เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 206.1
เล่ม 5 บทที่ 206.1
ตอนที่ 206
“พะ…พูดเรื่องอะไรกัน! ลอบสังหารจักรพรรดิ…กบฏเนี่ยนะ!”
ใบหน้าของอาสทาน่าซีดเผือด เจ้าชายลำดับที่หนึ่งไม่อาจแม้กระทั่งเอ่ยข้อหาที่เฟเรสกล่าวออกมาได้เต็มปากด้วยซ้ำ
กระเสือกกระสนดิ้นรนเสียจนเชือกที่ใช้มัดข้อเท้าถูกย้อมจนกลายเป็นสีเลือด ผ้าพันแผลที่ทางกรมวังให้คนพันแขนข้างขวาเอาไว้ก็หลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดี
ขนาดเจ้าของมันยังเอาชนะนิสัยหัวร้อนของตัวเองไม่ได้เลย
ทว่าใบหน้าของเฟเรสยามหลุบมองสภาพเช่นนั้นของอาสทาน่าก็ยังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนเคย
“คิดจะอ้างว่าจำอะไรไม่ได้งั้นหรือ”
เฟเรสเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง
“อย่าพล่ามอะไรบ้าๆ!ข้าจะไปกล้าลอบสังหารฝ่าบาท…”
อาสทาน่าพึมพำเสียงแผ่วด้วยใบหน้าสับสน แต่ในวินาทีต่อมาก็ถลึงตาจ้องเขม็งไปทางเฟเรส ในขณะที่ตวาดเสียงดังลั่น
“เดี๋ยวก่อน เหตุผลที่ข้าถูกมัดไว้ที่นี่เป็นเพราะเรื่องนั้นงั้นหรือ พยายามลอบสังหารฝ่าบาท?”
“ใช่แล้ว”
“เหอะ!ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ! ฮ่าฮ่า!”
จู่ๆ อาสทาน่าระเบิดหัวเราะเสียงดัง
นัยน์ตาแดงก่ำแข็งกร้าวคู่นั้น ผมเผ้าเปียกชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ และเสื้อผ้ายับย่นไม่เป็นทรง สภาพของอาสทาน่าไม่ต่างอันใดจากคนบ้าที่คลั่งจนคุมสติไม่อยู่ไปแล้ว
“ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่! คนที่ข้าตั้งใจสังหารไม่ใช่ฝ่าบาท แต่เป็นเจ้าต่างหากล่ะ! ดังนั้นรีบๆ แก้มัดให้ข้าได้แล้ว!”
เหล่าอัศวินได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พวกเขาควรที่จะอธิบายยังไงดีล่ะเนี่ย
สายตาของทุกคนหันไปมองทางเฟเรสกันอย่างพร้อมเพรียง
เฟเรสพ่นลมหายใจเสียงดังหึทางจมูก เขาจ้องหน้าอาสทาน่า ก่อนจะเอ่ยว่า
“คนที่เจ้าตะโกนเสียงดังปาวๆ ว่าจะฆ่าให้ตาย แล้วกระโจนเข้าใส่นั่น ไม่ใช่ข้า แต่เป็นฝ่าบาท”
เฟเรสพูดพลางเปิดกล่องที่ถือมาให้อีกฝ่ายได้เห็นของด้านใน
“โดยใช้มีดสั้นเล่มนี้ที่เบเลซัก ลอมบาร์เดีย เป็นคนพกติดตัวไว้เป็นอาวุธ”
สายตาของอาสทาน่ามองไปยังมีดสั้นแหลมคม
ใช่แล้ว เขาจำได้เหมือนกันว่าเคยถือมีดสั้นเล่มนั้นเอาไว้ในมือ
แต่ว่า
“เป็นไปไม่ได้ เป็นเจ้าชัดๆ ไอ้ชั้นต่ำ ถึงแม้จะสังหารไม่สำเร็จเพราะพวกกองกำลังอัศวินอารักขาอยู่ข้างกายก็เถอะ แต่ว่า…”
เสียงของอาสทาน่าที่เริ่มแผ่วเบาลงไปทีละนิด
นัยน์ตาสั่นเทาราวกับเกิดแผ่นดินไหว
สายตาเริ่มแปรเปลี่ยนไปด้วยความตกตะลึง ก่อนจะเบือนหน้าไปดูใบหน้าของกองกำลังอัศวินที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ระ…หรือว่า…”
สุดท้ายก็มีแต่เสียงแหบแห้งแผ่วเบาราวกับกลืนไปกับสายลมดังเล็ดลอดออกจากปากของอาสทาน่า
“ปะ…เป็นเรื่องจริงหรือ”
อาสทาน่าเอ่ยถามลอร์ดสโลน
ลอร์ดสโลนเหลือบมองเฟเรสด้วยใบหน้าหม่นหมองหนึ่งครั้ง แล้วจึงเอ่ยตอบ
“คนที่เจ้าชายลำดับที่หนึ่งโจมตีในป่าวิกลจริตไม่ใช่เจ้าชายลำดับที่สอง แต่เป็นฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ตะ…แต่สวมชุดป้องกันสีแดงชัดๆ ข้างกายยังมีนังเด็กลอมบาร์เดียนั่นอยู่ด้วย…”
“ระวังคำพูดด้วย อาสทาน่า”
เฟเรสเตือนเสียงทุ้ม ในมือถือมีดสั้นของเบเลซักชึ้นมาชี้จ่ออยู่ที่คอของอาสทาน่าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น
ไม่ได้ใช้มีดสั้นเล่มนั้นเพื่อข่มขู่เฉยๆ
โดยเฉพาะปลายมีดสั้นแหลมคมจ่อค้างอยู่ที่ลำคอของอาสทาน่า
หากออกแรงแค่นิดเดียว มันก็จะแทงเข้าผิวเนื้ออ่อนจนได้เลือดแน่
“ระ…รู้แล้ว”
อาสทาน่ารีบตอบออกไปด้วยความร้อนรน
“ขะ…ข้าหมายความว่า คุณหนูลอมบาร์เดียก็อยู่ข้างๆ ชัดๆ”
“ตอนนั้นฟีเรนเทียกำลังมองรอบๆ ป่าเพื่อคอยช่วยเหลือฝ่าบาท”
เฟเรสพูดต่อไปโดยไม่เก็บมีดสั้นลง
“ดังนั้นเจ้าถึงได้มีความผิดโทษฐานก่อการกบฏ อาสทาน่า”
“กบฏเนี่ยนะ! ข้าจะทำไปทำไม! อยู่เฉยๆ ในอนาคตก็ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิต่อจากฝ่าบาทอยู่แล้ว! แล้วข้าจะก่อกบฏไปทำไม!”
