือนร่างก่อให้เกิดเป็นเงาทอดยาว
“…เป็นอะไรหรือเปล่า”
เฟเรสมองสำรวจใบหน้าเธอ ก่อนจะถามขึ้นทันทีโดยไม่ยอมเดินเข้ามาด้านใน
สายตาที่มองมาเพียงแวบเดียวของเขาทำให้หัวใจของเธอมันเต้นเป็นจังหวะแปลกไปอีกแล้ว
“กลางคืนมันหนาวนะ เข้ามาคุยกันข้างในเถอะ”
พอเธอพูดออกไปแบบนั้น เฟเรสก็รีบก้าวเข้ามาด้านในพร้อมกับปิดประตูลง
เธอก็แค่พูดออกไปเพราะเห็นว่าเขาขี่ม้าวิ่งมากลางดึกกลางดื่นแบบนี้เท่านั้นเอง แต่ดูเหมือนว่าเฟเรสดันเข้าใจไปว่าเธอหนาวเสียได้
เธอนั่งลงข้างกายเฟเรส แล้วลงมือจัดเตรียมชาให้เขา
เหมือนอย่างที่เคยทำทุกครั้งที่เด็กหนุ่มมาหา
เฟเรสเอ่ยพูดขึ้นท่ามกลางเสียงแกรกๆ จากการเตรียมแก้วชาและกาน้ำชา
“ขอโทษนะที่จู่ๆ ก็มาหา เทีย”
“ไม่ถึงกับต้องขอโทษหรอก”
เธอจงใจยิ้มสดใสให้เขา
แต่รอยยิ้มก็ค้างอยู่บนใบหน้าต่อไปไม่ได้นาน
“แคทเธอรีนบอกว่าสีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย”
แคทเธอรีนนี่มีนัยน์ตาเฉียบแหลมจริงๆ เลยนะ
หลังจากพบกันเมื่อตอนกลางวัน แล้วเดินทางกลับพระราชวัง ก็คงจะตรงดิ่งไปแจ้งข่าวให้เฟเรสรู้ทันที
“เหรอ ข้าไม่เป็นอะไรสักหน่อย ทำไมแคทเธอรีนถึงได้พูดแบบนั้นล่ะเนี่ย”
แต่ในจังหวะที่พูดออกไปแบบนั้น แก้วน้ำชาในมือก็ดันลื่นหลุดมือเสียได้
“อ๊ะ!”
มันไม่ได้อันตรายอะไรขนาดนั้น
ก็แค่แก้วชาควรจะร่วงหล่นลง จนทำให้น้ำร้อนในแก้วหกเลอะเดรสของเธอเท่านั้นเอง
แต่เรื่องแบบนั้นดันไม่เกิดขึ้น
เพราะมือของเด็กหนุ่มคว้าเอาแก้วชาที่ร่วงตกลงไปจับเอาไว้ทั้งแบบนั้นเสียก่อน
แน่นอนว่าน้ำชาร้อนกรุ่นในแก้วทั้งหมดจึงหกรดมือของเฟเรสแทน
“เฟเรส!”
เพราะอากาศยามค่ำคืนมันเย็นเฉียบจนทำให้ตัวสั่น น้ำที่ใช้ชงชานั่นเธอเลยตั้งใจต้มมันจนร้อนยิ่งกว่าที่เคย
“เจ้านี่นะ จริงๆ เลย!”
ปล่อยมันให้ร่วงตกลงไปแบบนั้น ก็ใช่ว่าเธอจะบาดเจ็บอะไรสักหน่อย
ในเมื่อเธอเองก็คลุมผ้าคลุมผืนหนาทับชุดนอนอยู่แล้ว อย่างมากก็แค่ชุดเปียกนิดหน่อยเท่านั้นเอง
แล้วทำไมกัน
เธอดึงแก้วชาออกจากมือของเฟเรสอย่างรวดเร็ว แล้วรีบไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดน้ำที่เปียกเลอะมือเขา ก่อนจะตวาดเสียงดังใส่เฟเรส
“บุ่มบ่ามทำแบบนี้ทำไม! ถ้าเจ็บหนักจะทำยังไงฮะ!”
