เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 197.2
เล่ม 5 บทที่ 197.2
จักรพรรดินีสะดุ้งเฮือก
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าโต้แย้งอะไรออกไป
เพราะที่รูลลักกล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว
กระทั่งราวีนีเองก็ยังรู้เพียงแค่ว่า ตระกูลอังเกนัสเป็นตระกูลที่แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากตระกูลบราวน์ และจัดการลบล้างตระกูลของพวกเขาไปเท่านั้น
นางไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องทั้งหมดนั่นมันเกิดขึ้นเพราะเหตุใดกันแน่
เพราะบันทึกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหล่านั้นได้ถูกทำลายไปหมด เพื่อที่จะไม่ให้มีหลักฐานเหลือทิ้งไว้เอาผิดตระกูลของนางได้
ต่อให้ของสิ่งนั้นจะเป็นบันทึกเรื่องราวของตระกูลอังเกนัสก็ตาม
“แต่ข้ารู้”
รูลลักหัวเราะอย่างมีเลศนัย
“เวลาแบบนี้ยิ่งอายุมากก็ยิ่งมีประโยชน์มากจริงๆ ได้เห็นเรื่องทุกอย่างด้วยสองตาของข้าเอง ความทรงจำต่างๆ ก็ยังคงเหลืออยู่อย่างชัดแจ้ง”
นัยน์ตาเย็นชาไร้ซึ่งรอยยิ้มแตกต่างจากสีหน้าที่แสดงออกมาของรูลลักกำลังมองเหยียดจักรพรรดินีราวีนี
เดิมทีรูลลักไม่เคยคิดที่จะเป็นฝ่ายออกหน้าให้แบบนี้หรอก
เขาคิดที่จะเฝ้ามองอยู่เบื้องหลัง ปล่อยให้เทียผู้เป็นหลานสาวเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด
แต่เมื่อหลายวันก่อน เขาได้ยินข่าวมาว่า นักฆ่าที่จักรพรรดินีส่งมาเกือบจะลงมือสังหารเทียในเขตแดนของลอมบาร์เดียได้สำเร็จ
หลังจากนั้นเรื่องทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
รูลลักหันไปมองหน้าจักรพรรดิโยบาเนส ในขณะที่เอ่ยขึ้น
“ตัวตนของเจ้าตระกูลบราวน์และคนในตระกูลบราวน์ทุกคน กระหม่อมรูลลัก ลอมบาร์เดีย ผู้นี้จะเป็นคนรับรองให้เองพ่ะย่ะค่ะ”
มันไม่ใช่คำพูดที่สามารถปล่อยผ่านมองข้ามไปได้ง่ายๆ
นี่ไม่ต่างอันใดจากการที่รูลลักแสดงออกว่า เบื้องหลังตระกูลบราวน์จะมีลอมบาร์เดียคอยให้การสนับสนุน
หรืออีกนัยก็คือ ไม่ว่าตระกูลบราวน์จะก่อเรื่องใดขึ้น ลอมบาร์เดียก็จะขอร่วมรับผิดชอบไปพร้อมกัน
และถ้าหากกล้าแตะต้องกับตระกูลบราวน์แล้วละก็ ย่อมถือว่าคนคนนั้นเข้ามายุ่งกับลอมบาร์เดียด้วยเช่นกัน
‘กล้าแตะต้องหลานสาวข้างั้นหรือ’
รูลลักจ้องราวีนี อังเกนัส เขม็ง
ที่ผ่านมาตัวเขาเองก็อดทนมองสภาพน่ารังเกียจของพวกอังเกนัสมานานมากแล้ว
ในเมื่อมันทำให้รำคาญสายตามากนัก ก็แค่กำจัดทิ้งให้หายไปจากตรงหน้าเสียก็สิ้นเรื่อง
ข้าจะทำให้พวกเจ้าต้องเสียใจที่กล้าแตะต้องเทีย
รูลลักแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมไปทางจักรพรรดินีราวีนี
* * *
งานเลี้ยงยามค่ำคืนก่อนการแข่งล่าสัตว์ในวันพรุ่งนี้เริ่มส่งเสียงดังอึกทึกมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับการสนทนาออกความเห็นอย่างสนุกสนานเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลอังเกนัส และตระกูลบราวน์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
สุดท้ายจักรพรรดินีก็หลบหน้าปลีกตัวออกไปจากงานเลี้ยง
กระทั่งคำพูดต่างๆ ที่จักรพรรดินีราวีนีสบถสาปส่งระหว่างทางเดินกลับขึ้นไปยังห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในวิลล่า เพียงครู่เดียวก็ยังลอยเข้ามาถึงหูเธอเลย
“อึก แม่ง!”
