เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 215.2
เล่ม 6 บทที่ 215.2
“เครื่องประดับเอาชิ้นไหนดีคะ คุณหนู”
หลังจากเปลี่ยนมาใส่ชุดเดรส แต่งหน้าทำผมจนเสร็จ ลอรีลก็ถามขึ้นพลางเปิดกล่องอัญมณีตรงหน้าให้เธอเลือก
“ถ้าในบรรดาเครื่องประดับพวกนี้ไม่มีชิ้นที่ถูกใจ ข้าจะไปเอากล่องอื่นมาเพิ่มนะคะ”
“ไม่หรอก มีอยู่”
เธอเอื้อมมือไปหาสร้อยคอที่วางอยู่ตรงกลางกล่อง
สร้อยคอที่เฟเรสเป็นคนช่วยแกะสลักทับทิมสีแดงขนาดเท่านิ้วโป้งให้เส้นนั้น มันดึงดูดสายตาเธอเหลือเกิน
“คุณหนู…”
ลอรีลเองก็รู้ดีว่าสร้อยคอเส้นนี้มีความหมายอะไรต่อเธอ นางจึงมองหน้าเธอด้วยความเป็นห่วง
“ก็แค่อยากสวมสร้อยเส้นนี้เฉยๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้มีความหมายอื่นหรอก”
เธอพูดแล้วลงมือสวมสร้อยเส้นนั้นด้วยตัวเอง ก่อนจะสวมผ้าคลุมไหล่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ด้านข้างลงบนไหล่
มันเป็นผ้าคลุมที่ถักทอขึ้นจากขนสัตว์หนานุ่ม มีเชือกให้ผูกปรับระดับความแน่นหรือหลวมอยู่ช่วงใต้ไหปลาร้าเพื่อให้พอดีกับขนาดตัวผู้สวมใส่
เพราะถ้าสวมผ้าคลุมผืนนี้แล้ว บางทีคนอื่นๆ ก็คงไม่ได้ทันสังเกตเห็นว่าเธอสวมสร้อยคอเส้นไหน
“ช่วยผูกเชือกให้ข้าที ลอรีล”
“…ค่ะ คุณหนู”
ลอรีลพยักหน้าลง ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ นางช่วยผูกเชือกเสื้อคลุมให้ด้วยรอยยิ้มจาง แต่กลับไม่อาจซ่อนสีหน้าเศร้าหมองเอาไว้ได้
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“เข้ามาได้ค่ะ”
คนที่เผยโฉมปรากฏตัวขึ้นหลังได้ยินคำตอบรับของเธอก็คือ เครย์ลีบันนั่นเอง
“เชิญค่ะ ท่านพี่”
ลอรีลเอ่ยทักทายเครย์ลีบันด้วยความดีใจ
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะครับ ท่านลอรีล”
ตอนนี้เครย์ลีบันคุ้นชินกับการที่ลอรีลเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ แล้ว และเขาก็คร้านจะใส่ใจเรื่องพวกนั้น จึงทักทายตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้
“นำมาด้วยหรือเปล่าคะ”
“ครับ อยู่นี่แล้วครับ”
เครย์ลีบันส่งของที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าอย่างหวงแหนให้เธอ
มันเป็นเอกสารปึกหนึ่งที่ด้านหน้าและด้านหลังถูกเย็บเข้าเล่มด้วยหนังสัตว์อย่างดี
เธอลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วนำมันไปเก็บไว้ในตู้เซฟ
“ระวังไว้ก่อนย่อมดี”
ไม่ใช่ว่าคนในลอมบาร์เดียเชื่อใจไม่ได้หรอก แต่มันไม่ใช่ของที่จะเที่ยววางทิ้งไว้บนโต๊ะเฉยๆ ได้ ดังนั้นเธอเลยเก็บมันเอาไว้ในตู้เซฟอย่างดีแทน แต่จู่ๆ ก็ดันรู้สึกได้ถึงสายตาร้อนแรงจากด้านหลังเสียได้
“…เครย์ลีบัน”
“ฮึก ฮึ่มๆ”
เขาเบือนหน้าหันไปกระแอมไอด้านข้าง แต่เสียงนั่นกลับฟังดูแปลกชอบกล
“ร้องไห้เหรอคะ!”
“ปะ…เปล่าครับ”
เปล่าอะไรกันเล่า!
ไอ้ที่ถอดแว่นตาซับด้วยชายเสื้ออยู่นั่น ถ้าไม่เรียกว่าน้ำตาแล้วจะเป็นอะไรได้อีก! เหงื่อที่ไหลออกมาจากนัยน์ตาหรือไง!
“เฮ้อ”
เธอถอนหายใจเสียงแผ่ว เดินเข้าไปหาเครย์ลีบัน แต่แล้วเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงัก ก่อนจะถามขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ
“ถ้าปลอบจะยิ่งร้องหนักกว่านี้มั้ยคะเนี่ย”
“…ครับ ฮึก”
เครย์ลีบันเบือนหน้าหนีไปด้านข้าง ยกมือขึ้นเหนือหน้าผากเพื่อบดบังใบหน้า
“ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าทำไมถึงได้ร้องไห้ แต่…”
“อะแฮ่ม ขออภัยครับ ดูเหมือนจู่ๆ ข้าจะอ่อนไหวง่ายเกินไปเสียหน่อย”
เครย์ลีบันสูดลมหายใจเข้าลึก ในขณะที่เอ่ยตอบกลับมา
ทั้งสีหน้า ทั้งน้ำเสียง
เพียงครู่เดียวก็กลับมามีท่าทีเยือกเย็นเหมือนที่เคยเสียแล้ว
“ท่านฟีเรนเทียเติบใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แถมยังกลายเป็นรักษาการเจ้าตระกูล และได้เป็นถึงผู้สืบทอด…ฮึก!”
