เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 181.2
จมูกของเฟเรสสัมผัสเข้ากับปลายจมูกของเธอ
“ข้าไม่อาจห้ามใจตัวเองไม่ให้รักเจ้าได้เลย”
“รัก…ข้า?”
เสียงของเธอยามเอ่ยถามกลับไปมันสั่นเทาเจือเสียงเครือสะอื้นไห้
“ตั้งแต่วินาทีแรกที่พบกัน”
เสียงของเด็กหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความสุข
“เจ้าเป็นโลกทั้งใบของข้า…”
เธอแตะริมฝีปากของตัวเองลงไปบนริมฝีปากของเฟเรส
น้ำตาไหลลงมาแทรกซึมผ่านริมฝีปากให้รสเค็มปะแล่ม แต่เธอไม่สนใจหรอก
จับเสื้อของเด็กหนุ่มกระชากดึงเข้ามาใกล้ แนบริมฝีปากให้ประกบชิดกัน
กลิ่นกายของเฟเรสลอยฟุ้งผสานเข้ามาในจมูก ริมฝีปากของเธออ้าออกเล็กน้อย ปลายนิ้วที่ดึงรั้งชายเสื้อเชิ้ตของเขาสั่นเทาจนน่าเป็นห่วง
แต่แล้วมือใหญ่ของเฟเรสก็กุมทับมือของเธอ
ช่วยจับมือที่สั่นเทาไม่หยุดของเธอเอาไว้
“ฮ่า”
เพราะหัวใจเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงราวกับเพิ่งแข่งวิ่งมา สุดท้ายลมหายใจหอบแฮกแผ่วเบาจึงหลุดออกมาจากปากเธอ
และนั่นราวกับเป็นเสียงสัญญาณ เฟเรสเริ่มขยับกายอีกครั้ง
มือข้างที่เคยถูกห่อเอาไว้ด้วยผ้าขนหนูเป็นอิสระไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มือข้างนั้นไล้ผ่านลำคอแทรกเข้ามาในกลุ่มผมของเธอ
นิ้วแกร่งไล้ผ่านแนวสันกรามขึ้นไปถึงใบหู
ทุกครั้งที่เขาทำแบบนั้น เธอรู้สึกเหมือนมีดอกไม้ไฟระเบิดอยู่ในตัวเลย
ทุกครั้งที่ริมฝีปากของเฟเรสประกบเข้ากับริมฝีปากของเธออย่างหิวกระหาย
“อ๊ะ!”
ทุกครั้งที่ปลายลิ้นสัมผัสกัน
รู้สึกราวกับหินเหล็กไฟกระทบกันจนเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แขนของเธอยกขึ้นโอบคล้องรอบคอเฟเรส
ร่างกายของพวกเราสัมผัสแนบชิดจนไม่เหลือช่องว่างแม้แต่นิ้วเดียว
“เทีย”
ลมหายใจระต้นคอยามเฟเรสเอ่ยเรียกชื่อเธอเสียงทุ้ม มันเอาแต่ปลุกเร้าดอกไม้ไฟในช่องท้องอยู่เรื่อย
มือแกร่งลูบไล้ไล่ลงไปถึงเอวคอดกิ่ว เข้าโอบรัดเธอแน่น แต่เพียงไม่นานก็ผ่อนแรงลง
ราวกับกลัวว่าหากออกแรงมากเกินไปจะทำให้เธอแตกสลาย
พอเธอเริ่มหายใจติดขัด เฟเรสถึงได้ยอมผละริมฝีปากออกไป แต่ก็ยังอดใจไม่ไหว ดึงดันกลับเข้ามาประกบเข้ากับริมฝีปากของเธออีกครั้งอย่างหิวกระหาย
ทุกอารมณ์ความรู้สึกของเขามันถูกถ่ายทอดมาถึงเธอ
“แฮก แฮก…”
พอเห็นว่าเธอเริ่มหายใจได้ลำบาก เฟเรสก็ยอมผละริมฝีปากออกในที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้นปลายนิ้วหยาบก็ยังคงเอาแต่ลูบไล้ริมฝีปากของเธออย่างอ้อยอิง
แอบปรือตาช้อนขึ้นมอง ก็พลันสบสายตาเข้ากับนัยน์ตาสีแดงที่ยังคงเอาแต่มองหน้าเธอราวกับตกอยู่ในมนตร์สะกด
ข้างในนั้นยังคงมีแค่เธอคนเดียว
สายตาร้อนแรงจับจ้องกันราวกับจะแผดเผากันให้มอดไหม้เป็นจุล
แต่แล้วจู่ๆ ในชั่วเสี้ยววินาที นัยน์ตาของเด็กหนุ่มกลับสั่นไหวขึ้นมา
“เฟเรส?”
“…ทำไม?”
