เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 5 บทที่ 213.1
เล่ม 5 บทที่ 213.1
ตอนที่ 213
“ข้าจะหยุด”
นั่นคือประโยคแรกที่จักรพรรดินีกล่าวออกมา
“ข้าจะหยุดแค่นี้ เพราะฉะนั้นปล่อยมือจากอังเกนัสเสีย”
หลังจากที่โยนน้ำเสียงอ่อนโยน หรือรอยยิ้มเติมแต่งบ้าบอที่เคยใช้เป็นประจำพวกนั้นทิ้งไว้นอกรถม้าไปนานแล้ว
ใบหน้าของจักรพรรดินีเองก็หลงเหลือเพียงแค่สีหน้าเหนื่อยล้ายิ่ง
“สูญเสียเขตแดนไปแล้วกว่าครึ่ง ปล่อยเอาไว้เช่นนี้อย่างไรอังเกนัสก็ไม่มีทางกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ขวางหน้าเจ้าได้อยู่ดี”
เฟเรสไม่ได้ตอบอะไร
เด็กหนุ่มขยับกายอย่างเชื่องช้า ยกเรียวขายาวขึ้นเปลี่ยนท่าเป็นนั่งไขว่ห้าง สายตาเย็นชาเหลือบมองจักรพรรดินีราวีนี
จักรพรรดินีเองก็สบสายตานั่นนิ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้าสัญญา”
ในที่สุดปากที่เคยปิดแน่นของเฟเรสก็เปิดออก
“…สัญญางั้นหรือ สัญญาเรื่องใดกันแน่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
คำถามของเฟเรสทำให้เปลือกตาของจักรพรรดินีราวีนีสั่นระริก ราวกับเป็นเรื่องยากลำบากยิ่งที่จะเผชิญหน้ากับความอับอายที่เกิดขึ้นในตอนนี้
“อังเกนัส…”
เสียงของจักรพรรดินีราวีนีเองก็สั่นเทาจนทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นต้องรู้สึกสงสาร
“ต่อไปอังเกนัสจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในเขตภาคกลางอีก และจะใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ”
“แล้ว?”
“อังเกนัสจะเป็นตระกูลแรกที่ประทับตรายินยอมเห็นด้วยกับการแต่งตั้งเจ้าขึ้นเป็นรัชทายาท”
“แล้ว?”
เฟเรสเอ่ยถามเป็นครั้งที่สอง
“เจ้ายังต้องการอะไรอีก”
จักรพรรดินีตวาดถามเสียงแหลม
แต่เฟเรสกลับส่ายหน้าไม่คิดสนใจ
“พวกสิ่งที่พระองค์เสนอมาพวกนั้นมันไม่น้อยเกินไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี ตอนนี้กระหม่อมกำลังกุมลมหายใจของพระองค์เอาไว้ในมือแท้ๆ”
ในน้ำเสียงแฝงเอาไว้ด้วยรอยยิ้มขบขันจางๆ
จักรพรรดินีถลึงตาจ้องเฟเรสเขม็งราวกับต้องการจะฆ่าให้ตาย แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น เพียงไม่นานราวีนีก็ถอนหายใจคล้ายคนยอมแพ้
“ข้าจะลงจากตำแหน่งจักรพรรดินี”
คราวนี้ผิดคาดจริงๆ
จักรพรรดินียอมหงายไพ่ดีกว่าที่คิด
นัยน์ตาสีแดงนิ่งสงบมองจ้องจักรพรรดินี ก่อนที่จู่ๆ จะเปิดปากพูดขึ้น
“การจะขออภัยคนอื่นน่ะ เขาไม่ได้ทำกันแบบนั้นเสียหน่อย ต้องคุกเข่าด้วยสิพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินีถลึงตาเมื่อได้ยินคำกล่าวของเฟเรส
แต่ก็เท่านั้น
ไม่ได้ด่าทอสาปแช่งว่า ‘ไอ้เด็กชั้นต่ำ’ หรือ ‘เจ้ากล้าดียังไง’ ต่อจากนั้นเหมือนอย่างที่มักจะเคยทำ
“เฮ้อ…”
จักรพรรดินีถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามที่จะกดข่มโทสะเอาไว้
กระทั่งนัยน์ตาที่เคยมองจ้องเฟเรสเขม็งคู่นั้นก็ยังปิดแน่น
และ
ตุบ
จักรพรรดินีลุกขึ้นจากเบาะนั่ง แล้วทิ้งตัวคุกเข่าลงบนพื้นรถม้า
“ข้าขอโทษ เพราะฉะนั้นได้โปรดเถอะ…”
ราวีนีโค้งศีรษะลงเล็กน้อย แต่ละคำที่พูดออกไปนั่นถูกเค้นออกจากปากนางอย่างยากลำบาก
เฟเรสก้มมองภาพตรงหน้าด้วยนัยน์ตาเย็นชา
ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่จักรพรรดินีไม่อาจเงยหน้าขึ้นมามองเห็นได้นั้น ไม่ได้มีสีหน้าของผู้ได้รับชัยชนะอันใดทั้งสิ้น
เฟเรสเพียงแค่ก้มมองจักรพรรดินีอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า
อัศวินนายหนึ่งเอาแต่มองรถม้าด้วยใบหน้ากระวนกระวายใจ เมื่อบังเอิญสบตาเข้ากับเฟเรส อัศวินนายนั้นก็รีบร้อนหันหน้ากลับไปด้วยความร้อนรน
“ต้องการอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ขัดขวางการประชุมใหญ่ แค่สิ่งเดียว”
“…เป็นราคาที่สมเหตุสมผลอยู่เหมือนกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินเฟเรสกล่าวเช่นนั้นแล้ว สีหน้าของจักรพรรดินีก็ดูดีขึ้นทันตา
“เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะจัดการ…”
“เพียงแต่แค่คำขออภัยจากองค์จักรพรรดินี มันไม่ได้ช่วยให้มารดาที่เสียไปแล้วของกระหม่อมฟื้นกลับมามีชีวิตได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า เจ้า…”
จักรพรรดินีโมโหเดือด นางพยายามที่จะลุกขึ้นจากพื้น
แต่ในรถม้าไม่เหลือที่ว่างมากพอให้ราวีนีถอยหลังไปมากกว่านี้ อีกทั้งเบื้องหน้ายังมีเฟเรสที่โค้งกายลงมามองจ้องหน้านางอยู่
“ข้าจะบอกอนาคตขององค์จักรพรรดินีให้ฟัง”
นัยน์ตาสีแดงส่องประกายอำมหิต
“ใช่แล้ว เริ่มจากอังเกนัสก่อนก็ดี”
เฟเรสเอ่ยราวกับตัดสินใจแน่นอนแล้ว
และชูนิ้วชี้ข้างหนึ่งขึ้น
“หนึ่งปี ภายในหนึ่งปี นามของตระกูลอังเกนัสจะเลือนหายไปจากแผ่นดิน ไม่ใช่แค่นั้น กระทั่งในทำเนียบรายชื่อชนชั้นสูงก็จะมิอาจหาได้เจอ และเมื่อผ่านไปอีกหลายปี กระทั่งสามัญชนที่เจ้าเคยคิดว่าพวกเขาสกปรกนักหนา ก็จะต้องสงสัยว่า ‘เคยมีตระกูลแบบนั้นอยู่ด้วยหรือ’ ”
“เจ้าชายลำดับที่สอง…!”
“ยังไม่จบพ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสส่ายหน้าขัดประโยคของจักรพรรดินี
“และในยามที่อังเกนัสล่มสลายต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ข้าก็จะกวาดล้างพระราชวังให้ย่อยยับ ถอนรากถอนโคนผู้คนที่ภักดีต่อพระองค์เหมือนเลาะกระดูกออกจากเนื้อสัตว์เลยทีเดียว เลาะมันออกทีละชิ้น ทีละชิ้น จนครบทั้งหมด”
เฟเรสไม่ได้ยิ้ม
“ส่วนอาสทาน่า ข้าจะจัดการส่งเจ้านั่นไปสนามรบแนวหน้าพ่ะย่ะค่ะ หากโชคดีพอก็คงจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ แต่ในสนามรบน่ะ ไม่มีใครทราบหรอกว่าจะมีใครลอบแทงข้างหลังกันหรือเปล่า”
ทว่าเขากำลังสนุก
เหมือนอย่างที่จักรพรรดินีมักจะทำต่อผู้อื่นอยู่เป็นประจำ ตอนนี้เขากำลังสนุกกับการมองสีหน้าของจักรพรรดินีที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
“และเจ้าที่เหลือตัวคนเดียว”
ชั่วขณะ ขนพลันลุกชันไปทั่วแผ่นหลังของจักรพรรดินีราวีนี
เพราะเฟเรสที่นั่งอยู่ตรงหน้านางกำลังแย้มรอยยิ้มอย่างช้าๆ
“พระองค์จะถูกขังเอาไว้ในที่ที่ไม่มีใครรู้พ่ะย่ะค่ะ ไม่มีใครสามารถช่วยพระองค์ได้ ไม่มีใครเข้าข้างพระองค์แม้แต่ผู้เดียว”
เหมือนอย่างที่เขาเคยถูกทิ้งให้อยู่ในวังเล็กผุพังนั่นตามลำพัง
“และพระองค์ก็จะสวรรคตอยู่ที่นั่นอย่างเดียวดายพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี นี่คืออนาคตของพระองค์ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว”