เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 218.1
เล่ม 6 บทที่ 218.1
ตอนที่ 218
“จะให้ทำเช่นไรล่ะเพคะ”
เธอปัดมือของเฟเรสออกจากสร้อยคอพลางเอ่ยพูดขึ้น
สายตาของเด็กหนุ่มยังคงร้อนแรงไม่สร่าง แต่เธอไม่ได้มองสบนัยน์ตาคู่นั้นต่อ
“แบบนี้เป็นไง”
เธอกระชับผ้าคลุมทับลงไปบนสร้อยคอที่กลับไปอยู่ยังที่ที่ควรเป็นเสียที
และกระตุกเชือกผูกให้เป็นปมแน่น จึงมองไม่เห็นทับทิมที่ส่องประกายสีแดงระยิบระยับอีกต่อไป
“ฝังมันไว้เพคะ”
เธอพยายามบังคับเสียงให้มั่นคงมากที่สุด
“ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายกับหม่อมฉัน มันไม่มีอนาคตหรอกเพคะ เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่อย่างไรสักวันก็ต้องจบลง”
“รักษาการเจ้าตระกูล”
เฟเรสทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็เอ่ยขัดเขา
“หม่อมฉันกลายเป็นผู้สืบทอดของลอมบาร์เดียอย่างเป็นทางการแล้ว คงมีเวลาให้ได้หยุดพักบ้าง แต่เจ้าชายล่ะเพคะ”
เฟเรสปิดปากแน่นทั้งๆ ที่แววตาคู่นั้นสื่อความหมายว่ามีเรื่องมากมายที่อยากจะเอื้อนเอ่ย
ใบหน้าของเขาทำเอาเธอรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในใจ
“ต้องเอาชนะจักรพรรดินีให้ได้ และยังต้องได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทอีก หลังจากนั้นก็ยังต้องใช้เวลาในฐานะรัชทายาทให้อยู่รอดปลอดภัย จนขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิใช่มั้ยเพคะ แต่ยังคิดที่จะสานสัมพันธ์กับหม่อมฉันที่ไม่มีวันขึ้นเป็นจักรพรรดินีได้อยู่อีกหรือเพคะ”
เธอส่ายหน้า
ต่อให้เป็นเฟเรสก็เถอะ แต่ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ดี
“แบบนั้นคงไม่มีวันได้รับเลือกจากองค์จักรพรรดิแน่ เพราะสุดท้ายอย่างไรการแต่งตั้งองค์รัชทายาทก็เป็นอำนาจขององค์จักรพรรดิ”
เธอไม่ได้พูดออกไปเพื่อให้เฟเรสตั้งสติได้เท่านั้น แต่เพื่อจะปลุกตัวเธอเองให้ตื่นจากฝันหวานนี่เสียที
“หากปล่อยไว้แบบนี้ เจ้าชายจะไม่มีวันได้สิ่งใดเลย”
พอเงยหน้าขึ้นมองเฟเรสอีกครั้ง หัวใจที่เคยเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงก็เริ่มค่อยๆ สงบอย่างช้าๆ
พวกเราควรที่จะจัดการจบความสัมพันธ์เสียที่นี่ เพื่อตัวของพวกเราเองน่ะถูกต้องแล้วละ
“หนทางที่เจ้าชายต้องก้าวเดินต่อไปยังอีกยาวไกลนักมิใช่หรือเพคะ เห็นว่าตอนนี้กองกำลังอัศวินส่วนพระองค์เองก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย”
เฟเรสพยักหน้าลงเงียบๆ
โล่งอกไปที ดูเหมือนเขาจะเข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่ออย่างง่ายดาย
แต่แปลกดีที่หัวใจมันเจ็บแปลบสวนกับความคิดนั่นเสียได้
เธอพยายามเก็บซ่อนสีหน้าให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ยกมือขึ้นวางแนบลงบนแผ่นอกของเฟเรส หัวใจของเขาที่เจ็บปวดไม่ต่างจากหัวใจของเธอ
