เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 200.2
เล่ม 5 บทที่ 200.2
ในที่สุดก็ได้เวลาเริ่มงานเทศกาลแข่งล่าสัตว์กันเสียที
เธอเดินขึ้นไปยืนบนแท่นพิธียกระดับด้านหน้าบริเวณลานกว้างที่ผู้เข้าร่วมแข่งขันมารวมตัวกันอยู่ เพื่อที่จะอธิบายกฎของงานเทศกาลแข่งล่าสัตว์ให้ทุกคนได้ทราบ
และในวินาทีที่ขึ้นไปยืนอยู่เหนือแท่นพิธี
“อุ๊บ!”
เธอก็ต้องกัดปากแน่น ไม่ให้หลุดหัวเราะออกไป
“อะแฮ่ม ข้าขอแจ้งกฎการแข่งขันให้ทุกท่านรับทราบนะคะ”
เพราะผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่มารวมตัวกันแต่ละคน ต่างก็มีสีหน้าไม่สบายใจจนแทบจะร้องไห้กันอยู่แล้ว
ถึงแม้ในบรรดาคนเหล่านั้นจะยังมีคนที่นัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับด้วยไฟแห่งความต้องการเอาชนะอยู่บ้างก็เถอะ
“กฎง่ายมากค่ะ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปตลอดระยะเวลาสามวัน ผู้ที่ล่ามอนสเตอร์ได้มากที่สุดจะได้รับชัยชนะและเงินรางวัลไป ส่วนหลักฐาน ขอเพียงแค่ตัดชิ้นส่วนจากศพของมอนสเตอร์มายืนยันก็พอค่ะ”
แค่คำว่าตัดชิ้นส่วนจากศพ ก็มากพอจะทำให้หลายๆ คนมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความคลื่นไส้อยากอาเจียนกันเสียแล้ว
แกล้งอีกสักหน่อยดีมั้ยเนี่ย
“แต่จำใส่ใจไว้ให้ดีนะคะ มอนสเตอร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักไล่ล่ามนุษย์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นอย่าได้เข้าไปในป่าลึก และหากตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายละก็ ขอให้ใช้พลุสัญญาณที่มอบให้ค่ะ”
คำพูดคราวนี้ของเธอ ทำให้คนที่มีสีหน้าซีดเผือดต่างก็รีบสำรวจพลุสัญญาณของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ระวังด้วยนะคะ พลุสัญญาณถ้าเปียกน้ำมันจะใช้การไม่ได้ และถ้าใช้พลุสัญญาณเมื่อไหร่ จะถือว่าถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขันทันทีค่ะ”
ในตอนนั้นเอง อาสทาน่าที่สวมชุดป้องกันสีเหลืองก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ถึงแม้จะเป็นการแข่งขันส่วนบุคคล แต่การรับความช่วยเหลือจากคนอื่นในสถานการณ์อันตราย คงจะยอมรับได้ใช่มั้ย”
เด็กนี่ฉลาดเหมือนกันแฮะ
ในบรรดาผู้เข้าร่วมการแข่งขันในงานเทศกาลครั้งนี้ เธอรู้อยู่แล้วว่ามีหลายสิบคนเป็นลูกสมุนของอาสทาน่า
ดังนั้นถ้าได้รับคำตอบยืนยันจากเธอในตอนนี้ พอเข้าไปข้างในนั้นก็คงจะรวมกลุ่มกันแน่
“เป็นเช่นนั้นเพคะ แต่ก็อย่างที่บอกไป มันเป็นการแข่งขันส่วนบุคคล จึงไม่ควรที่จะรวมกลุ่มกันมากเกินความจำเป็น แน่นอนว่าเจ้าชายคงไม่คิดที่จะทำเช่นนั้นหรอกใช่มั้ยเพคะ”
อาสทาน่าพยักหน้ารัวๆ แทนคำตอบ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังลอบแลกเปลี่ยนสายตากับพวกคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างหน้าตัวเอง ทั้งยังไม่ลืมที่จะยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกวางใจขึ้นมาอีกระดับ
“มีคำถามอีกมั้ยคะ”
เธอส่งเสียงถามผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกคน
ไม่มีใครยกมือขึ้นเลยสักคน
“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอประกาศให้เริ่มงานเทศกาลแข่งล่าสัตว์กันเลยค่ะ”
เหล่าข้ารับใช้ตระกูลลอมบาร์เดียยกธงขนาดใหญ่ขึ้นโบกสะบัดกันอย่างพร้อมเพรียง
งานเทศกาลแข่งล่าสัตว์ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว!
