เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 182.1
ตอนที่ 182
ลานจัดงานเลี้ยงด้านนอกที่มีผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่กำลังเกิดเสียงดังฮือฮาไปทั่วด้วยหัวข้อเดียวกัน
“งามเกินไปแล้วไม่ใช่หรือครับนั่น”
“ราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ เลยนะคะ!”
ผู้คนมากมายที่กำลังส่งเสียงชื่นชมกันไม่ขาดสาย ต่างก็กำลังมองตรงไปยังใจกลางสนามหญ้าสีเขียวเป็นสายตาเดียวกัน
ตรงบริเวณนั้นมีตอไม้ขนาดใหญ่ซึ่งถูกแกะสลักเป็นรูปหญิงสาวที่กำลังทำท่าก้มหน้ามองต้นไม้ขนาดเล็กเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขา
“ได้ยินชื่อเสียงเล่าลือของอัลเพโอ้ จอห์น มาหนาหูทีเดียว แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีฝีมือถึงระดับนี้!”
“ไม่รู้ว่าหญิงสาวนางนั้นเป็นใคร แต่ดูเหมือนจะมีความรักในต้นไม้มากเลยนะคะว่ามั้ย”
“ว่าแต่ทำไมถึงไม่ใช้ต้นไม้ที่เติบใหญ่เต็มที่แล้ว แต่เป็นต้นไม้เล็กๆ แบบนั้นล่ะคะ”
ในขณะที่ผู้คนกำลังสนทนาเกี่ยวกับไม้แกะสลักกันอย่างกระตือรือร้น
สารถีผู้คอยขับรถม้ารับส่งตั้งแต่เจ้าหน้าที่ประจำสำนักราชวัง ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่มาจากสมาคมนักเรียนทุนลอมบาร์เดียคนหนึ่ง ก็ก้าวเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์
ใบหน้าหยาบกร้านเต็มไปด้วยหนวดเครา เสื้อผ้าตัวเก่าดูซอมซ่อ
สิ่งที่ทำให้สารถีขับรถม้าที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปทุกหนแห่งในอาณาจักรคนนี้ดูพิเศษกว่าคนอื่น ก็คงจะมีเพียงแค่แขนเสื้อข้างขวาที่ห้อยต่องแต่งด้วยความว่างเปล่าเท่านั้น
เหลือบ
เขาเหลือบสายตามองผู้คนสวมเสื้อผ้าหรูหราที่กำลังสนทนากันอยู่ด้านนอกด้วยนัยน์ตาเฉยเมย ก่อนจะก้าวเดินขึ้นไปบนบันไดอย่างไร้ซึ่งความลังเล
และเดินตรงไปหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งด้วยท่าทางคุ้นชินอย่างเป็นธรรมชาติ
ห้องทำงานของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย
หน้าประตูห้องที่มักจะมีเหล่าอัศวินลอมบาร์เดียยืนอารักขาอยู่เสมอไม่มีเว้นว่างแม้แต่ชั่วโมงเดียว กลับว่างเปล่าด้วยเหตุผลบางอย่าง
“ฮู่ว”
สารถีขับรถม้าพ่นลมหายใจ ก่อนจะเคาะประตูอย่างระมัดระวัง
“เข้ามาได้”
เสียงรูลลัก ลอมบาร์เดีย ผู้เป็นเจ้าของห้องทำงานดังตอบกลับมา
สารถีรีบถอดหมวกที่สวมอยู่ออกมาถือแนบอก ทันทีที่เดินเข้าไปข้างในห้องทำงานก็โค้งศีรษะ ค้อมกายลงอย่างสุภาพอ่อนน้อม
“ฮ่าฮ่า”
รูลลักมองภาพตรงหน้า แล้วก็ต้องระเบิดหัวเราะเสียงดัง
“ใช้ชีวิตในฐานะสามัญชนจนกลายเป็นสามัญชนไปแล้วจริงๆ หรือไง”
“ขะ…ขออภัยครับ”
สารถีรถม้าหัวเราะด้วยความกระดากอาย
รูลลัก ลอมบาร์เดีย ลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินเข้ามาตบไหล่สารถีรถม้าเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ คิลลาร์ด บราวน์ ไม่สิ สืบทอดตระกูลแล้วเช่นนั้นตอนนี้ก็ต้องเรียกให้ถูกต้องว่าเจ้าตระกูลบราวน์ใช่มั้ย”
นามที่ไม่มีใครเอ่ยขานเรียกเขาอีกต่อไปแล้ว ทำให้คิลลาร์ด บราวน์ ได้แต่ยิ้มขมขื่น
“ขอบคุณที่สละเวลานะครับ ท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
“นั่งเถอะ”
รูลลักส่งแก้วชาที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าให้อีกฝ่าย
และเอ่ยพูดในขณะที่เงยหน้ามองสำรวจคิลลาร์ด บราวน์ อย่างเชื่องช้า
“เจ้าคงจะลำบากมาก”
“…แค่ยังมีชีวิตรอดอยู่ถึงตอนนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นโชคดีของข้าแล้วครับ”
สายตาของคิลลาร์ด บราวน์ จับจ้องไปยังตำแหน่งของมือข้างขวาที่ถูกตัดทิ้งไปจนไม่เหลือให้เห็นอีกแล้ว
รูลลักเองก็มองตามสายตาของคิลลาร์ด ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“อังเกนัสสินะ เล่นสกปรกมากจริง”