“ก็ยังดีกว่าให้เจ้าต้องเจ็บตัว”
“เฟเรส เจ้า…”
ลำคอตีบตันจนพูดอะไรไม่ออก
ต่อให้เป็นมือที่หยาบกร้านและมีรอยแผลมากมายจากการใช้ดาบก็เถอะ แต่ยังไงก็ต้องเจ็บมากแท้ๆ
ใบหน้าของเฟเรสกลับไม่มีสีหน้าเจ็บปวดให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
นัยน์ตาของเด็กหนุ่มยังคงมองแต่เธอ
กระทั่งตอนนี้ก็เหมือนกัน นัยน์ตาของเขากำลังมองสำรวจเธอด้วยความเป็นห่วงเป็นใย มัวแต่เป็นกังวลว่าเธอจะโกรธเขามากหรือเปล่า
เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยไม่ยอมให้เฟเรสมองเห็นว่าตอนนี้เธอมีสีหน้าแบบไหน หลังจากนั้นจึงค่อยใช้ผ้าช่วยเช็ดมือข้างนั้นให้สะอาด
ระหว่างนั้นผิวเนื้อของเขาก็แดงไปมากกว่าเดิมแล้ว
“คงเจ็บน่าดู”
“ไม่เท่าไหร่”
เฟเรสมองชายผ้าคลุมของเธอในขณะที่เอ่ยตอบ เพื่อที่จะตรวจเช็กดูให้แน่ใจว่าน้ำร้อนไม่ได้กระเด็นเลอะมาถึงเธอด้วย
รู้สึกผิดชะมัด
“เจ้าจะแสบร้อนไปสักพักเลย”
“ไม่เป็นไร”
“อาจจะเป็นแผลพองด้วยก็ได้”
“ไม่เป็นไร”
“อาจจะมีแผลเป็นเหลือทิ้งไว้ก็ได้นะ”
“…ไม่เป็นไร เทีย”
“จะไม่เป็นไรได้ยังไง!”
สุดท้ายก็เผลอตวาดขึ้นเสียงดังใส่เขาจนได้
นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสเอาแต่มองหน้าเธอไม่ยอมละสายตา
“เฟเรส เจ้านี่นะ ทำไม…ทำไมถึงได้…!”
พูดอะไรต่อไม่ออก
รู้สึกเหมือนความรู้สึกทั้งมวลกับความคิดต่างๆ นานามันกดทับลงมาบนหน้าอกจนแน่น
กลัวว่าถ้าเผลอพูดอะไรออกไป แล้วจะได้รับคำตอบแปลกๆ กลับคืนมา เลยได้แต่ปิดปากแน่นนั่งอยู่อย่างนั้น
โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามือของตัวเองกำลังจับมือของเฟเรสเอาไว้แน่น
ในตอนนั้นเอง เฟเรสก็ใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเสยผมของเธอที่ปรกลงมาทัดไปหลังหูให้
มือคู่นั้นมันทั้งอบอุ่นทั้งอ่อนโยนมากเสียจนเธอได้แต่นั่งเหม่อมองเขา
“ชอบเทีย”
เฟเรสเอ่ยพูด
“สำหรับข้าแล้วเจ้าสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าร้องไห้ไปเลย”
ในตอนนั้นเองเธอถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้
ว่าตัวเองกำลังร้องไห้อยู่
ติ๋ง
รู้สึกได้ถึงหยาดน้ำตาหยดหนึ่งที่ไหลอาบลงมาบนแก้มด้านขวา
เฟเรสมองเธอด้วยนัยน์ตาแฝงความเจ็บปวด ก่อนจะใช้ปลายนิ้วช่วยเช็ดหยาดน้ำตาให้
“อย่าร้องไห้”
แต่คำพูดของเฟเรสกลับไร้ประโยชน์
เพราะหยาดน้ำตามันกลับเอาแต่ไหลรินลงมาจากนัยน์ตาอยู่เรื่อย
“เฟเรส”
“อื้อ?”
“ทำไม…ทำไมถึงชอบข้า”
รอยย่นปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเฟเรส
ชายหนุ่มเอ่ยตอบ
“เจ้ามอบโลกทั้งใบให้กับข้า”
มือใหญ่ข้างนั้นโอบประคองแก้มด้านขวาของเธอเอาไว้อย่างนุ่มนวล
“เจ้าบอกข้าว่าจะต้องมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ไม่ใช่เหรอ”
นัยน์ตาของเฟเรสโค้งหยีเป็นรอยยิ้ม
ไม่รู้ทำไมภาพของเด็กน้อยในวัยเยาว์ถึงได้ปรากฏขึ้นมาซ้อนทับอยู่บนหน้าชายหนุ่มเสียได้
เด็กตัวน้อยที่เงยหน้ามองเธอทั้งๆ ที่ยังมีหญ้าคาอยู่เต็มปาก
“เพราะอย่างนั้นตั้งแต่วันนั้น ข้าถึงได้”
เฟเรสจุมพิตลงบนหน้าผากของเธอ
และแนบหน้าผากของตัวเองลงมาอย่างระมัดระวัง
“ข้าถึงได้มีชีวิตอยู่เพื่อเจ้า เทีย”