เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 183.2
เล่ม 5 บทที่ 183.2
ณ วังจักรพรรดินี
เครย์ลีบัน จักรพรรดินีราวีนี และเจ้าตระกูลอังเกนัสอย่างดิวอิจกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่รอบโต๊ะ
“ประทับตราประจำตระกูลตรงนี้ก็เสร็จเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ”
เครย์ลีบันพูดพลางชี้ไปยังมุมหนึ่งของกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ
ที่ฟีเรนเทียพูดไว้เป็นความจริง
หลังจากส่งสารติดต่อไปยังร้านค้าเพลเลส งานก็ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว และวันนี้ก็เป็นวันลงนามในหนังสือสัญญาอย่างเป็นทางการ
หนี้สินที่ติดค้างลอมบาร์เดียหายไปหมดสิ้น ร้านค้าเพลเลสกลายเป็นผู้ถือพันธบัตรหุ้นกู้แทน
ดอกเบี้ยก็แทบไม่ต้องจ่าย แค่ใช้ที่ดินผืนเล็กเท่าปลายนิ้วในซอกหนึ่งของเขตตะวันตกเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันก็เพียงพอแล้ว
อีกอย่าง ชายที่มีนามว่าเครย์ลีบัน เพลเลส คนนี้ก็ต่างจากที่เคยได้ยินมามาก เป็นคนที่ถูกใจนางเสียจริง
แน่นอนว่ารูปร่างหน้าตาหล่อเหลาก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ท่าทางสุภาพมีมารยาทไม่เหมือนพวกพ่อค้าพวกนั้นเป็นจุดที่ทำให้เขาดูดียิ่งในสายตานาง
“ดูเหมือนที่ผ่านมาข้าจะเข้าใจเจ้าของร้านค้าเพลเลสผิดไปนะคะ”
จักรพรรดินีราวีนีแย้มยิ้มด้วยความพอใจ
นางนึกว่าร้านค้าเพลเลสจะจงรักภักดีอยู่ฝ่ายลอมบาร์เดียอย่างไร้เงื่อนไขเสียอีก
แต่พอได้อ่านหนังสือสัญญาที่อีกฝ่ายนำมาวันนี้แล้ว จักรพรรดินีราวีนีก็มั่นใจได้ทันที
ร้านค้าเพลเลสเองก็อยากจะทอดสะพานมาทางฝั่งอังเกนัสด้วยเช่นกัน
“เข้าใจผิดที่ว่า…”
“เห็นร้านค้าเพลเลสมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลอมบาร์เดียเป็นอย่างมาก เลยเข้าใจว่าคงไม่อยากทำการค้ากับอังเกนัสน่ะค่ะ”
ราวีนีจงใจตอบกลับไปตรงๆ
จักรพรรดินีกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว คนส่วนใหญ่ย่อมต้องตื่นตระหนกรีบหาข้อแก้ตัว
“แล้วก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องไม้ทรีบ้าด้วย”
ทั้งยังตั้งใจขุดคุ้ยเรื่องในอดีตขึ้นมาพูด
“เรื่องนั้น…เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ ที่ร้านค้าเพลเลสมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือมากมายจากลอมบาร์เดีย แต่อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ลอมบาร์เดียเป็นผู้กุมบังเหียนต่อไปได้ตลอดอยู่แล้ว ส่วนเรื่องต้นทรีบ้าเองที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ความตั้งใจจริงของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
ว่าแล้วเชียว
คำพูดของเครย์ลีบันทำให้จักรพรรดินีลอบยิ้มในใจ
“อย่างไรเรื่องทั้งหมดนั่นก็ผ่านไปแล้ว ข้าไม่นำมาใส่ใจหรอกค่ะ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
ราวีนีพยักหน้าลง ก่อนจะหยิบตราประทับประจำตระกูลอังเกนัสขึ้นมาถือไว้
“เช่นนั้นก็ทำสัญญา…”
“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน”
แต่จู่ๆ เครย์ลีบันกลับขวางจักรพรรดินีเอาไว้
“ท่านเจ้าตระกูลอังเกนัสต้องเป็นผู้ประทับตราพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของจักรพรรดินีกระตุกเกร็งจนนิ่งขรึม
แต่เครย์ลีบันก็ไม่คิดที่จะถอยให้
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี แต่ตราประทับจำเป็นต้องให้ผู้เป็นเจ้าตระกูลเป็นคนประทับตรา ถึงจะมีผลบังคับใช้”
“…หรือคะ”
จักรพรรดินีส่งตราประทับตระกูลอังเกนัสให้ดิวอิจด้วยสีหน้าเย็นชา
“เช่นนั้นเจ้าเป็นคนประทับก็แล้วกัน”
“อะแฮ่ม”