หลายคนวิ่งตรงไปในป่าราวกับเฝ้ารอจังหวะนี้อยู่แล้ว พวกเขาดูตื่นเต้นกันมาก เพราะนี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้หลุดพ้นจากชีวิตความเป็นจริงอันแสนเบื่อหน่าย แล้วไปเจอเรื่องสนุกๆ เร้าใจกันบ้าง
“คนแบบนั้นน่ะ ตายไวที่สุด”
แต่แล้วตอนที่เธอพึมพำเสียงแผ่วขณะมองตามหลังคนที่วิ่งไปเป็นกลุ่มแรกๆ
ก็เหลือบไปเห็นเฟเรสพาสามสหายจากอะคาเดมีเดินเข้าไปใกล้อาสทาน่า
ถึงแม้ระยะห่างจะค่อนข้างไกลจนเธอไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกันก็เถอะ แต่ระหว่างสองคนนั้นจะไปมีคำพูดดีๆ ต่อกันได้ที่ไหนล่ะ
นั่นไง
พอเฟเรสพูดอะไรไม่กี่คำ ใบหน้าของอาสทาน่าก็ซีดเผือดจนไร้สีเลือด แล้วรีบพาสหายทั้งหลายของตัวเองมุ่งหน้าเข้าป่าไปอย่างร้อนรน ราวกับต้องการจะหนีไปให้ห่างจากเฟเรส
“พูดอะไรน่ะ ทำไมหมอนั่นถึงได้ทำท่าแบบนั้น”
เธอเดินเข้าไปถามเฟเรส
“เทีย”
เฟเรสยิ้มให้เธอจนตาหยี
“หรือเตือนว่าจะลอบฆ่ากัน”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ก็แค่”
เฟเรสส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบ
“แค่บอกว่า เข้าป่าไปแล้ว ไม่เผชิญหน้ากับข้าจะเป็นการดีที่สุด”
ว้าว โหดชะมัด
ถ้านั่นไม่เรียกว่าคำเตือนการลอบสังหาร จะเรียกว่าอะไรได้อีกยะ
เฟเรสเอียงคอมองมาด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปากเงยหน้ามองเขาแบบนี้
“เทีย เมื่อวานเจ้านั่นกล้าพูดกับเจ้าแบบนั้น เรื่องแค่นี้ก็สมควรที่จะเตรียมใจเอาไว้แล้วสิ”
“ระ…เหรอ ขอบใจนะ เฟเรส”
อุตส่าห์คิดเผื่อเธอขนาดนั้นเลย
“งั้นข้าไปก่อนนะ”
เฟเรสพูดแบบนั้นและเดินเข้ามาใกล้เธอ เขาจุมพิตลงบนหน้าผากของเธออย่างที่เคยชิน
“อื้อ ขอให้ปลอดภัยนะ”
เธอเองก็ช่วยจัดชุดป้องกันสีแดงที่เฟเรสสวมอยู่ให้ พลางตอบกลับไปเหมือนกัน แล้วก็ดันสบตาเข้ากับสามสหายจากอะคาเดมีเข้าพอดี
“ปะ…ไปก่อนนะครับ!”
“โอย เอวข้า ทำไมวันนี้ปวดแบบนี้นะ…”
“เหนื่อยหน่อยนะครับ!”
