เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 212.2
เล่ม 5 บทที่ 212.2
ทว่าจู่ๆ เจ้าชายลำดับที่สองก็หันมาพูดกับชานตั้น เซอเชาว์ ที่ได้แต่ยืนนิ่งถือหนังสือเอาไว้อยู่แบบนั้น
“ถ้าไม่คิดจะสอนฟันดาบให้ ก็รีบๆ กลับไปได้แล้ว”
ชานตั้น เซอเชาว์ ส่ายศีรษะ
จะให้เขากลับไปโดยรับหนังสือมาจากเจ้าชายตัวเล็กผอมแห้งกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน โดยไม่ทำอะไรเลยได้ยังไง
“ข้าจะสอนให้พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ต้องการความสงสาร”
แต่สิ่งที่ได้รับกลับคืนมากลับกลายเป็นคำปฏิเสธอันแสนเย็นชาของเจ้าชายน้อย
“เจ้ากำลังสงสารข้าไม่ใช่หรือไง”
นัยน์ตาสีแดงดั่งเลือดคู่นั่นมองจ้องราวกับจะทะลุเข้าในใจของชานตั้น เซอเชาว์
“ช่างเถอะ ยังไงข้าก็จำเนื้อหาในคู่มือฟันดาบได้หมดแล้ว เดี๋ยวข้าฝึกเองคนเดียวก็ได้”
ชานตั้น เซอเชาว์ ตะโกนถามไล่ตามหลังเจ้าชายลำดับที่สองที่หยิบดาบขึ้นมาถือไว้ และกำลังจะเดินออกไปด้านนอก
“ทำไมถึงอยากเรียนฟันดาบล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายลำดับที่สองตอบกลับมาสั้นๆ
“เป็นคนอ่อนแอมันน่าเบื่อ แล้วข้าก็สัญญาเอาไว้แล้วด้วย”
“สัญญา?”
“สัญญาว่าจะตั้งใจเรียนให้หนัก และจะฝึกฟันดาบทุกวัน”
หลังจากพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เจ้าชายลำดับที่สองก็เดินออกไปข้างนอกคนเดียว
ชานตั้น เซอเชาว์ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเพียงครู่ ก่อนจะเดินตามหลังเจ้าชายลำดับที่สองออกไป
เพื่อที่จะเป็นอาจารย์สอนวิชาดาบให้ ไม่ใช่ความสงสาร
อีกอย่าง ยูเบสเองก็เอาแต่ชมเจ้าชายลำดับที่สองให้เขาฟังทุกวันไม่หยุด เพราะฉะนั้นเขาเองก็รู้สึกสนใจอยู่บ้างเหมือนกัน
เจ้าชายลำดับที่สองตัวน้อยที่มีสายตาดุดัน ดูไม่เหมือนคนอื่นๆ ในตระกูลดิวเรลลี่คนนี้
“เจ้าตระกูลเซอเชาว์”
ชานตั้น เซอเชาว์ ตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งเอ่ยเรียกนามของตน
เขากำลังยืนอยู่หน้าตึกสภาขุนนางที่ใช้จัดประชุมสภาเมื่อครู่
“เหนื่อยหน่อยนะ เอาไว้ค่อยพบกันทีหลัง”
เฟเรสพูดพลางตบไหล่เจ้าตระกูลเซอเชาว์หนึ่งครั้ง
“หลังไม่เป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“หลัง?”
“เรื่องก่อนหน้านี้”
ถึงแม้จะพูดโดยไม่มีการเกริ่นนำว่าพูดถึงเรื่องใด แต่มันก็มากพอแล้วที่เฟเรสจะเข้าใจความหมายสิ่งที่เจ้าตระกูลเซอเชาว์ต้องการสื่อ คิ้วเข้มขมวดนิ่วด้วยความไม่พอใจนัก
“คิดว่าข้าจะลำบากกับเพราะได้รับบาดเจ็บแค่นั้นหรือไงกัน”
“…เปล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ชานตั้น เซอเชาว์ ก้มหน้าลงเล็กน้อย
ในตอนนั้นเองก็พลันสังเกตเห็นรถม้าตระกูลลอมบาร์เดียที่จอดอยู่ค่อนข้างไกลจากบริเวณนี้เคลื่อนตัวออกไป
“ไม่ต้องตามไปก็ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าตระกูลเซอเชาว์เอ่ยถามเฟเรส แต่เฟเรสกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ตอนนี้เทียเองก็คงมีเรื่องให้ต้องทำ ข้าเองก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไว้ค่อยพบกันทีหลังก็ได้”
เสียงยามกล่าวออกมาเช่นนั้นฟังดูนิ่งสงบและมั่นใจเป็นอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมขอถามพระองค์สักเรื่องพ่ะย่ะค่ะ”
ชานตั้น เซอเชาว์ เอ่ยกับเฟเรสที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่
“บอกเรื่องทุกอย่าง…กับคุณหนูลอมบาร์เดียด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฟีเรนเทียจงใจโยนปัญหาเรื่องเขตแดนให้เซอเชาว์เป็นคนตอบชัดๆ ราวกับเด็กคนนั้นล่วงรู้แผนการที่พวกเขาเก็บมิดเป็นความลับอยู่ก่อนแล้ว
“เปล่า”
“แล้วเหตุใดคุณหนูลอมบาร์เดียถึงได้ทราบทุกอย่างแบบนั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าตระกูลเซอเชาว์”
เฟเรสเอ่ยพูดกับชานตั้น เซอเชาว์ ที่มีสีหน้าสับสน
“หากไม่ใช่เพราะเทีย เจ้ากับข้าคงไม่ได้มายืนสนทนากันแบบนี้ด้วยซ้ำ”