เมื่อ 40 ปีก่อน อังเกนัสได้แย่งชิงเอาผืนดินของตระกูลบราวน์ไปจนหมด หลังจากนั้นก็กวาดล้างเชื้อสายตระกูลบราวน์ทิ้งจนไม่เหลือซาก
เจ้าตระกูลบราวน์ หรือบิดาของคิลลาร์ด บราวน์ ที่ถูกขับออกจากเขตแดนของตัวเอง จนต้องหนีไปพึ่งพาเขตแดนใกล้ๆ แทนก็ถูกสังหารเช่นกัน
ถึงแม้จะไม่เคยมีการเปิดเผยออกมาอย่างแน่ชัดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่ไม่มีใครไม่ทราบว่าเรื่องทั้งหมดนั่นเป็นฝีมือของตระกูลอังเกนัส
“ตายไปเสียยังดีกว่า”
รูลลักเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะด้วยความไม่พอใจในลำคอ
ถึงแม้คำพูดนั้นจะฟังดูหยาบคายอยู่บ้าง แต่คิลลาร์ด บราวน์ ไม่ได้รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย
เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีหลายค่ำคืนที่เขาได้แต่ครุ่นคิดว่า หากเขาตายตกไปพร้อมบิดาเสียในคืนนั้น คงจะรู้สึกอัปยศน้อยลงไปได้บ้างจริงๆ
“นักดาบกลับต้องมาสูญเสียมือข้างขวาไปแบบนี้”
มือสังหารที่ตระกูลอังเกนัสส่งมาในตอนนั้น ได้จัดการสังหารเจ้าตระกูลบราวน์ที่ยังหนุ่ม บุตรชายคนโต และผู้ชายทั้งหมดในตระกูลที่สามารถสืบทอดตระกูลได้จนสิ้น
น้องชายของเจ้าตระกูลบราวน์ในอดีตรอดชีวิตมาได้อย่างยากลำบาก แต่ก็ถูกตัดขาทั้งสองข้างทิ้ง ส่วนคนที่เหลือรอดรวมถึงคิลลาร์ดต่างก็ต้องสูญเสียมือข้างขวาไป
พวกเขาเป็นผู้รอดชีวิต แต่ก็เป็นพยานในเหตุการณ์ที่ได้แต่ปิดปากเงียบ
“ถึงยังไงก็ยังมีชีวิตรอดอยู่มิใช่หรือ”
รูลลักพูดกับคิลลาร์ด บราวน์
“มีแต่คนที่ยังมีชีวิตรอด ถึงจะยิ่งลับคมดาบแห่งการแก้แค้นให้คมกริบยิ่งกว่าผู้ใด”
คำพูดนั้นทำให้ไหล่ของเจ้าตระกูลบราวน์สะดุ้งเฮือก
เพราะตกใจที่ตนยังไม่ได้เปิดปากพูดธุระของตัวเองออกไปเลยสักคำ แต่รูลลักกลับทราบเรื่องทั้งหมดอยู่ก่อนแล้ว
นัยน์ตาสีน้ำตาลลึกซึ้งของรูลลักแฝงไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เจ้าว่ามาตามตรงเถอะ เหตุผลใดกันที่เจ้าอยากพบข้าในวันนี้”
และพูดเสริมต่อในขณะที่มองใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยความเครียดของคิลลาร์ด บราวน์
“ไม่ต้องกังวลเรื่องอังเกนัสหรอก ช่วงนี้พวกนั้นมัวแต่ไล่ดับไฟที่ลามติดหางของตัวเองจนไม่มีเวลามาสนพวกเราแน่ ข้าเองก็จัดงานพบปะนักเรียนทุนขนาดนี้แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงว่าเรื่องที่เจ้ามาพบข้าในวันนี้จะหลุดออกไป”
“ขอบคุณ…ครับ”
คิลลาร์ด บราวน์ โค้งศีรษะลงอย่างนอบน้อม
เขาเปิดปากพูดด้วยความสิ้นหวังทั้งๆ ที่ยังไม่เงยหน้าขึ้น
“ได้โปรดช่วยตระกูลบราวน์ด้วยเถอะครับ ท่านผู้อาวุโส”
“ยังไงล่ะ”
“…ข้าหาทางเอาผืนดินที่ถูกอังเกนัสแย่งชิงไปกลับคืนมาได้แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นต้องได้ชื่อตระกูลกลับคืนมาครับ”
สุดท้ายเมื่อ 10 ปีก่อน อังเกนัสก็ประสบความสำเร็จในการจัดการลบชื่อตระกูลบราวน์ออกจากทำเนียบรายชื่อชนชั้นสูงได้สำเร็จ
พูดอีกแง่ก็คือ ในตอนนี้ตระกูลบราวน์ไม่ใช่ชนชั้นสูงอีกต่อไปแล้ว
“เพราะฉะนั้นจึงอยากขอให้ข้าช่วยทวงชื่อตระกูลให้ในการประชุมขุนนางรึ”
“…น่าละอาย แต่เป็นเช่นนั้นครับ”
รูลลักลูบเคราขาวอย่างช้าๆ
“เช่นนั้นแล้วลอมบาร์เดียจะได้สิ่งใด”
“หากตระกูลบราวน์ฟื้นกลับคืนมาได้ พวกข้าขอสาบานว่าจะเป็นพันธมิตรที่จงรักภักดีต่อลอมบาร์เดียไปตลอดกาลครับ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
รูลลักระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น
“ยังจะมีการลงทุนใดที่ไร้ผลประโยชน์เท่านี้อีก ได้ตระกูลบราวน์ที่ตอนนี้มองหาในทำเนียบรายชื่อชนชั้นสูงยังไม่เจอด้วยซ้ำมาเป็นพันธมิตรเนี่ยนะ”
ชั่วเสี้ยววินาที แววตาของรูลลักพลันส่องประกายดุดันขึ้นมา
“อีกอย่าง จะให้ข้าเชื่อใจในตัวพวกเจ้าที่กลายเป็นคนของเจ้าชายลำดับที่สองไปแล้วได้ยังไง”