พวกนั้นดูเหมือนจะหลบตาเธอชอบกลนะ
ทำไมกันล่ะ
“ท่านฟีเรนเทีย”
คนที่ปรากฏตัวขึ้นเงียบๆ เอ่ยเรียกเธอที่ออกมาส่งเฟเรสก็คือ เครย์ลีบันนั่นเอง
“ข้างในนั้นจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่หรือครับ”
อืม ก็สมควรที่จะสงสัยอยู่หรอก
“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
“ครับ?”
“เรื่องที่ข้าร่วมมือกับเฟเรสมาถึงแค่ตรงนี้เท่านั้นเองค่ะ จัดเทศกาลแข่งล่าสัตว์ขึ้นในป่าวิกลจริต ช่วยให้เซอร์บราวน์เป็นที่สนใจของผู้คน และช่วยหลอกล่อให้องค์จักรพรรดิกับอาสทาน่าเข้าร่วมการแข่งขันให้ได้”
“คงไม่ทราบจริงๆ สินะครับ”
เครย์ลีบันพูดด้วยความสับสน
“ก็บอกแล้วไงคะ”
“ถ้าหากท่านฟีเรนเทียเป็นคนเอ่ยถามละก็ เจ้าชายคงจะยอมตอบทุกเรื่องแท้ๆ”
“ใช่แล้วละค่ะ ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ”
“แล้วเหตุใดถึงไม่ถามล่ะครับ”
“เพราะว่า…”
เธอมองตรงไปยังป่ามืดมิดที่ยังคงปกคลุมไปด้วยหมอกหนาอีกครั้ง ในขณะที่เอ่ยตอบออกไป
“ไม่ว่าจะข้าหรือเฟเรส ต่างก็เป็นคนที่พร้อมจะลงมือทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการยังไงล่ะคะ”
* * *
มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดเหลือเกิน
ผู้คนตั้งมากมายบุกเข้าไปในป่า
แต่ป่ามืดมิดที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนากลับมีแต่ความเงียบสงบ
ราวกับป่าวิกลจริตมันกลืนกินเสียงของผู้คนไปจนหมดสิ้น
“พลังเวทเข้มข้นสุดๆ เพราะแบบนี้สินะ พวกมอนสเตอร์ถึงได้มารวมตัวอยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่น”
เทดโร่วพูดขึ้น
“พวกคุณชายน้อยตระกูลชั้นสูงทั้งหลายคงเหงื่อแตกพลั่กแล้วมั้ง”
สติลลีย์หัวเราะคิกคัก
“เจ้าก็เป็นคุณชายน้อยตระกูลชั้นสูงไม่ใช่หรือไง”
ผู้พ่ายแพ้แห่งตะวันออก ริกนีเต้ บุตรชายจากตระกูลรูมันขมวดคิ้วแน่น ในขณะที่เอ่ยถามขึ้น
“อย่าเอาข้าไปเทียบกับไอ้พวกทึ่มนั่นเลย ข้าคนนี้น่ะเป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลเซกเตอร์ผู้เรียนรู้วิธีการล่าสัตว์ เผชิญหน้ากับป่าสนทางใต้มาตั้งแต่เด็กเชียวนะ”
สติลลีย์ยักไหล่อย่างไม่แยแส
ในตอนนั้นเอง เฟเรสที่กำลังยกเท้าขึ้นพาดต้นไม้หนา ผูกเชือกรองเท้าให้แน่นก็เอ่ยเรียกชายหนุ่ม
“สติลลีย์”
“อื้อ เจ้าชาย”
“พอจะตามรอยได้มั้ย”
สติลลีย์แสยะยิ้มตอบรับคำถามของเฟเรส
“เรื่องแค่นั้นเอง ของกล้วยๆ”
ผู้สืบทอดตระกูลเซกเตอร์ซึ่งเวียนเข้าป่าสนทางใต้บ่อยจนเหมือนสวนหย่อมในบ้านตัวเอง ความสามารถพิเศษของสติลลีย์คนนี้ก็คือ ‘การตามรอย’ ไล่ล่าร่องรอยของเหยื่อที่กำลังตามล่า