คำพูดของเฟเรสทำให้ริ้วรอยบนหน้าผากของชานตั้น เซอเชาว์ ยับย่นจนเห็นเป็นรอยลึก แต่ก็ไม่มีคำอธิบายอะไรไปมากกว่านั้น
เฟเรสเพียงแค่กล่าวลาสั้นๆ แล้วเดินตรงไปยังบริเวณที่รถม้าของตนจอดรออยู่เท่านั้น
“ไว้พบกันใหม่ในการประชุมใหญ่ครั้งหน้า”
หน้าอาคารสภาขุนนางยังคงมีขุนนางส่วนมากเหลือค้างอยู่ รถม้าของเฟเรสเองก็จอดรอเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว
ไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยน
ม้าสี่ตัวเจ้าของนัยน์ตาใสซื่อยังคงรอคอยที่จะลากรถม้าวิ่ง รอบๆ รถก็ยังคงมีกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์คอยอารักขาเหมือนเคย
ทว่าฝีเท้าของเฟเรสที่กำลังก้าวตรงไปยังรถม้ากลับหยุดชะงักนิ่ง
และเพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาที มุมปากก็กระตุกโค้งวาดเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
สายตากวาดมองเหล่าอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์ที่กำลังยืนอารักขาอยู่รอบรถม้าอย่างช้าๆ
ผงะ
บรรดาอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์ต่างก็เอาแต่มองจ้องตรงไปข้างหน้า หลบเลี่ยงสายตาของเฟเรส
เฟเรสเหลือบมองอัศวินพวกนั้นในขณะที่ยิ้มเยาะจางๆ ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าพร้อมกับออกคำสั่ง
“กลับวัง”
แกรก
ทันทีที่เฟเรสเข้าไปนั่งในรถม้า รถม้าก็เคลื่อนออกไปในทันที
ภายในรถม้าหรูหราเงียบสงบไร้เสียงรบกวนสมกับเป็นรถม้าของราชวงศ์
เงียบเสียจนขนาดเสียงกึกกักยามล้อรถม้าหมุนยังได้ยินเข้ามาถึงข้างใน แต่ก็ยังมีเสียงแผ่วเบาคล้ายกับดังมาจากสถานที่อันไกลโพ้น เฟเรสนั่งนิ่งฟังเสียงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นว่า
“ถ้ามีเรื่องจะคุย ก็ตรัสมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาเย็นชาสีแดงโลหิตมองสบนัยน์ตาบุคคลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“องค์จักรพรรดินี”
* * *
ณ คฤหาสน์ลอมบาร์เดีย
“ตระกูลบราวน์คืนสู่ฐานะชนชั้นสูงได้อย่างประสบความสำเร็จ ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะได้เป็นตัวแทนเขตแดนตะวันตกจะถูกนำขึ้นประชุมในการประชุมใหญ่ครั้งหน้าค่ะ”
“ฮ่าฮ่า! เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก!”
ท่านปู่หัวเราะเสียงดังลั่น
“เจ้าไปปรากฏตัวในที่ประชุมสภาขุนนางแบบนั้น เจ้าพวกนั้นตกใจมากเลยใช่มั้ย”
“พวกเขานึกว่าข้าไปพบท่านปู่ด้วยแหละค่ะ”
เธอยักไหล่พลางเอ่ยตอบอย่างไม่แยแสนัก
“งั้นหรือ แล้วเจ้าตอบไปว่าอะไร”
“บอกว่าข้ามาในฐานะรักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียสิคะ”
“วะฮ่าฮ่า! คงจะตกใจกันน่าดู!”
“ค่ะ โล่งอกสุดๆ ไปเลยละค่ะ ที่ไม่มีใครหัวใจวายตายไปก่อน”
คำพูดของเธอทำเอาท่านปู่ระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นอีกรอบ
และเอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“แล้วเป็นยังไงบ้างเล่า ได้ลองใช้ชีวิตในฐานะรักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียหนึ่งวัน”
“ก็ดีค่ะ ตรงกับความถนัดของข้าเลย”
เธอไม่คิดเก็บซ่อนรอยยิ้มที่แต่งแต้มออกมาจากใจ ในขณะที่เอ่ยตอบท่านปู่
“ให้ข้าเป็นเจ้าตระกูลเถอะนะคะ ท่านปู่”
ถึงแม้จะพูดออกไปอย่างสบายๆ แต่ท่านปู่เองก็ทราบดีว่าเธอพูดมันออกมาจากใจจริง
เพราะนัยน์ตาสีน้ำตาลของท่านปู่กำลังมองสบตาเธออย่างอ่อนโยน ราวกับทราบเรื่องทุกอย่างดีอยู่แล้ว
ท่านปู่มองเธออยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรอยู่หลายวินาที ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น
“เทียของข้ากล่าวแบบนี้แล้ว คนอื่นๆ ล่ะคิดเห็นเช่นไรกันบ้าง”
เมื่อได้ยินคำถามของท่านปู่ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่นั่งกันเต็มแน่นอยู่ในห้องประชุม ซึ่งนั่งฟังบทสนทนาหยอกล้อระหว่างปู่กับหลานหันมามองเธอกันอย่างพร้อมเพรียง