เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 224.1
เล่ม 6 บทที่ 224.1
ตอนที่ 224
จักรพรรดินีราวีนีขมวดคิ้วแน่นเป็นปม
อย่าเชื่อในราชวงศ์งั้นหรือ
ตัวจักรพรรดินีราวีนีเองก็เป็นสมาชิกราชวงศ์อย่างแน่นอน ถึงแม้จะเกี่ยวดองผ่านทางการสมรสก็เถอะ
โครอีธาน อังเกนัส ยังคงถ่ายทอดคำพูดต่อ
“กระทั่งตระกูลบราวน์ผู้จงรักภักดียอมอุทิศทุกสิ่ง ก็ยังถูกทอดทิ้งได้อย่างไม่ไยดีเพียงแค่ลมปาก นั่นเป็นความโหดเหี้ยมของผู้ที่นั่งบัลลังก์ทุกพระองค์”
เถียงไม่ได้เสียทีเดียว
ตอนนั้นอังเกนัสเป็นคนที่ล่อลวงองค์จักรพรรดิ และจัดการลงมือสังหารตระกูลบราวน์ทั้งหมด
ทว่าตอนนี้เมื่อต้องมายืนอยู่ตรงกันข้าม ก็ยังต้องสังเกตให้แน่ใจว่าจิตใจขององค์จักรพรรดินั้นเอนเอียงไปทางฝ่ายใด
“สำหรับราชวงศ์ดิวเรลลี่แล้ว พันธมิตรตลอดกาลมีเพียงแค่ลอมบาร์เดียเท่านั้น อย่าได้นำชะตาชีวิตของอังเกนัสไปเดิมพันกับอารมณ์ของจักรพรรดิที่ผันผวนดั่งเกลียวคลื่น”
ราวีนียืนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ ราวกับเสียงของโครอีธานไม่ได้เข้าหูนางแต่อย่างใด
นางยืนนิ่งเหม่อมองใบไม้แห้งเหี่ยวที่พัดปลิวไปตามแรงลม
และหมุนตัวเดินกลับไปยังห้องประชุม โดยที่เหลือทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคเดียว
“มันสายไปแล้ว”
คำพูดที่ลอยมากับสายลมเย็นนั่น ทำให้โครอีธาน อังเกนัส หลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว
‘อังเกนัสน่ะ สายไปแล้ว’
เพราะนั่นเป็นคำพูดประโยคสุดท้ายของจริงที่บิดาทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนสิ้นลม
‘ดังนั้นโครอีธาน แค่เจ้าก็ยังดี จงไปจากอังเกนัสเสียเถอะ’
แต่โครอีธานที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังได้แต่ส่ายหน้า
“ข้าจะจากอังเกนัสไปยังที่ใดได้ล่ะครับ ท่านพ่อ”
เรือนผมแซมเทาพลิ้วไหวไปตามแรงลมฤดูหนาว
คนที่สืบทอดสายเลือดของอังเกนัสอย่างเขา ก็มีแต่จะต้องใช้ชีวิตและตายลงไปพร้อมกับนามตระกูลอังเกนัสเท่านั้น
* * *
เวลาเดียวกัน ณ ห้องรับรองข้างห้องประชุมใหญ่
จักรพรรดิโยบาเนสเดินเข้ามาในห้องรับรองด้วยใบหน้ารำคาญใจในทุกสิ่ง
ตารางการประชุมอันแสนน่าหงุดหงิดและมีแต่ภาระให้ต้องแบกรับแบบนี้ พระองค์คิดแค่ว่าอยากจะให้มันจบไวๆ จะได้ออกไปล่าเหยี่ยวยามบ่ายเสียทีเท่านั้น
แกรก
เสียงแกรกเบาๆ ดึงความสนใจของโยบาเนส
“มีแขกสินะ”
โยบาเนสเอ่ยพูดด้วยเสียงไม่ค่อยจะพอใจนัก
แค่นี้พระองค์ก็อารมณ์เสียมากพออยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่อยากใช้ห้องนี้ร่วมกับใครหน้าไหนทั้งสิ้น
“กำลังดื่มชาสักแก้วก่อนเริ่มการประชุมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
แขกที่ว่าคือเฟเรสนั่นเอง
“พอดีกระหม่อมไม่ค่อยอยากพบหน้าขุนนางที่นั่งกันเต็มห้องประชุมพวกนั้นเท่าไหร่น่ะพ่ะย่ะค่ะ”
โยบาเนสขมวดคิ้วแน่น ริ้วรอยลึกปรากฏชัดขึ้นบนใบหน้า
“เจ้าชายที่ยังเด็กกลับมีความคิดเช่นนั้นแล้วงั้นหรือ”
โยบาเนสแสร้งทำเป็นพูดแบบนั้นให้ตัวเองดูดี แต่ที่จริงเขาเองก็กำลังคิดเช่นเดียวกันกับเฟเรสนั่นแหละ
มันเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาอารมณ์เสียตั้งแต่ก่อนจะเริ่มการประชุม
เดิมทีโยบาเนสตั้งใจจะนั่งห่างไปคนละด้านกับเฟเรส แต่แล้วก็เปลี่ยนใจแสร้งทำตัวเป็นมิตร แล้วนั่งลงข้างเจ้าชายลำดับที่สองแทน
“กระหม่อมผิดเองที่เผลอคิดเช่นนั้นออกไป เป็นเพราะรู้สึกอึดอัดใจพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เฟเรสพูดเสียงเรียบ ในขณะเดียวกันก็วางแก้วชาว่างเปล่าลงตรงหน้าจักรพรรดิอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเอ่ยพูดต่อ
“แต่กระหม่อมไม่ทราบเลยว่า ฝ่าบาททรงทนกับเรื่องพวกนี้มาหลายสิบปีได้ยังไง พวกนั้นไม่เคยมอบสิ่งใดให้ราชวงศ์ มีแต่รับอยู่ฝ่ายเดียวมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
จรู๊ก
เสียงเทน้ำชาดังขึ้นเบาๆ
“กระหม่อมรู้สึกนับถือฝ่าบาทจากใจจริงพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่าฮ่า เจ้าชายชมข้าต่อหน้ากันแบบนี้เลยรึ!”
โยบาเนสระเบิดหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ ก่อนจะหยิบเอาแก้วชาขึ้นแนบแตะปาก แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก หันไปถามเฟเรส
“นี่มันชาอะไรหรือ เจ้าชายลำดับที่สอง”
“เป็นชาที่มีส่วนผสมของใบชาที่ช่วยให้ผ่อนคลาย และช่วยในการนอนหลับพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้ว งั้นรึ”
โยบาเนสมองน้ำชาสีน้ำตาลอ่อนพลางสูดกลิ่นหอมของใบชา
มันเป็นกลิ่นที่ช่วยให้ผ่อนคลายได้ดียิ่ง คล้ายกับมีกลิ่นหอมของดอกไม้ผสมอยู่จางๆ
โยบาเนสแนบแก้วชาเข้ากับริมฝีปากอย่างระมัดระวัง
“กระหม่อมเองก็ดื่มอยู่บ่อยๆ เวลาอยากทำให้ใจสงบลงพ่ะย่ะค่ะ”
ชาที่ปกติเจ้าชายลำดับที่สองก็ดื่มเป็นประจำ เช่นนั้นก็คงจะเชื่อถือได้สินะ
โยบาเนสวางใจ และเริ่มดื่มชาลงคอ
“ดูเหมือนพระองค์จะเหนื่อยมากนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เฟเรสเอ่ยถามเสียงห้วน
ทว่าจุดนั้นกลับทำให้โยบาเนสรู้สึกพึงพอใจนัก
เฟเรสไม่เหมือนคนอื่นๆ เด็กคนนี้ไม่เคยพยายามที่จะป้อยอเขาจนเกินงาม ถึงแม้วิธีการพูดจาจะดูเย่อหยิ่งไปบ้าง แต่เรื่องนั้นเขาไม่ได้สนใจอะไรนัก
เพราะเขาคิดว่าในเมื่อเป็นถึงโอรสของจักรพรรดิเจ้าของแผ่นดินนี้ จะให้มัวแต่คอยเอาใจใส่สายตาผู้คนรอบข้าง มันก็คงจะดูไม่ดีเท่าไหร่
“ก็เหมือนอย่างที่เจ้าชายลำดับที่สองกล่าวมานั่นแหละ ไม่มีวันใดที่รู้สึกผ่อนคลายได้เลยจริงๆ ไอ้ตำแหน่งจักรพรรดินี่”
โยบาเนสจิบชาลงคออึกใหญ่
ชานี่คงจะช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายลงได้เหมือนอย่างที่เฟเรสบอกจริงๆ ยิ่งดื่มมัน ก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนั้นเอง สายตาของโยบาเนสก็สบเข้ากับสายตาของเฟเรส
“ดูเหมือนเจ้าชายจะมีเรื่องอยากพูดกับข้า”
คำพูดนั้นทำให้เฟเรสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“คิดว่าข้าจะไม่ทันได้สังเกตหรือไง”
“กระหม่อมเองก็คงจะเผลอเผยความรู้สึกในใจออกไปโดยไม่รู้ตัวพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่าฮ่า ข้ามิใช่จักรพรรดิที่ชอบเมินเฉยหรือไร้ซึ่งไหวพริบเสียหน่อย”
ไม่รู้ว่าเพราะนานๆ ทีจะได้ดื่มชารสถูกปากแบบนี้หรือเปล่า โยบาเนสถึงได้ยิ้มผ่อนคลายอย่างหาได้ยาก
“มีเรื่องใดอยากพูดล่ะ เจ้าชาย”
เฟเรสแสร้งทำสีหน้าลำบากใจเพียงครู่ ก่อนจะเปิดปากพูด
“ให้คนรอบๆ ถอยไปก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
โยบาเนสสะบัดมือเบาๆ สั่งให้เหล่ามหาดเล็กออกไปรอด้านนอก
คนอื่นๆ รวมถึงหัวหน้านางกำนัลโอทัวร์ที่ยืนรอถวายการรับใช้อยู่ข้างๆ ต่างก็พากันเดินออกไปด้านนอก
พอเหลือกันแค่สองคนในที่สุด เฟเรสจึงค่อยเปิดปากพูดขึ้น
“ก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้น กระหม่อมที่เรื่องอยากแจ้งให้ฝ่าบาททราบพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามาสิ”
“ก่อนหน้านั้น”
เฟเรสเทน้ำชาร้อนกรุ่นลงในแก้วชาของโยบาเนสที่พร่องลงไปมากเพิ่มให้อีกแก้ว
“ดื่มชาเพิ่มอีกหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
จรู๊ก
เสียงเทน้ำชาดังขึ้นอีกครั้ง
“ฟังเรื่องนี้แล้วอาจจะทำให้ฝ่าบาทรู้สึกไม่สบายใจก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสเอ่ยขึ้นในขณะที่ริมฝีปากแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนดั่งกลิ่นหอมของใบชา
* * *