เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 193.1
เล่ม 5 บทที่ 193.1
ตอนที่ 193
แกรก
สหายทั้งสามของเฟเรสต่างก็ดันหลังกันรีบกรูหนีออกจากห้อง ก่อนประตูจะถูกปิดลงตามมา
“เฮ้อ”
อารมณ์โมโหเดือดพล่านของเธอถูกควบคุมให้สงบลงด้วยลมหายใจที่ถูกพ่นออกมาเฮือกใหญ่ ในขณะที่จ้องหน้าเฟเรสเขม็ง
แค่วันเดียวใต้ตาของเด็กหนุ่มก็หมองคล้ำลงไปมาก แก้มก็ซูบตอบ
ถึงความงามของเขาจะยังส่องประกายอยู่เหมือนเดิมก็เถอะ แต่นี่มันไม่ถูกใจเธอเอาเสียเลย
“เฟเรส”
พอเธอเรียกชื่อเด็กหนุ่มสั้นๆ นัยน์ตาสีแดงก็เงยหน้าขึ้นมองสบตาเธออย่างว่าง่าย
“ถึงแม้จะเป็นแค่การหมั้นหมายตามสัญญาก็เถอะ แต่มันก็เป็นสัญญาที่ต้องรักษา แล้วนี่เจ้าคิดจะถอนหมั้นตามอำเภอใจใครกัน”
เฟเรสเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
“เทีย ข้ากลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไรขึ้นมา”
มันอาจจะเป็นแค่คำพูดเรียบง่าย แต่เธอก็รู้ดีว่าเด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นจากใจจริง
“ถ้าถอนหมั้นกับข้าตอนนี้ ฐานะของเจ้าคงจะลำบากมากแน่ แผนการที่วางไว้ทั้งหมดเองก็จะกลายเป็นเปล่าประโยชน์นะ”
“ข้ารู้”
เฟเรสตอบหนักแน่น
“แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เจ้าต้องเจ็บตัว”
“เพราะฉะนั้นหมายความว่า ก็แค่เป็นห่วงว่าข้าจะเป็นอะไรไปแค่นั้น”
เฟเรสพยักหน้า
เธอถอนหายใจเสียงแผ่ว ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของเฟเรสที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียง มองสบนัยน์ตาเขาตรงๆ ในขณะที่เอ่ยถามออกไปด้วยเสียงจริงจัง
“เจ้าดูถูกข้างั้นหรือ”
เสียงที่ดังออกมากลับกลายเป็นน้ำเสียงหงุดหงินปนไม่พอใจโดยที่เธอเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว
นี่เป็นเพราะเขายังเจ็บอยู่หรอกนะ เธอถึงไม่ได้เอื้อมมือออกไปกระชากคอเสื้อน่ะ แต่ก็ยังรู้สึกโมโหจนเลือดขึ้นสมองจริงๆ
“ทำไมต้องทำให้ข้ากลายเป็นคนหัวหดซ่อนตัวเพราะหวาดกลัวจักรพรรดินีนั่น?”
เพราะเบ๊ตลงมือเคลื่อนไหวสืบหาข้อมูลให้ในทันที และอัศวินประจำตระกูลลอมบาร์เดียเองก็มาพบเธอกับเฟเรสบนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่นั่นได้ทันเวลาพอดี พวกเราถึงได้มีชีวิตรอดมาได้อย่างฉิวเฉียด
ถ้าดวงซวยกว่านี้ เธอกับเฟเรสก็คงจะเสียชีวิตบนทุ่งหญ้านั่นโดยไม่มีใครรู้เรื่องสักคนไปแล้ว
พูดตามตรง เธอเองก็รู้สึกกลัวมากจริงๆ
ตอนที่กำลังจะหมดสติเพราะถูกยาพิษ เธอกลัวมากว่าจะได้ลืมตามองดูโลกอีกครั้งหรือเปล่า
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
“วันที่พวกเราได้พบกันครั้งแรกในป่านั่น ข้าบอกเจ้าแล้วใช่มั้ยว่า ‘ข้าจะช่วยเจ้าเอง’ ”
“…ข้าจำได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตอบมา เฟเรส เจ้าจะปล่อยมือข้าเพียงเพราะเรื่องแค่นี้หรือ”
นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นสั่นไหวไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของเธอ
“…ย่อมไม่”
“ข้าเองก็เหมือนกัน”
เธอเอื้อมมือออกไปจัดเสื้อเชิ้ตที่ยับย่นของเด็กหนุ่ม ใช้มือสางผมเขาไปข้างหลัง พลางเอ่ยพูดไปด้วย
“เพราะฉะนั้นอย่าทำให้ข้าต้องตระบัดสัตย์ แค่เพราะหวาดกลัวจักรพรรดินีอย่างที่ใจเจ้าต้องการเลยนะ”
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้เธอได้รู้ว่าการถูกใครบางคนหมายหัวต้องการชีวิตมันเป็นยังไง และได้รู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเฟเรสต้องใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกแบบไหน
แต่เธอกลับยิ่งรู้สึกตั้งใจแน่วแน่นมากกว่าเดิม
“เพราะข้าไม่เคยคิดจะทิ้งเจ้าไว้ในโคลนตมนั่นเพียงคนเดียว แล้วหนีเอาตัวรอดหรอกนะ”
เฟเรสขมวดคิ้วแน่นจนหน้าผากย่นเป็นรอย
เด็กหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือออกมากอดเอวเธอเอาไว้แน่น
หน้าผากเนียนซุกอยู่ที่หน้าท้องของเธอ
