เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 215.1
เล่ม 6 บทที่ 215.1
ตอนที่ 215
การประกาศของตระกูลลอมบาร์เดียก่อให้เกิดผลกระทบเป็นคลื่นลูกใหญ่
ไม่ใช่แค่การแต่งตั้งฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย เป็นรักษาการเจ้าตระกูลธรรมดา แต่มีการแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียอย่างเป็นทางการอีกด้วย!
ทั้งๆ ที่หากมองข้ามเบเจอร์ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตไป ก็ยังมีบุตรคนอื่นๆ อย่างชานาเนสกับแคลอฮันอยู่แท้ๆ แต่นี่กลับข้ามพวกเขาไปทั้งรุ่น แล้วหันไปเลือกฟีเรนเทียผู้เป็นหลานสาวให้เป็นผู้สืบทอดเสียได้
หากเป็นแบบนี้ต่อไป แสดงว่านี่จะกลายเป็นการถือกำเนิดของเจ้าตระกูลหญิงคนแรก
และหมายความว่าการหมั้นหมายระหว่างเจ้าชายลำดับที่สองกับฟีเรนเทียก็จะสิ้นสุดลงไปด้วยเช่นกัน
มันเป็นการประกาศที่ทำให้หลายๆ คนตกใจในหลายๆ เรื่องเลยทีเดียว
“เป็นไปไม่ได้!”
กระทั่งเบเจอร์ที่กำลังดื่มเหล้าเมามายอยู่ในคลับชั้นสูง เมื่อได้ยินข่าวยังต้องรีบวิ่งแจ้นกลับคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว
ผิวหมองคล้ำมีแต่รอยด่างดำ นัยน์ตาขาวแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย และกลิ่นเหล้าที่ลอยคลุ้งไปทั่ว ทำเอาผู้คนที่พบเห็นถึงกับขมวดคิ้วแน่นจนหน้าย่น
“…”
เซรัลถอยห่างเบเจอร์ที่เพิ่งจะกลับบ้านในรอบหลายวัน และกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางตะโกนเสียงกร้าวว่า ‘ต้องไปพบท่านพ่อ!’ นางมองสามีด้วยนัยน์ตาดูถูก
“ไอ้เด็กชั้นต่ำนั่นเป็นรักษาการเจ้าตระกูล…เอิ๊ก ไม่สิ เป็นผู้สืบทอดเนี่ยนะ!”
เบเจอร์รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความร้อนรน ริมฝีปากพร่ำบ่นไม่หยุดด้วยความโมโห
ขนาดเมามากเสียจนกระดุมยังติดไม่ถูก ก็ยังไม่ตระหนักเลยสักนิด
“ท่านพ่อคงชราเกินไปแล้วแน่ๆ ข้าคนนี้ ข้าบุตรชายคนโตคนนี้จะต้องไปห้าม…อึก!”
หลังจากถูกขับไล่จากคฤหาสน์หลักให้มาพักอยู่ในเรือนเล็กที่มีไว้ให้พวกแขกเหรื่อพักกัน เบเจอร์ก็ยังเอาแต่คิดเข้าข้างตัวเองโง่ๆ
บิดาเพียงแค่โกรธตนครู่เดียวเท่านั้นแหละ พอถึงเวลาทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอย่างที่ควรจะเป็น
และสมองที่ถูกฤทธิ์เหล้ามอมเมาก็เข้าข้างตัวเองว่ามันอาจจะเป็นวันนี้ก็เป็นได้
“ผิดพลาด ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่…!”
เบเจอร์เอาแต่พึมพำประโยคนั้นไม่หยุดแม้นัยน์ตาจะบวมเป่งจนเป็นสีแดงก่ำ
“ขนาดข้าอ้อนวอนขอให้ช่วยไปหาท่านพ่อ ไปขอร้องท่านให้ยื่นมือเข้ามาช่วยเรื่องเบเลซักตั้งหลายครั้งหลายครา ก็ไม่เคยยอมฟังสักครั้งไม่ใช่หรือไง!”
สุดท้ายเซรัลก็ตวาดเสียงแหลมใส่เบเจอร์อย่างอดกลั้นไม่อยู่
“นี่ทำเกินไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ คุณไม่เป็นห่วงเบเลซักบ้างเลยหรือไงกัน”
เซรัลนอนไม่หลับเลยสักคืน เมื่อได้แต่คิดว่าบุตรชายของนางถูกคุมขังเอาไว้อยู่ที่ใดที่หนึ่งในพระราชวังนั่น
ถึงแม้สามีของนางจะไร้ความสามารถในหลายๆ ด้าน แต่อย่างน้อยนางก็หวังว่าเขาจะเป็นห่วงเบเลซักที่เป็นบุตรชายเหมือนนางบ้าง
ลาลาเน่ที่เดินทางจากไปยังตะวันออกเองก็เหมือนกัน นางส่งจดหมายไปกี่ครั้งๆ ก็ไม่เคยตอบกลับมาเลยสักครั้ง ส่วนเบเลซักก็ถูกจับกุมตัวไว้ในพระราชวังด้วยข้อหาอุกฉกรรจ์แบบนั้น
เพราะอย่างนั้นนางถึงได้คิดไปว่า บางทีที่เบเจอร์ดื่มเหล้าเมามายทุกวันก็อาจเป็นเพราะเสียใจกับเรื่องพวกนั้นก็เป็นได้ แต่ที่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย
กลับกลายเป็นว่า ไม่อยากไปหาบิดาที่ความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกันเท่าไหร่เพื่อขอร้องเรื่องเบเลซัก เพราะมันเสียศักดิ์ศรีเกินไป แต่พอเป็นเรื่องที่นังเด็กฟีเรนเทียถูกเลือกให้เป็นผู้สืบทอดกลับวิ่งเต้นไปหาทันทีแบบนี้เนี่ยนะ
เซรัลตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ และความรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง
“ว่าไงนะ”
เบเจอร์หน้าย่นเมื่อได้ยินเสียงตวาดของเซรัล
“เรื่องนั้น เป็นเพราะไอ้เด็กนั่นมันทำผิดเองไม่ใช่หรือไง แล้วจะมาโทษข้าได้ยังไง!”
กระทั่งตะโกนเกรี้ยวกราดเสียงดัง
“มันก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้ว! ก็คงจะถือมีดสั้นไปพูดพล่ามสั่งอะไรเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเข้านั่นแหละ ไม่รู้จักสังเกตเรื่องรอบตัวจนติดร่างแหไปด้วย!”
และกวาดสายตามองเซรัลตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะตำหนิด้วยความไม่พอใจ
“ไม่รู้ว่าโง่เหมือนใคร!”
เบเจอร์ทิ้งท้ายไว้แค่ประโยคนั้น ก่อนจะเตะประตูเสียงดังโครมอย่างรุนแรง แล้วเดินหายไปจากห้อง
เซรัลที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ หลังจากนั้นนางจึงค่อยหยิบเอาจดหมายที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะหนังสือในห้องของตัวเองขึ้นมาถือไว้
‘…องค์จักรพรรดินีคิดจะโยนความผิดเรื่องทั้งหมดให้ข้าเป็นคนรับแทนครับ หาว่าข้าเป็นคนวางยาในกระบอกน้ำของเจ้าชาย ได้โปรดช่วยข้าออกไปทีนะครับ ข้ากลัวมากเลย ท่านแม่…’
ปลายนิ้วของเซรัลสั่นเทายามลูบไล้ไปตามตัวหนังสือที่บิดเบี้ยวจนดูไม่ได้พวกนั้น
“เบเลซัก…”
เซรัลได้แต่กล่าวโทษตัวเอง
นางเองที่เป็นคนยัดมีดสั้นเล่มนั้นใส่มือเบเลซักที่บอกว่าไม่อยากไปงานเทศกาลแข่งล่าสัตว์ เป็นนางเองที่ผลักหลังบุตรชายให้ไปร่วมงาน
ทั้งยังย้ำเตือนไปอีกด้วยว่า หากจำเป็นก็ให้ใช้ร่างกายเข้าไปขวางหน้าเจ้าชายเสีย
และเซรัลก็ก้มหน้าอ่านประโยคหนึ่งในจดหมายอีกครั้ง
‘องค์จักรพรรดินีคิดจะโยนความผิดเรื่องทั้งหมดให้ข้าเป็นคนรับแทนครับ’
ตอนที่อ่านจดหมายฉบับนี้ครั้งแรก เซรัลไม่เชื่อเลยสักนิด
จักรพรรดินีไม่มีทางทำแบบนั้นกับนางแน่ๆ
แต่พอเวลาผ่านไป นางก็ได้แต่ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องจริง
เพราะวิธีการที่ง่ายที่สุดในการดึงตัวเองให้หลุดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือ การป้ายสีความผิดทุกอย่างไปที่เบเลซัก
และราวีนีซึ่งเป็นพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของนาง ก็ไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะเสียสละเบเลซักทิ้งไป
‘ข้ากลัวมากเลย ท่านแม่’
เซรัลหลับตาทั้งสองข้างแน่น นางรู้สึกราวกับได้ยินเสียงของเบเลซักดังก้องอยู่ในหัว
* * *