“เพราะฉะนั้นเก็บซ่อนมันเอาไว้เถอะเพคะ เพราะพวกเราต่างก็มีสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จให้ได้ หากทำแบบนั้นแล้วสักวันหนึ่ง”
ความรู้สึกทุกอย่างก็จะเลือนหายไปเอง
เธอตั้งใจจะพูดประโยคนั้นออกไป
แต่มันกลับไม่ยอมดังออกจากปาก…ไม่อาจพูดคำนั้นออกไปได้เลย
เพราะเธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ความรักครั้งนี้จะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะลืมเลือนมันไปได้ ความรักที่ต้องการคนคนหนึ่งมากเสียจนเจ็บปวดถึงเพียงนี้ มันจะเลือนหายไปทั้งหมดได้จริงหรือ
ในตอนนั้นเอง มืออันอบอุ่นของเฟเรสก็ยกขึ้นมากอบกุมมือของเธอที่วางอยู่เหนือแผ่นอกของเขา
และค่อยๆ ยกมือของเธอขึ้นสูง ก่อนจะแนบใบหน้าลงบนฝ่ามือของเธอ
โดยที่สายตาหวานซึ้งยังคงจับจ้องอยู่ที่เธอไม่ยอมห่าง
วินาทีนั้นเองที่รู้สึกราวกับหัวใจมันร่วงหล่นลงไป
เพราะตระหนักได้ในทันทีว่า คำพูดทั้งหลายที่เธอเพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้ อย่าว่าแต่มันจะผลักไสเด็กหนุ่มคนนี้ไปได้เลย กลับดูเหมือนจะยิ่งไปกระตุ้นเขามากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“ต่อให้เก็บซ่อนความรู้สึกของข้าเอาไว้ ลึกลงไปข้างใน มันก็จะไม่มีวันจางหายไปหรอกครับ”
เฟเรสเอ่ยพูดอย่างมั่นใจต่างจากเธอ
“รักษาการเจ้าตระกูล”
เสียงร้อนแรงมากพอกับอุณหภูมิอบอุ่นของร่างกายเอ่ยเรียกเธอ
“ข้าสามารถแต่งตั้งหญิงอื่นเป็นจักรพรรดินีได้หรือครับ ข้าสามารถยืนยิ้มกับคนคนนั้นได้หรือครับ”
ในหัวสมองพลันนึกถึงภาพภาพหนึ่งขึ้นมา
ภาพเฟเรสกับราโมนาที่ยืนคล้องแขนกันอยู่ต่อหน้าฝูงชน
มันเป็นความทรงจำในชีวิตก่อน
เธอกัดฟันแน่นเมื่อหัวใจรู้สึกเจ็บปวดจนเทียบกับเมื่อครู่นี้ไม่ติด
ระหว่างนั้นเฟเรสก็ขยับกายเข้ามาใกล้เธอมากกว่าเดิม
“ข้าสามารถมีโอรสกับหญิงอื่น แล้วใช้ชีวิตจนแก่เฒ่าไปกับคนคนนั้นได้หรือครับ รักษาการเจ้าตระกูลมั่นใจหรือครับว่าจะทนเฝ้ามองภาพนั้นอยู่ห่างๆ ได้”
เธอย่อมทนดูได้ แต่แค่ทุกครั้งที่เฟเรสยิ้มอย่างมีความสุข เธอคงจะไปแอบร้องไห้อยู่คนเดียวเงียบๆ แน่
อนาคตอันแสนมืดมนถูกวาดขึ้นตรงหน้า ทำให้เธอได้แต่หลับตาแน่น
ทว่าเฟเรสกลับชายคางเธอขึ้นอย่างระมัดระวัง บังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา
ตอนนี้พวกเรากำลังมองกันและกันอยู่ใกล้มากเสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
“ข้าทำไม่ได้ครับ”
เสียงของเด็กหนุ่มแหบพร่า
“ข้าไม่สามารถปล่อยให้ใครคนอื่นที่ไม่ใช่ข้า ไปยืนอยู่ข้างกายรักษาการเจ้าตระกูลได้หรอกครับ”
นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสก้มลงมองสบตาเธอ มันส่องประกายระยิบระยับเช่นเดียวกับทับทิมที่เธอเก็บซ่อนไปเมื่อครู่
“เพียงแค่จินตนาการว่า รักษาการเจ้าตระกูลจะต้องแต่งงานกับชายอื่นที่ไม่ใช่ข้า มันก็เป็นแบบนี้แล้ว”
ท้ายประโยคเสียงของเฟเรสสั่นเทาอย่างรุนแรงราวกับโกรธเกรี้ยวอะไรอยู่