ดิวอิจ อังเกนัส รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย แต่ก็รับตราประทับมาถือไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ประทับตรงนี้งั้นหรือ”
“ครับ ท่านเจ้าตระกูลอังเกนัส”
ดิวอิจประทับตราลงบนเอกสารย้ำๆ
พอเห็นว่าตราสัญลักษณ์ของตระกูลอังเกนัสเด่นชัดดูงดงามน่ามอง ก็แอบหัวเราะเล็กน้อยด้วยความพอใจ
“เรียบร้อยแล้วครับ”
เครย์ลีบันเก็บเอกสารสัญญาส่วนของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะโค้งกายไปทางจักรพรรดินี แล้วกล่าวลา
“กระหม่อมจะรอวันที่จะได้พบพระองค์อีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
แล้วหันไปพูดกับดิวอิจ อังเกนัส
“พอดีข้าเพิ่งเคยมาพระราชวังเป็นครั้งแรก หากไม่เป็นการรบกวนจะช่วยนำทางให้หน่อยได้มั้ยครับ”
คำไหว้วานของเครย์ลีบันทำให้ดิวอิจสะดุ้งตกใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าลงด้วยความยินดี
เพราะเขาเองก็ถูกใจเจ้าหนุ่มคนนี้มากเหมือนกัน
“ข้าเองก็กำลังจะกลับอยู่พอดี ไปด้วยกันเลยก็แล้วกัน”
ทั้งสองคนเดินไปตามโถงทางเดินโดยทิ้งจักรพรรดินีที่ยังคงมีสีหน้าเย็นชาเอาไว้ด้านหลัง
และในตอนที่เดินมาได้ถึงกลางทาง
จู่ๆ เครย์ลีบันก็หยิบเอาหนังสือสัญญาขึ้นมาดูครู่หนึ่ง แล้วสะดุ้งตกใจ
“นี่มัน!”
“ทำไม มีเรื่องอันใด”
“เป็นความสะเพร่าของข้าเองครับ ดันเขียนวันที่ในสัญญาผิดเสียได้ ตรงนี้น่ะครับ เขียนวันที่ผิดไปเป็นปีก่อน”
“ก็จริง แต่นั่นมันสำคัญด้วยหรือ”
“ครับ แบบนี้มันจะกลายเป็นสัญญาที่ไม่มีผลตามกฎหมายน่ะครับ ผู้รับมอบอำนาจอย่างข้าเองก็ไม่อาจแก้ไขวันที่เองได้…”
“ตายๆ …”
ดิวอิจ อังเกนัส เดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอ ก่อนจะชี้กลับไปยังทิศที่พวกเขาเพิ่งเดินจากมา พลางเอ่ยพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเรารีบกลับไปแจ้งองค์จักรพรรดินี…”
“ไม่ครับ ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
เครย์ลีบันโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ต้องไปทำให้องค์จักรพรรดินีรำคาญใจหรอกครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าเอาหนังสือสัญญาฉบับใหม่ไปพบที่คฤหาสน์อังเกนัสเองดีกว่า”
“ตะ…แต่ว่า”
ดิวอิจ อังเกนัส มีสีหน้าลำบากใจ
“จะทำสัญญาโดยไม่มีองค์จักรพรรดินีอยู่ด้วยมัน…”
แต่เครย์ลีบันกลับแค่ยักไหล่ไม่สนใจอะไร
“ความจริงแล้วจะมีหรือไม่มีองค์จักรพรรดินีก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกครับ”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญ?”
“วันนี้ก็แค่มาพระราชวังเพื่อที่จะรักษามารยาทเท่านั้นเอง คนที่ร้านค้าเพลเลสทำสัญญาด้วยคือตระกูลอังเกนัสต่างหาก ไม่ใช่องค์จักรพรรดินีเสียหน่อยนี่ครับ”
“เรื่องนั้น…”
ดิวอิจลากเสียงยาว แสร้งทำท่าเหมือนลำบากใจ ทั้งๆ ที่ในใจเขาพยักหน้าตกลงไปเรียบร้อยแล้ว
ใช่แล้ว
เจ้าตระกูลอังเกนัสไม่ใช่ท่านพี่ แต่เป็นเขาคนนี้
เครย์ลีบันพูดเสริมออกไปอีกประโยค
“ตามกฎมนเทียรบาลแล้ว องค์จักรพรรดินีไม่มีอำนาจใดๆ ในตระกูลอังเกนัสนี่ครับ”
ชั่วเสี้ยววินาที นัยน์ตาของดิวอิจ อังเกนัส ทอประกายวาววับขึ้นมา ถึงจะแค่ครู่เดียวจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็นได้ทันก็เถอะ
เขาหัวเราะเสียงดัง พยักหน้าตกลง
“ใช่ ใช่ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ก็มาพบข้าที่คฤหาสน์แล้วกัน จะได้จัดการทำสัญญากันใหม่”
“ครับ ข้ารู้สึกผิดจริงๆ ที่ทำให้ท่านเจ้าตระกูลต้องยุ่งยากเพราะความผิดพลาดของข้า”
ทว่ามุมปากของเครย์ลีบันที่กล่าวเช่นนั้นพลางก้มหน้านิ่ง กลับแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย