เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 219.1
เล่ม 6 บทที่ 219.1
ตอนที่ 219
เบเลซักดีดดิ้นไปมาด้วยความสิ้นหวัง แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องสลัดคนที่กดทับอยู่บนหลังให้หล่นลงมาให้จนได้
“ชิส์! น่ารำคาญชะมัด!”
โอลก้า บาราพอร์ท สบถด่าทอ ในขณะที่พยายามรักษาสมดุลร่างกายไม่ให้พลิกตกลงไป แรงที่หนักกว่าเก่าจึงบีบลงบนคอของเบเลซัก
เบเลซักเอื้อมมือไปข้างหลัง เขาพยายามดึงตัวโอลก้า บาราพอร์ท ลงมา แต่อย่างไรก็ไม่อาจเอาชนะกำลังของอัศวินได้อยู่ดี
ยิ่งตอนนี้ที่ลำคอถูกบีบรัดจากด้านหลังแล้ว ยิ่งไม่มีทางมีแรงสู้คนเป็นถึงอัศวินได้เลย
“อึก!”
เสียงลมหายใจขาดห้วงดังออกจากปากของเบเลซักที่อ้าออกกว้าง เลือดพุ่งขึ้นสมองจนรู้สึกราวกับหัวสมองแทบจะระเบิด
เขาไม่อยากตายแบบนี้!
เบเลซักพยายามที่จะดึงเชือกที่รัดรอบคอของเขาไว้ออก
เลือดสีแดงสดไหลซิบ รอยแผลเกิดขึ้นหลายจุด แต่เชือกที่รัดลงมาอย่างแรงกลับไม่คลายตัวเลยแม้แต่น้อย
เส้นเลือดฝอยสีแดงเริ่มแผ่กระจายไปทั่วตาขาวของเบเลซัก
เขายังไม่อยากตาย! ช่วยด้วย!
เบเลซักอยากจะร้องตะโกนออกไป
“แค็ก!ค็อก!”
แต่ความตายที่คืบคลานเข้ามาทำให้แค่กรีดเสียงร้องออกไปยังทำได้ยากเลย
“เจ้าตัดสินใจเองนะ อย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
ในหัวสมองของเบเลซักที่สติเริ่มค่อยๆ เลือนหายไป พลันปรากฏคำที่ฟีเรนเทียเคยกล่าวไว้ขึ้นมา
“รีบๆ ตายสิวะ”
ได้ยินเสียงโอลก้า บาราพอร์ท พึมพำด้วยความกระวนกระวาย
บางทีเจ้านี่เองก็อาจจะเริ่มหมดแรงแล้วก็ได้
เบเลซักพยายามขยับกายดิ้นให้หลุดอย่างแรงอีกครั้ง
แต่มันก็สายไปแล้ว
การเคลื่อนไหวของเบเลซักเริ่มค่อยๆ เบาบางลงไปต่างจากความตั้งใจของเขา
แขนขาที่อยากจะกวัดแกว่งสุดแรงกลับทำได้เพียงแค่กระตุกเบาๆ เท่านั้น
มองไม่เห็นภาพตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว
กระทั่งเชือกที่บีบรัดอยู่ที่คอ ก็ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น
เขากำลังจะตาย
เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องโหดร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น เบเลซักก็ฉี่รดตัวเอง
ได้โปรดเถอะ ใครก็ได้ ช่วยเขาด้วย
ในขณะเดียวกันก็ได้แต่กรีดร้องไม่มีเสียง
ในตอนนั้นเอง
โครม!
ก็พลันได้ยินเสียงดังสนั่นผ่านโสตประสาทหูที่เป็นเพียงประสาทรับรู้เดียวที่ยังใช้การได้
และ
“แค็ก! โขลก โขลก! ค็อก!”
แรงที่เคยบีบรัดอยู่ที่คอพลันหายไปในพริบตา
เบเลซักพลิกกายไปด้านข้าง สูดอากาศเข้าปอดอย่างร้อนรนตามสัญชาตญาณ
“โขลก! แค็กๆ!”
ท่ามกลางความเจ็บปวดที่ทำให้หยาดน้ำตาไหลริน เบเลซักตัวสั่นเทาด้วยความรู้สึกโล่งใจว่าในที่สุดเขาก็ ‘รอดแล้ว’
“ฮืออออ…”
นัยน์ตาทั้งสองข้างหลับแน่นไม่กล้าลืมขึ้น ปากได้แต่ส่งเสียงร้องครวญครางเหมือนสัตว์ ลมหายใจทุกห้วงที่สูดเข้าปอดช่างล้ำค่าเหลือเกิน
และความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็กระแทกเข้าที่ใบหน้า จนต้องลืมตาพรวดขึ้นมา
เพียะ!