“โมโหจนแทบบ้า”
เหมือนอย่างที่เธอทำเมื่อครู่นี้
เฟเรสยกมือของเธอขึ้นวางทาบลงเหนือแผ่นอกของเขา
ตึก ตึก
หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง ราวกับจะกระดอนทะลุซี่โครงออกมา
“หากไม่แทงหัวใจของชายที่ไม่มีตัวตนผู้นั้นจนดับสิ้น โทสะนี้คงไม่มีวันมอดดับลงได้”
เฟเรสกระซิบเสียงแผ่วข้างใบหูของเธอ ริมฝีปากของเขาสัมผัสลงบนนั้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะลากไล้มันลงมาจุมพิตลงบนริมฝีปากของเธอ
ริมฝีปากจาบจ้วงรุกไล้ไล่ต้อนจนไม่อาจหลบเลี่ยงได้
กลืนกินเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับคลื่นลูกยักษ์ที่ถาโถมเข้าใส่จนนับครั้งไม่ถ้วน
เฟเรสจูบเธออย่างอ้อยอิ่งไม่ยอมผละริมฝีปากห่างไปไหน ราวกับต้องการจะช่วงชิงลมหายใจของเธอไปทั้งหมด แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หยุดนิ่ง ก่อนจะเคลื่อนไปจุมพิตลงบนหน้าผากของเธอที่เริ่มขาดอากาศหายใจอย่างอ่อนโยน
“จุมพิตรักษาการเจ้าตระกูลแบบนี้”
ริมฝีปากของเฟเรสซุกไซ้ลงแถวต้นคอเธอ
“สัมผัสแนบชิดผิวกายแบบนี้”
ลมหายใจร้อนผ่าวจั๊กจี้ผิวเนื้ออ่อน
“หากไม่ใช่ข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามทั้งสิ้น”
เฟเรสผละริมฝีปากออกไปอย่างอ้อยอิ่ง ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกลับมองเธอราวกับทนไม่ได้หากต้องเป็นเช่นนั้น
“และดูเหมือนรักษาการเจ้าตระกูลจะเข้าใจอะไรผิดอยู่อย่างนะครับ”
ทว่าปลายนิ้วที่ลูบไล้ช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้ากับทรงผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงจากจูบร้อนแรงของเขา กลับอ่อนโยนราวกับหมาป่าที่ถูกฝึกจนเชื่อง
“รักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคือสิ่งที่ข้าต้องการ ไม่ใช่ตำแหน่งองค์รัชทายาท ไม่ใช่บัลลังก์ แต่เป็นเจ้า”
ปลายนิ้วของเฟเรสลูบไล้ริมฝีปากของเธอเบาๆ
“สิ่งที่ข้าต้องการ คือให้เจ้าเป็นของข้า”
เฟเรสเอ่ยพลางยกยิ้มเล็กน้อย
“ที่เหลือก็เป็นแค่ของแถมน่าสนุกเท่านั้นเองครับ รักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย และข้าก็จะทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งของที่ข้าต้องการ”
“เฟเรส เจ้า…”
นี่ใครกัน
เด็กหนุ่มตรงหน้าของเธอคนนี้ ดูไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
ชั่วขณะ เธอรู้สึกเหมือนได้เห็นด้านมืดที่ไม่เคยได้รู้จักของเด็กหนุ่มมาก่อน
แกรก
เฟเรสโน้มกายเข้าหาเธอและเอื้อมมือออกไปเปิดประตูที่อยู่ด้านหลังเธอ
ฟิ้ว
สายลมเย็นสบายจากด้านนอกพัดหวิวเข้ามาในห้องทำงาน
ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย ขนลุกชัน
รู้สึกเหมือนตื่นจากความฝัน
“เช่นนั้นก็ไปช่วยลูกพี่ลูกน้องของรักษาการเจ้าตระกูลกันดีมั้ยครับ”
เฟเรสกลับมาเป็นเด็กหนุ่มคนเดิมที่เธอเคยรู้จัก ในขณะที่เอ่ยถามเธอ
* * *