เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 210.1
เล่ม 5 บทที่ 210.1
ตอนที่ 210
ณ คฤหาสน์ลอมบาร์เดีย
รูลลักกรอกยาที่เอสทีร่าช่วยส่งให้ลงคอ ก่อนจะรีบยัดลูกกวาดรสหวานเข้าปากตามทันที
“หวานจริงๆ หวานยิ่งนัก”
ทั้งๆ ที่ปกติรูลลักเป็นพวกเกลียดรสขมฝาดของยามากจนต้องขมวดคิ้วหน้าบึ้งทุกครั้งที่ดื่มยาแท้ๆ
“วันนี้ดูอารมณ์ดีนะคะ ท่านเจ้าตระกูล”
เอสทีร่าเอียงคอถามด้วยความงุนงง
“หรือว่าสุขภาพร่างกายจะดีขึ้นมากแล้วคะ”
“อา เรื่องนั้นก็มีส่วนอยู่หรอก”
รูลลักแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วหันไปมองนาฬิกา ในขณะที่เอ่ยขึ้นว่า
“ป่านนี้การประชุมสภาขุนนางคงจะเริ่มแล้วสินะ”
และดุนดันลูกกวาดในปากให้กลิ้งกลุกกลักจนรสหวานแผ่ซ่านกระจายไปทั่วปาก
“หึหึ”
สุดท้ายเสียงหัวเราะแผ่วเบาก็ดังหลุดออกจากปากของรูลลักจนได้
“…ท่านเจ้าตระกูล?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! จู่ๆ เทียก็โผล่ไปแทนข้าแบบนี้ เจ้าพวกนั้นจะตื่นตระหนกกันขนาดไหนนะ!”
รูลลักขำจนท้องแข็ง
“เสียดายจริงๆ ที่อดเห็นหน้าเจ้าพวกนั้น เสียดายๆ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะดังลั่นของรูลลักยังคงดังต่อเนื่องไม่มีแผ่วลงเลยแม้แต่น้อย
เอสทีร่ายืนมองท่าทางเหมือนเด็กของเจ้าตระกูลอยู่ข้างๆ นางส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านฟีเรนเทียจะไม่เป็นอะไรหรือคะ”
“หืม?”
รูลลักหยุดหัวเราะ แล้วหันไปมองหน้าเอสทีร่า
“จะมีสิ่งใดกันได้ล่ะ ดอกเตอร์เอสทีร่า”
“ยังไงท่านก็ยัง…เด็กมาก ทั้งยังเป็นผู้หญิงด้วย การไปเข้าร่วมประชุมสภาขุนนางในฐานะรักษาการเจ้าตระกูลมัน…”
“ไม่ใช่เด็กที่ไหนเสียหน่อย นี่เทียเชียวนะ เทีย เจ้านี่กังวลไปเสียทุกเรื่องจริงๆ”
“เหรอคะ…”
“แน่นอนว่าครั้งแรกก็คงจะพยายามกดข่มเทียนั่นแหละ แต่ว่า”
เสียงหัวเราะที่หยุดไปของรูลลักกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง
“หึหึ คงได้รับบทเรียนราคาแพงแน่ ข้าจะทำให้เจ้าพวกนั้นอิจฉาจนดีดดิ้น”
“อิจฉาหรือคะ”
“ในที่ประชุมนั่น จะมีสักกี่คนกันที่มีผู้สืบทอดตำแหน่งที่พอจะได้เรื่องได้ราวกับเขาบ้าง แต่ละคนต่างก็ได้แต่ปวดหัวเพราะเรื่องบุตรหลานโง่เขลากันทั้งนั้น หากได้เจอเทียแล้วจะอิจฉาข้ามากขนาดไหนล่ะ ไม่คิดเช่นนั้นหรือ”
รูลลักเหยียดแขนขึ้นบิดขี้เกียจ มือคว้าเอาลูกกวาดอีกเม็ดโยนใส่ปาก
“ใช่แล้ว คงจะอิจฉาข้ากันน่าดู อิจฉาแน่ หึหึ”
รูลลักฮัมเพลงในลำคออย่างอารมณ์ดี ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดจินตนาการภาพใบหน้าของพวกขุนนางที่นั่งกันแน่นเต็มห้องประชุม และภาพของเทียหลานสาวผู้ชาญฉลาดทั้งยังมีความสามารถไปพลาง
ปลายเท้าที่วางพาดอยู่ปลายเตียงกระดิกไปมาเป็นจังหวะครื้นเครง