เฟเรสเอ่ยถามเธอเสียงแหบพร่า
“ทำไมถึงได้เศร้าล่ะ”
และเหม่อมองหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่นไหลรินอีกครั้งจากนัยน์ตาของเธอ
คนที่ร้องไห้คือเธอแท้ๆ
แต่เฟเรสกลับดูเจ็บปวดยิ่งกว่า
เธอยกมือขึ้นลูบแก้มของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน เหมือนอย่างที่เฟเรสปลอบเธอเมื่อครู่นี้ ก่อนจะเอ่ยพูด
“ข้าจะเป็นเจ้าตระกูล เฟเรส”
“ข้ารู้”
“และเจ้าก็จะต้องขึ้นครองบัลลังก์”
“…คงเป็นแบบนั้น”
“จุดจบของพวกเรามันก็เห็นชัดกันอยู่แล้ว ข้าจะไม่เศร้าได้ยังไง”
หัวใจของเธอกำลังสั่นไหวขนาดนี้แท้ๆ
กำลังบอกว่าอยากใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา
ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไม่อาจทำได้ แต่ก็ยังอยากให้เขายอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อเธอ
อยากจะเห็นแก่ตัวเรียกร้องขอให้เขายอมแพ้
เธอแนบปากลงบนริมฝีปากของเฟเรสอีกครั้ง
ครั้งนี้แตกต่างกับครั้งก่อนเล็กน้อย
มันเป็นจุมพิตที่ระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“เทีย”
เด็กหนุ่มเองก็คงจะรู้สึกได้เหมือนกัน ถึงได้เอาแต่มองสบนัยน์ตาของเธอ
“กฎมนเทียรบาลของอาณาจักรไม่ได้ห้ามไม่ให้โอรสองค์รองขึ้นเป็นจักรพรรดิ ก็แค่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเท่านั้น และก็ไม่ได้ขวางห้ามไม่ให้ผู้หญิงขึ้นเป็นเจ้าตระกูลด้วย”
เธอเอ่ยพูด พยายามบังคับเสียงสั่นของตัวเองให้นิ่งสงบมากที่สุด
“แต่เจ้าตระกูลน่ะ ไม่มีวันเป็นจักรพรรดินีได้”
พูดให้ชัดก็คือ วินาทีที่ขึ้นเป็นจักรพรรดินี ผู้หญิงคนนั้นจะสูญเสียสิทธิทุกอย่างในการสืบทอดตระกูล
จะต้องใช้ชีวิตต่อไปในฐานะสมาชิกราชวงศ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ชื่อสกุลของตระกูลผู้ให้กำเนิดจะถูกลบทิ้งไป เหลือทิ้งไว้มากสุดก็เพียงแค่ชื่อต้นกับชื่อกลางเท่านั้น
เธอแตะหน้าผากของตัวเองเข้ากับหน้าผากของเฟเรสพลางเอ่ยต่อ
“ไม่ว่าจะกี่ครั้งข้าก็จะเลือกตระกูลของข้า เฟเรส ข้าจะเลือกลอมบาร์เดีย”
เธอไม่อยากโกหกเขา
แพขนตายาวงอนของเฟเรสสั่นระริก
“ขอโทษนะ”
เธอพูดออกไปจากใจจริง
“แต่ว่า…”
“พอเถอะ”
เฟเรสเองก็จุมพิตตอบกลับลงบนริมฝีปากของเธอเช่นเดียวกัน
“อย่าเศร้าอีกเลยนะ เทีย”
มืออุ่นโอบกอดเธอเอาไว้ด้วยความหวงแหน
“ไม่ต้องเศร้าเพราะเรื่องแบบนั้นก็ได้”
“นั่น…หมายความว่ายังไง”
เฟเรสมองเธอนิ่งๆ
“โลกที่ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเจ้าได้ มันช่างไร้ความหมาย”
เสียงของเฟเรสแห้งผาก
“เพราะฉะนั้นข้าจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้เอง เจ้าไม่ต้องกังวลก็ได้ เทีย”
เด็กหนุ่มกล่าวเช่นนั้น ในขณะเดียวกันก็ถูไถใบหน้าลงบนซอกคอกับปอยผมของเธอที่ปรกลงมา
“อย่าเศร้าไปเลย”
กลิ่นกายหอมหวานดั่งดอกกุหลาบสีแดงโอบล้อมรอบกายราวกับจะกลืนกินเธอทั้งร่าง
“หากเจ้าเศร้า ข้าก็จะรู้สึกเหมือนมีคนกำลังใช้มีดแทงหัวใจข้าเลย”
เฟเรสพูดพลางสวมกอดเธอไว้แน่น
“เพราะฉะนั้นอย่าเศร้าไปเลยนะ เทีย”
เพราะอย่างนั้นเธอเลยไม่ทันได้เห็นว่า นัยน์ตาสีแดงของเด็กหนุ่มส่องประกายโหดเหี้ยมขึ้นมาแวบหนึ่ง
* * *
วันพบปะนักเรียนทุนลอมบาร์เดีย
ถึงวันพบปะนักเรียนทุนทีไร คฤหาสน์ก็มักจะเต็มไปด้วยเสียงดังโหวกเหวกเป็นประจำ
ขนาดจัดงานเร็วกว่าที่กำหนด แต่พอมองออกไปนอกหน้าต่างก็ยังเห็นผู้คนมากมายเดินทางมาถึงกันแล้ว
เธอเอนกายพิงหน้าต่างเหม่อมองภาพด้านนอกอยู่อย่างนั้น แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามาได้ค่ะ”
ประตูเปิดออกเงียบๆ พร้อมกับคำอนุญาตของเธอ
“ท่านฟีเรนเทีย”
“เชิญค่ะ แคทเธอรีน”
แคทเธอรีนเป็นฝ่ายเดินเข้ามาในห้องก่อน แล้วจึงค่อยเบี่ยงกายหลบให้เห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนาง
เธอมองหญิงสาวคนนั้นพลางกล่าวทักทายต้อนรับ
“ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์ลอมบาร์เดียนะคะ คุณราโมนา”
ราโมนาผู้แสนงดงาม เจ้าของเรือนผมสีแดงและนัยน์ตาสีฟ้าดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่สิ ตอนนี้คงต้องเรียกให้ถูกแล้วสินะคะ”
เธอเดินเข้าไปใกล้ ยิ้มหวานยื่นมือข้างหนึ่งออกไปเพื่อจับมืออีกฝ่าย
“ยินดีต้อนรับค่ะ คุณหนูราโมนา บราวน์”