อาสทาน่าเดินกลับมายังที่นั่งประจำที่เคยนั่ง ก่อนจะยกเหล้าขึ้นกรอกลงคอ
“ไปเอาเหล้ามาอีก เบเลซัก!”
เขาระบายความโกรธใส่เบเลซักที่ยืนอยู่ข้างๆ เสียงดัง
หากจักรพรรดินีอยู่ตรงนี้ด้วยละก็ คงจะพอห้ามปรามกันได้บ้างแท้ๆ
“เจ้าชาย พอได้แล้ว…”
“หนวกหู!รีบไปเอาเหล้ามาให้ข้า!”
พวกอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์ที่คอยอารักขาอยู่ต่างก็ทำท่าเหมือนจะเข้ามาห้ามอยู่หลายครั้ง แต่อาสทาน่าที่ตอนนี้เมาปลิ้นนั้นกู่ไม่กลับแล้วจริงๆ
คงจะได้เวลาแล้วสินะ
“ตามข้ามาค่ะ คุณหนูบราวน์”
เธอขวางหน้าผู้ดูแลที่กำลังจะเดินเอาเหล้าแคลโรก้าไปให้เบเลซักเอาไว้ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาอาสทาน่า
“หยุดได้แล้วกระมังเพคะ เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง”
“อะไร”
“กระหม่อมจะไม่ให้คนไปนำเหล้ามาให้เพิ่มอีกแล้วเพคะ”
หากบอกจะไม่ยอมให้เหล้ากับคนที่เมาเป็นหมาแล้วละก็ จะมีปฏิกิริยาแบบไหนกันนะ
“นี่เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าอย่างนั้นหรือ!”
แน่นอนก็ต้องเห่าโฮ่งๆ อยู่แล้ว
เห่าโฮ่งๆ เหมือนพร้อมที่จะกระโจนเข้ามากัดเธอเต็มที่
“กับอีแค่เงินซื้อเหล้าแคลโรก้าเจ้าเสียดายมันด้วยหรือไง ลอมบาร์เดียดูแลแขกได้แค่นี้งั้นหรือ น่าสมเพชชะมัด!”
เธอเอ่ยเสียงเรียบกับอาสทาน่าที่เอาแต่พูดข่มขู่ให้ส่งเหล้าให้เขาเพิ่ม
“ถ้าเป็นเรื่องเงินต่อให้เจ้าชายสวรรคตไปจากโลกนี้ ก็ยังมีเหลือเฟือเลยละเพคะ แต่นี่ก็หม่อมฉันทำเพื่อตัวเจ้าชายเองนะเพคะ ต้องนึกถึงหน้าองค์จักรพรรดินีเอาไว้ด้วยสิ”
ใช่แล้ว เจ้ามันไอ้ลูกแหง่ติดแม่ไม่ใช่หรือไง
แววตาของอาสทาน่าส่องประกายเลือดร้อนขึ้นมาทันที ไม่ต่างไปจากที่เธอคาดการณ์เอาไว้เลยแม้แต่น้อย
“ว่าไงนะ”
“เรื่องเมื่อครู่นี้คงจะทำให้องค์จักรพรรดินีเป็นห่วงมากเลยนะเพคะ เจ้าชายลำดับที่หนึ่งเล่นดื่มเหล้าจนเมามาย แสดงภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อชนชั้นสูงตั้งมากมายแบบนี้เนี่ย พระองค์ทราบเข้าคงจะเศร้าใจมากเป็นแน่”
คำพูดที่คนเมาเกลียดมากที่สุดก็คือ การบอกว่า ‘เจ้าเมาแล้วนะ’
นั่นไง
อาสทาน่าตวาดเสียงดังลั่น
“ข้าไม่ได้เมา! อีกอย่าง เจ้าที่ไม่มีกระทั่งมารดาจะไปเข้าใจความรู้สึกของเสด็จแม่ได้ยังไง!”
หัวสมองขาวโพลนคิดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง
ถึงแม้จะเป็นเธอเองที่จงใจยัดเหล้ามอมเจ้านี่ให้ขาดสติก็เถอะ แต่นี่แบบ
เฮ้ เจ้านี่มันสุดยอดจริงๆ
เล่นลามปามถึงพ่อแม่กันเลยเหรอเนี่ย
“ทำไมจู่ๆ ถึงได้เงียบไปแบบนั้นล่ะ หรือนี่เจ้าคงจะคิดถึงมารดาชั้นต่ำของเจ้าที่ไปรออยู่โลกหน้าแล้วละสิ”
ไม่จำเป็นต้องให้เธอกระตุ้นยุแหย่อะไรเพิ่ม ไอ้อาสทาน่ามันก็ข้ามเส้นไปเรียบร้อยแล้ว
แค่มองพวกอัศวินกองกำลังอัศวินที่ได้แต่เบิกตากว้าง อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก กับพวกอัศวินตระกูลลอมบาร์เดีย เธอก็สามารถรู้ได้ในทันที
เพียงแต่จุดที่แตกต่างกันของทั้งสองฝั่งก็คงจะเป็นอัศวินลอมบาร์เดียที่มือไวเอื้อมไปจับดาบที่ห้อยไว้ที่เอวเรียบร้อยแล้วละมั้ง
“ฮู่ว…”
เธอพยายามอดกลั้นแรงกระตุ้นที่เอาแต่ยั่วเย้าจะให้เธอพุ่งไปกระชากผมอาสทาน่าที่กำลังเห่าเสียงดังปาวๆ นั่นเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็ถอดถุงมือที่สวมอยู่ออกเงียบๆ
และปามันใส่หน้าอาสทาน่าทันที
เพียะ!
เสียงถุงมือกระทบใบหน้าดังก้องไปทั่ว
การโยนถุงมือใส่หน้าคู่กรณีมันมีความหมายแบบไหน ไม่มีใครไม่รู้ทั้งสิ้น
“คะ…คุณหนูลอมบาร์เดีย!”
หนึ่งในอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์สะดุ้งตกใจ เขาเอ่ยเรียกเธอราวกับต้องการจะห้ามปราม
แต่เธอไม่คิดที่จะสนใจ เพียงแค่จ้องหน้าอาสทาน่าตรงๆ พลางเอ่ยพูดขึ้น
“หม่อมฉันขอท้าประลองเจ้าชายเพคะ”
อาสทาน่ากลอกนัยน์ตาที่เหม่อลอยไร้จุดโฟกัสด้วยฤทธิ์เหล้าไปมา ดูเหมือนกำลังพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ประลอง…?”
“เพคะ แต่ในเมื่อเจ้าชายเองก็เมามากแล้ว ส่วนหม่อมฉันเองก็ไม่ใช่นักดาบ อย่างไรก็ให้แต่ละฝ่ายส่งตัวแทนออกมาประลองก็แล้วกัน”
ปลายนิ้วชี้ไปยังเหล่าอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์ที่ยังคงอ้าปากค้าง เบิกตากว้างกันอยู่อย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยพูดเสียงดังฉะฉาน
“อัศวินอารักขาประจำตัวข้ากับคุณอัศวินจากกองกำลังส่วนพระองค์ก็น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะกันดีนะเพคะ”