เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 200.1
เล่ม 5 บทที่ 200.1
ตอนที่ 200
เช้าวันต่อมา
บ้านพักตากอากาศตระกูลลอมบาร์เดียวุ่นวายกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง สมกับเป็นวันเริ่มต้นงานเทศกาลแข่งล่าสัตว์จริงๆ
เพราะบรรดาคนงานต่างก็พากันตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืด ขยับตัวทำงานกันยุ่งวุ่นวาย
และในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีคนงานที่ตามมาจากวังจักรพรรดินีด้วยเช่นกัน
สัมภาระมากมายที่ขนกันมาจากวังเพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้แก่จักรพรรดินีตลอดงานเทศกาล กำลังถูกจัดเก็บขึ้นรถม้าใหม่อีกครั้งด้วยสองมือของเหล่าข้ารับใช้
“ไอ้เฒ่าน่ารังเกียจนั่น”
จักรพรรดินีนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกด้วยสีหน้าหงุดหงิดจากอาการนอนไม่หลับ นางพึมพำเสียงลอดไรฟัน
“กล้าดียังไง…กล้าดียังไงมาหยามหน้าข้าแบบนั้น”
ใบหน้าของไอ้เฒ่าลอมบาร์เดียที่ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ พาพวกเศษสวะตระกูลบราวน์มาแนะนำเมื่อคืนนี้ยังคงเด่นชัดอยู่ตรงหน้า โทสะของราวีนีจึงไม่คลายลงไปเลยแม้แต่น้อย
ปลายเล็บที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีตของจักรพรรดินีจิกลงไปบนหนังสัตว์ที่ห่อหุ้มเบาะรองของเก้าอี้จนทะลุ
“ไอ้พวกแมลงน่ารำคาญฆ่าไม่ตาย”
หมายถึงตระกูลบราวน์พวกนั้น
หลังจากวันนั้นเมื่อ 40 ปีก่อน อังเกนัสก็ใช้กำลังคนมากมาย ทุ่มเทเวลารวมถึงเงินทุนไปกับการกวาดล้างตระกูลบราวน์
พวกเขาสั่งให้ตามสืบร่องรอยโดยเน้นไปยังคนที่ไม่มีมือข้างขวา หากยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายก็ให้จัดการสังหารทิ้งให้สิ้น แต่หากชีวิตลำบากยากแค้นก็ให้ปล่อยให้อยู่รอดต่อไป
แต่จู่ๆ พวกนั้นกลับรวมตัวกันยกโขยงกลับมาเป็นกลุ่มแบบนั้นเสียได้
“เมื่อวานข้าสมควรจะฆ่าพวกมันทิ้งให้หมด”
นัยน์ตาสีฟ้าของจักรพรรดินีส่องประกายอำมหิต
เขตแดนที่ตระกูลอังเกนัสลงหลักปักฐานในปัจจุบันเป็นผืนดินที่อย่างน้อยก็ยังถือว่าพอจะเพาะปลูกได้บ้างในตะวันตกอันแสนแห้งแล้ง และยังมีค่าพอที่จะให้ใช้ชีวิตอาศัยอยู่ต่อไปได้
นางไม่มีวันยอมให้ไอ้พวกตระกูลบราวน์ที่อ่อนปวกเปียกเสียจนกระทั่งผืนดินของตัวเองก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้พวกนั้น มาช่วงชิงที่ดินผืนนี้กลับไปอีกครั้งแน่
หากเป็นเพียงแค่ลำพังตระกูลบราวน์ คงไม่จำเป็นต้องลังเลอะไรให้มากแบบนี้หรอก
ก็แค่แอบจัดการอย่างลับๆ ไม่ให้มีใครรู้เห็นอีกครั้งก็เรียบร้อย
แต่ว่า
“ไอ้เฒ่าตัวปัญหา”
รูลลัก ลอมบาร์เดีย ไม่ใช่คนที่รับมือด้วยได้ง่ายๆ
ขนาดนางเฝ้าระวังแล้วระวังอีก ครั้งนี้เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียก็ยังลอบแทงข้างหลังนางอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“เห็นได้ชัดเลยว่าจักรพรรดินีไม่เคยได้รู้กระทั่งว่า ในสมัยอดีตจักรพรรดิได้เกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง และตระกูลบราวน์ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เพราะเหตุใด!”
คำพูดประโยคนั้นดูเหมือนจะไม่ได้พูดถึงเรื่องการบุกเข้าโจมตี เพราะยังไงเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่มีประชาชนคนใดในอาณาจักรไม่ทราบเรื่องอยู่แล้ว
รูลลักพูดถึงสาเหตุที่ทำให้ตระกูลบราวน์ต้องสูญเสียเขตแดนไปชัดๆ
“ดิวอิจ”
เจ้าตระกูลอังเกนัสที่กำลังตรวจเช็กสัมภาระอยู่ในห้องข้างๆ เดินมาหาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของราวีนี
“เจ้าพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับตระกูลบราวน์บ้างหรือเปล่า”
“หากเกี่ยวกับเรื่องเขตแดนแล้วละก็ ท่านพี่เองก็ทราบไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านพ่อเองก็ไม่ยอมปริปากพูดเกี่ยวกับปัญหาเรื่องนั้นเลย”
“ใช่ ใช่แล้ว ข้าก็แค่ลองถามดู เพราะคิดว่าเผื่อท่านพ่อจะเอ่ยถึงเรื่องนั้นกับบุตรชายบ้าง”
จักรพรรดินีพูด ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกผิดหวังในใจได้
“ท่านพ่อไม่เคยมีประโยชน์เลยจริงๆ ขนาดตายไปแล้วก็ยังเหมือนเคย”
จักรพรรดินีราวีนีพูดจาด่าทอผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าไม่แยแส
“คงต้องรีบกลับไปพบพวกผู้อาวุโสตระกูลอังเกนัสเสียแล้ว จะปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของรูลลักทำให้นางสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย
ความรู้สึกไม่สบายใจจนทำให้นางกระสับกระส่ายไม่หยุด มันเอาแต่ทรมานราวีนีอยู่เรื่อย
ยังไงถ้าเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์สมัยนั้นก็ย่อมต้องรู้เรื่องอะไรบางอย่างแน่
“เสด็จแม่”
ในตอนนั้นเอง อาสทาน่าก็เดินเข้ามาในห้อง
“จะเสด็จไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อ๊ะ เจ้าชาย แม่มีเรื่องด่วน เลยจะกลับวังเสียหน่อย เจ้าชายก็อยู่สนุกกับเทศกาลแข่งล่าสัตว์แล้วค่อยกลับก็แล้วกันนะคะ”
อาสทาน่าถามอย่างลังเล ในขณะที่มองใบหน้ายิ้มแย้มของจักรพรรดินีราวีนี
“เรื่องเมื่อวานนี้…ไม่โกรธหรือพ่ะย่ะค่ะ”
นึกว่าจะโดนดุเสียยกใหญ่ทันทีที่เห็นหน้าเขาเสียอีก
แต่ไอ้รอยยิ้มอ่อนโยนไม่ต่างไปจากทุกวันนั่น กลับยิ่งดูน่ากลัวมากกว่า
“นั่นสินะคะ เห็นว่าเมื่อวานเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นยกใหญ่เลยใช่มั้ยคะ”
จักรพรรดินีราวีนีมองอาสทาน่าพลางเอ่ยถามขึ้น
อาสทาน่าละล่ำละลักแก้ตัวออกไป ด้วยเกรงว่าผู้เป็นมารดาจะตำหนิเขา
“กระหม่อมอธิบายได้…”
“เมื่อวานนี้”
จักรพรรดินีราวีนีเอ่ยขัดอาสทาน่า
“ถือว่าพวกเราทั้งคู่ต่างก็โดนพวกลอมบาร์เดียปั่นหัวนะคะ เจ้าชาย”
“…พ่ะย่ะค่ะ?”
นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน
“โดนพวกลอมบาร์เดียปั่นหัวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
อาสทาน่าสับสนไปหมด
“เรื่องเมื่อวานกระหม่อมเป็นคนดูหมิ่นบุตรสาวของแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย ก่อน…”
“อา โอรสของข้า”
จักรพรรดินีลูบแก้มของบุตรชายอย่างอ่อนโยน
ต้นเหตุของการประลองเมื่อวานนี้ อาจจะเกิดขึ้นจากความขัดแย้งกับฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย อย่างเห็นได้ชัดก็จริง
แต่การที่จู่ๆ คนที่เข้าประลองแทนกลับกลายเป็นคนจากตระกูลบราวน์ อีกทั้งยังมีพยานมากมายได้เห็นประจักษ์แจ้งแล้วว่า วิชาดาบประจำตระกูลบราวน์นั้นเหนือชั้นกว่าวิชาที่พวกเขาเคยเล่าเรียนมามากเพียงใด
ไม่มีความบังเอิญใดสมบูรณ์แบบได้ขนาดนั้นหรอก
ราวีนีมั่นใจว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างดีเท่านั้น
เมื่อคราวก่อนที่จู่ๆ ก็เรียกตัวเฟเรสมาร่วมงานเลี้ยงมื้อเย็นในวังจักรพรรดินีอย่างกะทันหัน นางก็คิดอยู่แล้วว่าเด็กคนนั้นฉลาดยิ่ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีความสามารถเกินวัยขนาดนี้
จักรพรรดินีราวีนีแย้มรอยยิ้มเอื้ออารีให้อาสทาน่าที่ยังคงเบิกตากว้างมองนางด้วยความไม่เข้าใจเหมือนเคย
“เจ้าชายของเราไม่จำเป็นต้องทราบเรื่องใดก็ได้ค่ะ ทั้งหมดมารดาคนนี้จะเป็นคนจัดการให้เอง ต่อให้ต้องใช้วิธีการใด ก็จะผลักดันเจ้าชายให้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ให้จนได้”
เสียงหวานดั่งน้ำผึ้งแท้จริงแล้วเป็นเพียงกุหลาบที่แฝงไปด้วยหนามแหลมคม
“ถะ…ถ้าอย่างนั้น เสด็จแม่”
อาสทาน่าลังเล ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป
“ให้กระหม่อมกลับวังด้วยได้มั้ยพ่ะย่ะค่ะ…เข้าร่วมเทศกาลบ้าๆ นี่ แล้วเกิดกระหม่อมได้รับบาดเจ็บหนักขึ้นมาจะทำยังไงพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้น…”
“ไม่ได้”
จักรพรรดินีราวีนีส่ายหน้าปฏิเสธหนักแน่น
“ในเวลาแบบนี้ถ้าเจ้าชายเอาแต่แสดงท่าทีอ่อนแอออกมา พวกเราสองแม่ลูกอาจจะได้ยินแต่เสียงหัวเราะเยาะของผู้คนก็ได้นะคะ”
“แต่ว่า…”
อาสทาน่าแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ทั้งเรื่องเมื่อวานก็ด้วย แล้วนี่เมื่อเช้าตอนเขาตื่นนอนมองออกไปนอกหน้าต่าง ไอ้ป่าวิกลจริตที่มีหมอกหนาปกคลุมนั่นมันยิ่งดูน่าสยองจนขนหัวลุก
หัวใจที่เคยเต้นกระหน่ำด้วยความตื่นเต้นก่อนเข้าร่วมงานเทศกาลล่าสัตว์งานอื่น ตอนนี้กลับกลายเป็นเต้นอย่างรุนแรงด้วยความหวาดกลัวไปเสียแล้ว
“เทศกาลนี้ฝ่าบาทเองก็จะเข้าร่วมด้วย หากเจ้าชายยอมแพ้กลับเมืองหลวง อาจจะถูกเข้าใจผิดว่าหนีไปเพราะกลัวเจ้าชายองค์อื่นก็ได้นะคะ หรือจะเป็นอย่างที่ว่า”
เขากลัวจริงๆ นั่นแหละ
แต่อาสทาน่าก็ทำได้แค่ขยับปากอยู่หลายครั้งด้วยใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะพยักหน้าลงด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“เจ้าชาย คอยเคลื่อนไหวไปพร้อมกับเด็กๆ จากตระกูลอื่นก็แล้วกันค่ะ แบนนั้นคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก”
จักรพรรดินีเอ่ย ขณะเดียวกันก็ลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินไปขึ้นรถม้าด้านนอก
แต่อาสทาน่าก็ยังคงเอาแต่เหลือบมองป่าวิกลจริตอันแสนมืดมิดไม่ละสายตา
รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย
* * *