“ไม่รู้สิ เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ต่อไปข้าต้องสืบความให้ได้”
เฟเรสพลิกมีดสั้นในมือ เขายื่นมันออกไปตรงหน้าอาสทาน่าแทน
“อาสทาน่า เนเรมเฟย์ ดิวเรลลี่ เจ้าใช้มีดสั้นเล่มนี้พยายามลอบสังหารฝ่าบาทในป่าวิกลจริต และ”
เมื่อได้รับสัญญาณมือจากเฟเรส อัศวินก็ส่งกระบอกน้ำที่ทำจากหนังสัตว์สีดำให้ทันที
“จากผลการสืบสวนพบว่า ในกระบอกน้ำนี่มียาผสมอยู่”
“…ยา?”
“ยาที่จะทำให้ดูดซับพลังเวทได้เร็วยิ่งขึ้นจนเกิดอาการภาพหลอนหรือหูหลอนยังไงล่ะ”
“ชะ…ใช่แล้ว ต้องเป็นอย่างนั้นแน่!”
อาสทาน่าตะโกนเสียงดัง ขณะเดียวกันก็รีบหยัดกายปรับท่วงท่าลุกขึ้นมานั่ง
“ใช่แล้ว ต้องมีใครวางยาข้าแน่ๆ ! ไม่อย่างนั้นข้าจะเข้าใจผิดว่าฝ่าบาทเป็นเจ้าได้ยังไง…”
“หมายความว่าไม่ได้ตั้งใจดื่มยาเองหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ลอร์ดสโลนเอ่ยถามอาสทาน่า
พลังเวทมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มแรงกายของมนุษย์ได้อย่างฉับพลัน
เหตุผลที่อาสทาน่ามีเรี่ยวแรงและพละกำลังมหาศาลเกินขีดจำกัดของร่างกายตลอดระยะเวลาหลายวันนั่น ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้
“จะบ้าหรือไง ใครมันจะไปอยากดูดซับพลังเวทกัน!”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากพ่ะย่ะค่ะ”
ลอร์ดสโลนเอ่ยถามอาสทาน่าด้วยใบหน้าจริงจัง
“มีใครเข้าใกล้กระบอกน้ำนี่บ้างมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนั้นข้าจะไปรู้ได้ยังไง!เดิมทีไอ้กระบอกเวรนี่ก็ไม่ใช่ของข้าอยู่แล้ว!”
“ไม่ใช่ของเจ้าชายงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงได้มีกระบอกน้ำนี่พกติดตัวไว้ตลอดเวลาได้กัน”
“เรื่องนั้นเบเลซัก…เบเลซัก…”
เสียงพูดของอาสทาน่าค่อยๆ แผ่วลงไป
วินาทีนั้นเอง นัยน์ตาของเขาก็หันไปมองเฟเรส
“กระบอกน้ำนั้น…”
“ตอนพบกลุ่มของเจ้าชายลำดับที่สองในป่า พวกนั้นมัวแต่ดื่มเจ้านี่พลางพูดพล่ามไปเรื่อยไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเลยแอบขโมยของนั่นมาหนึ่งขวดพ่ะย่ะค่ะ”
อาสทาน่าพูดอะไรไม่ออก
“เจ้า เจ้า…”
ขนลุกชันทั่วร่าง
พอตั้งสติขึ้นมาได้ ถึงค่อยตระหนักขึ้นมาได้ว่า ตัวเองกำลังเดินก้าวเข้าสู่ปากของสัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวไปเสียแล้ว
ในตอนนั้นเอง เฟเรสที่ถอยห่างไปยืนอยู่ด้านหลังก็เอ่ยพูดขึ้น
“พูดมาสิ อาสทาน่า”
น้ำเสียงยังคงราบเรียบไม่ต่างอันใดจากเมื่อครู่ ทว่าสำหรับอาสทาน่าแล้ว เสียงนั่นไม่ต่างอะไรจากเสียงหัวเราะเยาะเขาเลยสักนิด
“ฝ่าบาทมีรับสั่งมอบหมายให้ข้าจัดการสืบสวนหาตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงเจ้าด้วย”
นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
* * *