เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 223.1
เล่ม 6 บทที่ 223.1
ตอนที่ 223
“รักษาการเจ้าตระกูลตัวน้อยช่างพูดจาห้วนห้าวเหลือเกินนะ”
อีเดน ครูส เอ่ยเสียงแหบห้าว
ท่าทางจะโมโหน่าดูที่เธอพูดจาก้าวร้าวถึงจักรพรรดินี
แต่ถึงอย่างนั้นนัยน์ตาของอีเดน ครูส ก็ยังเอาแต่ลอบมองภายในรถม้าไม่หยุด คล้ายกับพยายามหาว่ามีพื้นที่ใดพอที่จะให้เครย์ลีบันหลบซ่อนตัวได้บ้างหรือเปล่า
“ข้าผู้เป็นรักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ไม่มีเหตุผลให้ต้องระวังคำพูดต่อหน้าอัศวินอังเกนัสอย่างเจ้าเสียหน่อย”
เธอเองก็โต้ตอบกลับไปไม่คิดยอมแพ้เช่นกัน
“ถ้ายังไม่รีบหลีกทางให้รถม้าโดยเร็ว เจ้าจะต้องเสียใจแน่ เซอร์ครูส”
“…!”
ก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบประโยค อีเดน ครูส ที่เคยจับประตูรถม้าเอาไว้แน่นก็หมุนตัวถอยไปข้างหลัง แล้วชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว
เคร้ง-!
เสียงหวีดแหลมของโลหะดังแสบแก้วหูไปหมด
“กล้าเปิดประตูรถม้าลอมบาร์เดีย อยากตายงั้นหรือ อีเดน ครูส”
คนที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแกว่งดาบในพริบตาคือ หัวหน้ากองกำลังอัศวินลอมบาร์เดีย แลมเบิร์ต ลอมบาร์เดีย นั่นเอง
ดาบของทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรงจนสั่นระริก
“หลีกไป”
“ไอ้พวกเศษสวะอังเกนัส”
ด้านหลังยังมีเสียงกีบเท้าม้าวิ่งเข้ามาดังขึ้นพร้อมกับเสียงที่เธอคุ้นเคย
พอเหลียวหันกลับไปมอง ก็พบว่าพวกอัศวินตระกูลอังเกนัสกับกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์ที่เคยยืนล้อมรถม้าอยู่ได้ถอยห่างไปด้านหลังกันแล้ว
“เทีย ไม่สิ ท่านรักษาการเจ้าตระกูล เป็นอะไรหรือเปล่า”
คนที่ยื่นหน้าเข้ามาจากนอกหน้าต่างคือ คิลลีวูกับเมโลน
บางทีนอกจากสองคนนี้แล้ว น่าจะมีอัศวินลอมบาร์เดียอีกหลายคนตามหลังพวกเขามาด้วยแน่
เธอแสยะยิ้มให้อีเดน ครูส ที่มองกองกำลังอัศวินลอมบาร์เดีย ซึ่งเข้ามายืนล้อมรถม้าแทนฝ่ายตัวเองด้วยใบหน้าดุดัน
เธอบอกแค่ว่าจะไปร่วมประชุมใหญ่ แต่ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะไปคนเดียวน่ะ
ตอนนี้ถ้าพวกอังเกนัสกับกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์ไม่ได้คิดที่จะเปิดศึกกับลอมบาร์เดียอย่างเต็มรูปแบบ พวกเขาก็จำเป็นต้องประพฤติตัวให้มันนอบน้อมกว่านี้หน่อยแล้วละ
แน่นอนว่าพวกเรื่องทั้งหลายแหล่ที่พวกนั้นทำมาจนถึงตอนนี้ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามไปเฉยๆ แน่
“เซอร์ลอมบาร์เดีย”
“ครับ รักษาการเจ้าตระกูล”
“พอได้แล้วละค่ะ ข้าไม่เป็นอะไร”
“ทราบแล้วครับ”
ว่ากันตามตรง แลมเบิร์ต ลอมบาร์เดีย ซึ่งเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของท่านพ่อเธอคนนี้ อายุเขารุ่นราวคราวเดียวกับท่านพ่อ และเป็นเหมือนกับคุณอาอีกคนหนึ่งของเธอ
แต่ความสัมพันธ์ในฐานะรักษาการเจ้าตระกูลกับหัวหน้ากองกำลังอัศวินย่อมต้องมาก่อนความสัมพันธ์ฉันญาติมิตร
เซอร์ลอมบาร์เดียปัดดาบของอีเดน ครูส ทิ้งไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่เสี้ยวอึดใจ ก่อนจะก้าวถอยห่างออกไป
เธอจ้องหน้าอีเดน ครูส เขม็ง
“โทษที่เจ้ากล้าเปิดประตูรถม้าของข้า เอาไว้ชำระกันทีหลัง เซอร์ครูส”
แววตาที่มองจ้องเธอผ่านช่องประตูที่ถูกปิดลงคู่นั้น มันดูไม่ปกติเอาเสียเลย แต่เธอไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
จ้องไปแล้วคิดว่าจะทำอะไรเธอได้เหรอไง
เธอออกคำสั่งแก่สารถี
“ไปที่ที่ข้าบอกเมื่อครู่กันเถอะค่ะ”
“ครับ ท่านรักษาการเจ้าตระกูล”
รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง
แต่คราวนี้เคลื่อนไปพร้อมกับเหล่าอัศวินตระกูลลอมบาร์เดียที่คอยช่วยอารักขาอยู่รอบๆ รถม้าให้
พอเริ่มวิ่งไปบนถนน พลเมืองลอมบาร์เดียก็หันมามองรถม้ากันด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง และผ่านไปไม่นาน เธอก็เดินทางมาถึงสถานที่ปลายทางแรก
“ถึงร้านค้าเพลเลสแล้วครับ ท่านรักษาการเจ้าตระกูล”
สารถีแจ้งให้เธอรู้ แต่เธอไม่ได้ลงไปจากรถม้าหรอก
ก็แค่ให้รถม้าลดระดับความเร็วลงจนเพียงแค่เคลื่อนตัวผ่านไปช้าๆ ในขณะที่เธอมองภาพร้านค้าเพลเลสจากทางหน้าต่างเท่านั้น
“สารเลว…”
สภาพที่ได้เห็นทำเอาต้องสบถด่าทอออกมา
“พังพินาศขนาดนี้เลย”
‘คำว่าพังพินาศ’ เป็นคำเดียวที่เหมาะกับสภาพตรงหน้าเป็นอย่างมาก
ไม่เหลือร้านค้าเพลเลสที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา มีผู้คนและรถม้าขนสัมภาระวิ่งเข้าออกกันมากมายเลยแม้แต่น้อย
พลทหารจากราชวงศ์ยังคงเฝ้าอยู่รอบๆ การมีตัวตนของพวกนั้นทำให้บรรยากาศรอบด้านดูอึมครึมไปหมด ทั้งยังดุดันไปด้วยจิตสังหาร ส่วนด้านในมีแต่พนักงานของร้านค้าที่ยังคงขยับกายกันอย่างวุ่นวาย
คนที่รวบรวมข้าวของที่แตกหักและกระจัดกระจายไปทั่ว คนที่ถืออุปกรณ์ทำความสะอาดไว้ในมือทั้งสองข้าง และคนที่กำลังก้มหน้าก้มตากวาดพื้น
ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเศร้าหมอง
“อ๊ะ!”
ในตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งที่กำลังขนย้ายข้าวของก็กรีดร้องอุทานเสียงแผ่ว
ดูเหมือนมือจะโดนเศษกระจกที่ปนอยู่ในกองข้าวของบาดเข้า
เลือดสีแดงสดไหลอาบย้อมลงมาตามนิ้ว ก่อนจะหยดลงเหนือทางเดินของร้านค้าเพลเลส
“ให้ตายเถอะ”
ความโกรธมันพลุ่งพล่านตีตื้นมาจากข้างใน
อยากจะเดินเข้าไปคว้าไม้กวาดมาจากมือของพนักงาน แล้วจัดการฟาดไอ้พวกทหารของราชวงศ์ที่ทำท่าอวดเบ่งเดินไปทั่วร้านค้าชะมัด อยากจะตะโกนใส่หน้าให้พวกมันไสหัวออกไปจากกลุ่มการค้าของเธอให้หมด
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปที่นี่จะกลายเป็นสำนักงานของพวกเราค่ะ”
“แต่ทำไมถึงใช้ชื่อของข้า…”
“ก็อาคารนี้เป็นของเครย์ลีบันนี่คะ”
ความทรงจำอันแสนเนิ่นนานตั้งแต่สมัยเริ่มก่อตั้งร้านค้าเพลเลสขึ้นเป็นครั้งแรกหลั่งไหลเข้ามาราวกับน้ำหลาก
“เป้าหมายแรกของร้านค้าเพลเลสของพวกเราก็คือ เหมืองแร่ค่ะ”
เครย์ลีบัน ไวโอเล็ต และเธอ
วันเวลาที่เคยสุมหัวกันอยู่สามคนประชุมอยู่ในห้องทำงานเองก็วาบผ่านขึ้นมาตรงหน้าราวกับภาพแฟลชแบ็ก
อีกอย่าง ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้น
เพื่อที่จะสร้างร้านค้าเพลเลสให้เติบใหญ่ได้อย่างทุกวันนี้ ผู้คนมากมายต่างก็ทุ่มเทพยายามกันอย่างเต็มที่ทั้งนั้น
เธอละสายตาจากภาพร้านค้าเพลเลส แล้วหันมาเอ่ยพูดกับสารถี
“ออกเดินทางไปพระราชวังกันเถอะค่ะ”
ร้านค้าเพลเลสจะไม่จบสิ้นลงตรงนี้แน่
อาจจะต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะบูรณะให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างสมบูรณ์ แต่หลังจากนั้นพวกเราจะกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม
“พวกมันจะต้องชดใช้ เอาให้สิ้นเนื้อประดาตัวกันไปเลย”
แน่นอนว่าหลังจากที่ตอบแทนหนี้แค้นที่พวกนั้นทำให้ร้านค้าเพลเลสกลายมามีสภาพแบบนี้จนหมดสิ้นเสียก่อน
* * *