ที่เพิ่งบอกไปว่าเยือกเย็นนั่นขอยกเลิกก็แล้วกัน
เครย์ลีบันพูดออกมาได้แค่ไม่กี่ประโยค แล้วก็ยกมือขึ้นบดบังใบหน้าอีกครั้ง
เขาก้มหน้าลงไม่สบตาใคร ไหล่กระเพื่อมด้วยแรงสะอื้น นี่มันผิดปกติจริงๆ นะเนี่ย
เธอถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปพูดกับลอรีลแทน
“ช่วยเอาผ้าเช็ดหน้ามาให้เครย์ลีบัน…ลอรีล”
“ฮึก! ฮึก!”
ลอรีล เจ้าก็เอากับเขาด้วยเหรอเนี่ย
ลอรีลที่ยืนอยู่ข้างๆ เครย์ลีบันเองก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก นางก้มหน้านิ่ง ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย
“ฮึก คุณหนูตัวน้อยของพวกเรา…วันนี้ดูเป็นผู้ใหญ่มากๆ เลยค่ะ ฮึก!”
หลังจากซับหยาดน้ำตาของตัวเองที่ไหลแหมะลงมาเป็นเผาเต่า ลอรีลก็ส่งผ้าเช็ดหน้าให้เครย์ลีบัน
“นี่ค่ะ ท่านพี่”
“…ขะ…ขอบคุณ…ฮึก”
ให้ตายเถอะ พวกนี้นี่จริงๆ เลย
เธอส่ายหน้ามองคนขี้แยทั้งสองด้วยความเอือมระอา แล้วหมุนตัวเดินออกไปนอกห้อง
“จะไปไหนหรือคะ คุณหนู”
ลอรีลตะโกนถามผ่านช่องว่างของประตูที่ปิดไม่สนิท
“พระราชวัง ข้ามีธุระนิดหน่อย ในเมื่อข้ากลายเป็นรักษาการเจ้าตระกูลอย่างเป็นทางการแล้วก็ต้องขยันขันแข็งหน่อยสิ”
แต่งานแรกในฐานะรักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียกลับเป็นงานนี้เสียได้ เธอเองก็เซ็งเหมือนกันนะ
“และยังมีอีกที่ที่ต้องแวะไปก่อนออกเดินทางไปพระราชวังด้วย”
เธอพูดพลางหันกลับมามองหน้าเครย์ลีบัน
“ค่อยๆ ร้องไห้ แล้วกลับดีๆ นะคะ พรุ่งนี้ค่อยพบกันที่ร้านค่ะ เครย์ลีบัน”
“ครับ ขอให้ทำงานแรกในฐานะรักษากาณ์เจ้าตระกูลได้อย่างปลอด…ฮึก!”
“โธ่ ช่วยปลอบให้ทีนะคะ ลอรีล!”
“…ฮึก!”
สองพี่น้องคู่นี้นี่นะ ห้ามไม่อยู่เลย
เธอมองลอรีลที่กำลังตบไหล่ปลอบโยนเครย์ลีบันผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มออกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเริ่มสาวเท้าก้าวเดินอีกครั้ง
สถานที่ปลายทางย่อมเป็นห้องนอนของท่านปู่
“ข้ามาแล้วค่ะ ท่านปู่!”
ท่านปู่สวมชุดอยู่บ้านสบายๆ และกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องรับรองที่เชื่อมกับห้องนอนของท่าน เมื่อเห็นเธอเข้า ท่านปู่ก็หันมายิ้มกว้างให้เธอ
“โอ้ เทียของปู่มาแล้วหรือ!”
“บอกให้พักผ่อนยังไงล่ะคะ นี่ทำงานอีกแล้วเหรอคะเนี่ย”
“ฮ่าฮ่า มันชินน่ะ มันชิน”
ท่านปู่ผลักกองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะออกไปด้านข้างพลางหัวเราะเสียงดัง
“ว่าแต่นี่จะไปไหนหรือ สวมชุดงามขนาดนี้ คงไม่ได้มาเพื่อพบปู่อย่างเดียวแน่”
“ว่าจะไปพระราชวังน่ะค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นมีเรื่องต้องรายงานท่านปู่ และก็มีเรื่องอยากถามด้วยค่ะ”
“อืม เรื่องใดล่ะ”
ท่านปู่ยกแก้วชาขึ้นดื่ม ริมฝีปากแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม
เธอมองท่านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ดูเหมือนจะโกหกข้าสินะคะ”
การเคลื่อนไหวของท่านปู่หยุดชะงัก
“สุขภาพแย่ขนาดไหนกันแน่คะ”