ไม่กล้ากอดเธอแรงเกินไป อ้อมกอดของเขาแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกผิด ขอบคุณ และความรัก
ความรู้สึกทั้งมวลที่ผสมปนเปกันนั้นถ่ายทอดส่งต่อมาถึงเธอ
แผ่นหลังกว้างในเสื้อเชิ้ตยับย่นนั่นดูแล้วช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน เธอเลยดึงเขาเข้ามากอดแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“คงต้องกอดเจ้าสักหน่อยแล้วละ เจ็บก็ทนหน่อยแล้วกัน”
แรงสั่นสะเทือนจากเสียงหัวเราะแผ่วเบาของเฟเรสถูกส่งผ่านมาถึงกายเธอ
เมื่อตอนที่เธอกอดเด็กหนุ่มเอาไว้แบบนี้บนหลังม้าเมื่อคราวก่อน ปลายนิ้วของเธอสัมผัสได้แต่เลือดที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุดเพียงอย่างเดียว
เธอเหลือบตามองมือของตัวเองให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดเลอะอยู่บนนั้นทั้งสิ้น
สองมือกอดเด็กหนุ่มเอาไว้แน่นให้เท่ากับความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยที่ตีตื้นขึ้นมาในใจ
พอเห็นเธอดูไม่ค่อยสบายใจนัก เฟเรสก็คำรามเสียงต่ำฟังดูน่ากลัวไม่เหมือนเด็กหนุ่มที่เธอรู้จัก
“หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าจะสังหารพวกมันทิ้งให้สิ้น”
“ล้อเล่นอะไรโหดเหี้ยมขนาดนั้น”
เธอหัวเราะ ขณะเดียวกันก็ขยี้ผมเฟเรสจนยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ตอบอะไรกลับมา เขาดึงเธอเข้าไปกอดเอาไว้แน่นกว่าเดิม แล้วถูไถใบหน้าตัวเองลงบนหน้าท้องของเธอเหมือนเด็กดื้อรั้นเอาแต่ใจ
* * *
นางกำนัลประจำวังจักรพรรดินีนางหนึ่งวิ่งเข้ามาแจ้งจักรพรรดินีราวีนีที่เพิ่งจะตกแต่งทรงผมเสร็จพอดี
“ท่านชายแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย แวะมาเยือนที่วังเพคะ”
“ข้ายังเตรียมตัวไม่เสร็จ สั่งให้เขารอก่อน”
จักรพรรดินีพูดอย่างผ่อนคลายในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่กระจก
“ช่างไร้มารยาทเสียจริง ไม่ตอบสารที่ข้าส่งไป แต่จู่ๆ กลับแวะมาถึงวังโดยไม่บอกกล่าวกันเสียก่อนเนี่ยนะ”
จักรพรรดินีราวีนีเองก็ได้ยินข่าวมาเหมือนกันว่า แคลอฮัน ลอมบาร์เดีย ได้เดินทางจากเชซายูกลับมาถึงคฤหาสน์ลอมบาร์เดียเรียบร้อยแล้ว
นางส่งสารไปเชิญอีกฝ่ายให้มาพบที่วังจักรพรรดินีทันที แต่เพราะยังไม่ได้รับคำตอบกลับมาเสียที จึงตั้งใจที่จะส่งคนไปใหม่อีกครั้งอยู่พอดี
“เด็กนั่นก็ดันสะเออะไปอยู่ที่นั่นด้วย”
การที่ฟีเรนเทียดันอยู่ด้วยกันกับเฟเรสในตอนนั้น เรียกได้ว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญของแท้
แต่ดูจากการที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียยังนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แสดงว่าทุกอย่างยังคงถูกเก็บไว้เป็นความลับ
ทว่าผู้เป็นบิดาอย่างแคลอฮันได้ทราบเรื่องนั้นแล้วหรือยัง นางเองก็สุดจะรู้ได้
“แคลอฮันเป็นคนทึ่มทื่ออยู่แล้ว เกลี้ยกล่อมสักหน่อยก็คงจะเรียบร้อย”
นางกำนัลเปิดปากพูดอย่างระมัดระวังกับราวีนีที่นั่งพึมพำอยู่หน้ากระจกอย่างสบายอารมณ์
“คือว่า ท่านชายแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย ไม่ได้มาเยือนวังจักรพรรดินี แต่เป็นวังขององค์จักรพรรดิเพคะ องค์จักรพรรดินี”
“ว่า…ยังไงนะ?”
“ตะ…ตอนนี้ท่านชายแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย กำลังร่วมรับประทานอาหารอยู่ในสวนวังจักรพรรดิ…”
จักรพรรดินีลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งทันที
ลางสังหรณ์ร้ายบางอย่างแล่นวาบขึ้นมาบนแผ่นหลัง
“เดรส ไปเอาเดรสมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
หลังจากสวมชุดเดรสด้วยความร้อนรน ราวีนีก็มุ่งหน้าไปยังวังจักรพรรดิทันที นางรู้สึกสังหรณ์ใจไม่หยุดด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันเดจาวูแปลกๆ
เมื่อสมัยก่อนก็เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
วันที่จู่ๆ รูลลักก็มาเยือนวังจักรพรรดิอย่างกะทันหัน และกลายเป็นผู้คุ้มครองเจ้าชายลำดับที่สอง จนทำให้เรื่องทุกอย่างมันเริ่มบิดเบี้ยวไปหมด