“จะนอนไปจนถึงเมื่อไหร่ รีบๆ ลุกขึ้นมาได้แล้ว”
“อืออออ ใคร…”
เบเลซักเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่ตบแก้มเขาด้วยนัยน์ตาพร่าเลือน แต่สิ่งที่เขามองเห็นก็มีแค่นัยน์ตาสีแดงคู่หนึ่งเท่านั้น
“…บอกว่าตายไปแล้วดีมั้ยเนี่ย”
พอเสียงทุ้มต่ำพึมพำแบบนั้น ใครอีกคนที่อยู่ข้างๆ ก็ห้ามปรามเอาไว้
“เฮ้ย เจ้าชาย อย่าทำแบบนั้นสิ รีบไปกันเถอะ ป่านนี้คงกำลังรออยู่แล้ว”
เบเลซักรีบยกมือขึ้นขยี้ตา สายตาที่เคยพร่ามัวเหมือนถูกหมอกปกคลุมเอาไว้จึงเริ่มชัดแจ้งอีกครั้ง
“อา…”
ประตูเปิดค้างไว้เหมือนถูกใครบุกทำลายเข้ามา ส่วนโอลก้า บาราพอร์ท นั้นนอนนิ่งหมดสติอยู่ที่พื้น
ริกนีเต้ รูมัน ที่เขารู้ว่าเป็นสหายสนิทของเจ้าชายลำดับที่สองกับใครอีกสองคนกำลังค้นอะไรบางอย่างจากตัวโอลก้า บาราพอร์ท
“เฮ้ ดูนี่สิ”
“โอ้ ลอมบาร์เดีย จดหมายลาตายของเจ้าอยู่นี่แน่ะ”
เทดโร่วยิ้มพลางส่งกระดาษแผ่นหนึ่งที่เพิ่งหยิบออกจากอกเสื้อของโอลก้า บาราพอร์ท ให้แก่เบเลซัก
[…ข้ารู้สึกเสียใจยิ่งที่บังอาจคิดลอบสังหารองค์จักรพรรดิ…เจ้าชายลำดับที่หนึ่งเป็นเพียงแค่ผู้เสียหายที่ถูกลากเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องครั้งนี้เท่านั้น…ความผิดที่ไม่อาจลบล้างได้นี้ ข้าขอชดใช้มันด้วยชีวิต…]
ขนลุกชันวาบขึ้นบนแนวกระดูกสันหลังของเบเลซัก
“ทำไมล่ะ มันเหมือนกับลายมือเจ้าเปี๊ยบเลยนะ”
สติลลีย์ถามด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“คิดว่ารอบกายจักรพรรดินีจะไม่มีคนที่สามารถปลอมแปลงลายมือ แล้วเขียนจดหมายลาตายสักแผ่นเลยเหรอไง”
“สติหลุดไปแล้วละมั้งเนี่ย”
ริกนีเต้เดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะไปทางเบเลซักที่กำลังนั่งเหม่อมองจดหมายลาตายที่ลงนามของตัวเอง
“ลุกขึ้น”
ในตอนนั้นเอง เฟเรสก็ก้าวเข้ามาคว้าขอเสื้อของเบเลซักให้ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเสียที
ขนาดยกผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งขึ้นด้วยมือข้างเดียว แต่กลับเคลื่อนไหวได้อย่างสบายๆ ไม่มีสีหน้าหนักหนาแต่อย่างใด เหมือนแค่กำลังยกแก้วชาใบหนึ่งเท่านั้น
สัมผัสหยาบกระด้างทำให้เบเลซักตัวเซไปมาตามแรงลาก แต่ในที่แห่งนี้ไม่มีใครคิดสงสารเขาเลยสักคน
“ไปเถอะ เจ้าชาย ข้าจะอยู่สอบสวนเจ้านี่เอง!”
ริกนีเต้ รูมัน พูดพลางเหยียบเท้าลงบนแผ่นอกของโอลก้า บาราพอร์ท ที่ยังคงนอนหมดสติกองอยู่บนพื้น
“ตามข้ามา”
เฟเรสกล่าว ก่อนจะเป็นฝ่ายหมุนตัวเดินนำไปก่อน
ไหล่ของเบเลซักสะดุ้งเฮือก เขาเดินตามหลังเฟเรสไปโดยไม่แม้แต่จะถามว่า ‘จะไปไหนกัน’
ด้านหน้าตึกกองกำลังอัศวินมีรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่
แต่เฟเรสกลับเปิดประตูช่องเก็บสัมภาระแทน ไม่ใช่ประตูห้องโดยสาร
“ขึ้นไป”
“แต่นี่มันช่องเก็บสัมภาระ…”
ก่อนที่เบเลซักจะทันได้พูดจบประโยคด้วยซ้ำ
เฟเรสก็คว้าคอเสื้อเบเลซักอีกรอบ แล้วจับเขายัดเข้าไปในช่องเก็บของเรียบร้อย
ตึง!
“อึก!”
เบเลซักกุมศีรษะที่กระแทกเข้ากับรถม้าด้วยความเจ็บปวด แต่สีหน้าของเฟเรสก็ยังคงนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนสักนิด
“ภาระมันก็ต้องใส่ไว้ในช่องเก็บของน่ะถูกแล้ว”
เพียงพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วปิดประตูช่องเก็บสัมภาระลงเสียงดังปัง
* * *