* * *
“ระเบียบวาระแรก และระเบียบวาระเดียวของการประชุมในวันนี้ก็คือ ‘คืนฐานะและสิทธิในฐานะชนชั้นสูงให้แก่ตระกูลบราวน์’ ”
ประธานคิลเลียนเอ่ยขึ้น ขณะเดียวกันก็หันมองไปรอบๆ ที่ประชุมรวมถึงที่นั่งของเหล่าผู้สังเกตการณ์
“เนื่องจากระเบียบวาระนี้เป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้ที่ประชุมสภาขุนนางเป็นผู้จัดการโดยตรง และฝ่าบาทได้ฝากบอกทุกท่านว่า ‘พระองค์ขอฝากเรื่องนี้ให้เป็นอำนาจในการตัดสินใจของสภาขุนนาง’ อีกด้วย”
จิ้งจอกเจ้าเล่ห์โยบาเนส
กระทั่งการตัดสินใจปัญหาสำคัญแบบนี้ยังโยนให้คนอื่นเป็นคนรับผิดชอบอีกเนี่ยนะ
เป็นถึงองค์จักรพรรดิแท้ๆ แต่นอกจากแอบรีดไถเงินทองของพวกชนชั้นสูงแล้ว ก็ไม่เคยจัดการอะไรเลยสักอย่าง
“ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องของตระกูลบราวน์ ข้าจะมอบโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงได้พูดความเห็นของเจ้าตัวก็แล้วกัน”
ประธานคิลเลียนเอ่ยพูด
“คิลลาร์ด บราวน์ ออกมาข้างหน้า”
ขณะเดียวกันก็ผายมือไปยังแท่นยกระดับเตี้ยๆ ที่ถูกเตรียมไว้อยู่ตรงกลางระหว่างเก้าอี้นั่งที่ทอดยาวทั้งสองฝั่ง
เจ้าตระกูลบราวน์ที่นั่งอยู่บนที่นั่งของผู้สังเกตการณ์ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วก้าวเดินออกมาอย่างเชื่องช้า
ถึงแม้จะไม่ได้ดูหดหู่เหมือนอย่างที่เคยพบหน้ากันครั้งแรก แต่ถึงยังไงก็ยังคงดูกระวนกระวายใจมากอยู่ดี แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ท่าทางของเจ้าตระกูลบราวน์ก็ยังคงดูหนักแน่นอยู่เช่นกัน
โดยเฉพาะตลอดระยะเวลาที่ก้าวเดินตรงมา สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องอยู่ที่เจ้าตระกูลอังเกนัสไม่ห่าง
และเมื่อก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นยกระดับ เขาก็มีความกล้ามากพอที่จะหันไปมองทางฝั่งจักรพรรดินีที่นั่งอยู่เสียด้วย
ไม่คิดที่จะเก็บซ่อนปลายแขนเสื้อว่างเปล่าที่ห้อยโตงเตงทุกครั้งตามจังหวะการก้าวเดินเลยแม้แต่น้อย
ราวกับกำลังบอกว่า ‘นี่คือเรื่องเลวๆ ที่ตระกูลของพวกเจ้าทำไว้กับพวกข้า’ อย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าตระกูลบราวน์ คิลลาร์ด บราวน์ ครับ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณท่านประธานคิลเลียนที่มอบโอกาสให้ข้าได้กล่าวความรู้สึกออกมาเช่นนี้”
นึกว่าเสียงที่ดังออกมาจะเป็นเสียงสั่นระริกแหบพร่าเสียจนฟังไม่รู้เรื่องเสียอีก
แต่น้ำเสียงของเจ้าตระกูลบราวน์กลับสงบนิ่งผิดไปจากที่คาดการณ์เอาไว้มาก เขาดูเหมือนกับคนที่เฝ้าฝันรอคอยให้วันนี้มาถึงนานนับร้อยๆ คืน
“ตระกูลบราวน์ของพวกเราได้ใช้ชีวิตถือดาบคอยปกปักรักษาราชวงศ์มาต่อเนื่องหลายยุคสมัย จนกระทั่งไปเหยียบเท้าพวกอันธพาลเมื่อ 40 ปีก่อนเข้า”
พวกอันธพาล
นั่นเป็นคำเรียกแทนพวกอังเกนัส
“ถึงแม้จะถูกลิดรอนอำนาจในฐานะชนชั้นสูงไปพักใหญ่ ทว่าเกียรติยศของตระกูลบราวน์นั้นยังคงมีอยู่เสมอมาในอาณาจักรแห่งนี้ อีกทั้งพวกเราเองก็ยังคงรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองเอาไว้ในฐานะตระกูลที่มีประวัติศาสตร์และชื่อเสียงมายาวนาน”
นัยน์ตาดุดันของเจ้าตระกูลบราวน์มองสบเข้ากับนัยน์ตาของเธอ
“ข้าคิลลาร์ด บราวน์ ผู้เป็นเจ้าตระกูล จึงอยากขอความเห็นใจจากสหายขุนนางทุกท่านในที่ประชุมแห่งนี้ ได้โปรดช่วยให้ตระกูลบราวน์ได้กลับคืนสู่ฐานะชนชั้นสูงของอาณาจักรอีกครั้ง และให้พวกเราได้ยืนเคียงข้างอาณาจักรแลมบลู ในฐานะดาบของราชวงศ์ด้วยเถอะ ข้าขอร้อง”
เป็นคำกล่าวสุนทรพจน์ที่ดี
ไม่ได้ดูถ่อมเนื้อถ่อมตัวจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ฟังดูเย่อหยิ่งเกินไป
ท่าทางหนักแน่นแข็งแกร่งสมกับเป็นหนึ่งในตระกูลที่เคยเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งของอาณาจักร แต่ก็ยังอ่อนน้อมสมกับเป็นคนที่มาเพื่อขอความเห็นใจ
ดูเหมือนเหล่าขุนนางในห้องประชุมเองก็คงจะคิดแบบเดียวกัน บรรยากาศที่เคยตึงเครียดจึงผ่อนคลายลงไปมาก
“เอาละ มีตระกูลใดสนับสนุนระเบียบวาระข้อนี้หรือไม่”
ประธานคิลเลียนเอ่ยถามไปทางขุนนางทั้งหลาย
ไม่ว่าใครก็สามารถยกระเบียบวาระขึ้นในที่ประชุมได้อย่างอิสระก็จริง แต่การที่เรื่องนั้นจะถูกนำขึ้นถกเถียงกันอย่างจริงจังในที่ประชุมสภาขุนนางได้หรือเปล่านั้น เงื่อนไขคือจะต้องมีขุนนางผู้สนับสนุนเกิน 5 คนขึ้นไป
“…”
ความเงียบกลืนกินไปทั่วห้องประชุม
แต่ละคนต่างก็เอาแต่ลอบสังเกตท่าทีของแต่ละฝ่าย
ไหนจะต้องคอยเกรงใจสายตาของเฟเรสกับจักรพรรดินีที่นั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์นั่นอีก
นี่กลายเป็นการเรียกร้องให้มีการฟื้นฐานะให้แก่ตระกูลบราวน์ต่อหน้าอำนาจของจักรพรรดินีเชียวนะ
เพราะอย่างนั้นถึงได้ไม่มีใครกล้ายกมือสนับสนุนระเบียบวาระนี้ง่ายๆ
เห็นได้ชัดเลยว่าต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับการประมวลผลชั่งน้ำหนักกันอยู่
ตำแหน่งรัชทายาทของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งจะจบแค่นี้จริงหรือ
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจสายตาของอังเกนัสกับจักรพรรดินีแล้วก็ได้ใช่มั้ย
ได้ยินว่ามีคนวางยาเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง ถ้าอย่างนั้นบางทีอาจจะยังหาข้อแก้ต่างที่ฟังขึ้นก็ได้ใช่หรือเปล่า
และสิ่งที่พวกเขาต้องตัดสินใจกันอย่างเด็ดขาดเสียที
‘จะต้องเลือกข้างฝ่ายเจ้าชายลำดับที่หนึ่งหรือเจ้าชายลำดับที่สอง’