เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 228.1
เล่ม 6 บทที่ 228.1
ตอนที่ 228
“ทะ…ทำแบบนี้ทำไมกันครับเนี่ย”
เครย์ลีบันรีบเดินเข้าไปห้ามแคลอฮันด้วยความตื่นตระหนก
แคลอฮันยิ้มผ่อนคลายให้เครย์ลีบัน ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เป็นเพราะคุณเครย์ลีบันแท้ๆ เทียถึงไม่ต้องโดดเดี่ยวมิใช่หรือครับ”
“อา…”
“ในฐานะพ่อของเทีย ข้าอยากขอบคุณที่คอยช่วยอยู่ข้างกายบุตรสาวของข้าครับ”
เครย์ลีบันนิ่งงันพูดอะไรไม่ออก
ความคิดในหัวมันมีมากเกินไป จนถ้าหากเปิดปากพูดออกไปตอนนี้ละก็ คงมีแต่คำพูดฟังไม่ได้ศัพท์มั่วไปหมดแน่ๆ
เครย์ลีบันสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่หลายครั้ง ก่อนจะเปิดปากพูดอย่างระมัดระวัง
“ข้าต่างหากล่ะครับที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ”
ท้ายประโยคเขาหลุดยิ้มจางออกมาด้วยความปีติยินดี
“ท่านแคลอฮันคงไม่ทราบว่า ชีวิตของข้าเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนหลังจากได้พบท่านฟีเรนเทีย”
เครย์ลีบันคิดว่าตัวเองที่คอยดูแลความเรียบร้อยของคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย และอบรมสั่งสอนเหล่าผู้สืบทอดในสมัยนั้นกำลังเหี่ยวเฉาร่วงโรยลงไปอย่างช้าๆ
แต่ละวันก็ทำได้แค่เพียงสิ่งที่ได้รับมอบหมาย ไม่มีเรื่องที่ทำให้ใจเต้น ไร้ซึ่งเป้าหมายที่แน่ชัดในชีวิต
อีกทั้งหลานสาวหลานชายของรูลลักที่เขาต้องคอยสอนหนังสือให้แต่ละคน ก็ยังธรรมดาทั่วไปเสียจนอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้
และในตอนนั้นเขาก็ได้พบกับฟีเรนเทีย
“ความรู้สึกเหมือนได้พบคนที่มองเห็นตัวตนของข้า ได้พบกับคนที่รู้คุณค่าของข้า ราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้งเลยละครับ”
ห้องเรียนสำหรับเหล่าผู้สืบทอดที่ตกแต่งเหมือนศูนย์รับเลี้ยงเด็ก โต๊ะและเก้าอี้ตัวเตี้ย เบาะรองนั่งหลากสีสัน พื้นที่ที่มีตุ๊กตาน่ารักวางเรียงรายอยู่มากมาย
วินาทีแห่งความปลาบปลื้มที่ได้พบกับท่านฟีเรนเทีย ซึ่งเผยแววตาคมกริบและตัวตนที่แท้จริงออกมาในที่แห่งนั้น!
“หากไม่ใช่เพราะท่านฟีเรนเทียละก็ ข้าคงได้แต่อยู่อย่างโดดเดี่ยวจนตายแล้วละครับ”
ความทรงจำอันแสนเนิ่นนานที่ถึงแม้จะนึกถึงขึ้นมาในตอนนี้ หัวใจก็ยังเต้นโครมครามด้วยความดีใจ ทำให้เครย์ลีบันยิ้มกว้าง ในขณะที่โค้งศีรษะลง
“ขอบคุณครับ ท่านแคลอฮัน”
เครย์ลีบันกระชับตะกร้าในมือแน่น
“ขอให้ใช้เวลามื้อเย็นอย่างสนุกสนานกับทุกท่านในครอบครัวนะครับ”
เครย์ลีบันกล่าวลาอย่างสุภาพ แต่แล้วในจังหวะที่เขาตั้งใจจะเดินผ่านไปข้างกายแคลอฮัน
หมับ
มือของแคลอฮันกลับรั้งไหล่ของเครย์ลีบันเอาไว้
“…ท่านแคลอฮัน”
สายตาของเครย์ลีบันสั่นไหวยามหลุบตาลงมองมือของแคลอฮันที่จับไหล่เขาเอาไว้
“ทำไม…”
“คุณเครย์ลีบัน”
แคลอฮันเอ่ยถามพลางยกยิ้มอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว
“จะไปไหนครับ”
“งานเลี้ยงมื้อเย็นก็ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับห้อง…”
“มื้อเย็นจะรับประทานแค่นั้นได้ยังไงกันล่ะครับ”
แคลอฮันเอ่ยพลางชี้ไปยังตะกร้า
“ไม่ครับ ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ …”
“ข้าเป็นครับ”
แคลอฮันยังคงยิ้มไม่เปลี่ยน
ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิมชัดๆ แต่นัยน์ตาสีเขียวกลับดุดันขึ้นมา
จู่ๆ เครย์ลีบันก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
มือของแคลอฮันที่จับไหล่เขาอยู่เองก็บีบแรงขึ้นกว่าเดิม
“ทะ…ท่านแคลอฮัน”
ในตอนนั้นเอง แคลอฮันก็เอ่ยถาม
“คิดจะปล่อยให้เทียเผชิญหน้ากับท่านพ่อคนเดียวหรือครับ”
“เรื่องนั้น…”
“ร่วมมือกันโกหกด้วยกันทั้งคู่แท้ๆ”
ปลายนิ้วของแคลอฮันจิกลงมาบนไหล่ของเครย์ลีบันแน่น
“ก็ต้องรับผิดชอบด้วยกันสิครับ”
“อืมมมม…”
เครย์ลีบันขมวดคิ้วแน่นเป็นปม
ไม่เอา!
เขาเองก็กลัวท่านเจ้าตระกูลเหมือนกันนะ!
อยากจะโกนออกไปแบบนั้น แต่เมื่อได้มองนัยน์ตาของแคลอฮันที่หรี่ลงไม่จ้องตนเขม็ง สุดท้ายเครย์ลีบันก็ได้แต่คอตก ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม ในขณะที่เอ่ยตอบกลับไป
“…เข้าใจแล้วครับ”
“ฮ่าฮ่า! คิดดีแล้วละครับ! งั้นรีบเข้าไปข้างในกันเถอะครับ!”
แคลอฮันตบไหล่ของเครย์ลีบันเสียงดังตุบๆ แล้วดันหลังอีกฝ่ายให้เดินตรงไปข้างหน้า
“ข้าแจ้งทางห้องครัวเอาไว้แล้วละครับ สั่งให้พวกเขาทำอาหารทะเลที่คุณเครย์ลีบันชอบเอาไว้มากหน่อย”
“ครับ ทราบได้ยังไงว่าข้าจะไปร่วม…”
“ทุกอย่างก็แค่เป็นไปตามที่ถูกกำหนดไว้มิใช่หรือครับ ฮ่าฮ่า!”
ระหว่างที่โดนแคลอฮันที่เอาแต่พูดจาคลุมเครือดันหลังเขาไม่หยุด เครย์ลีบันก็เริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้
หรือที่พบกันตรงทางเดินจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ที่ผ่านมายามได้เห็นฟีเรนเทียที่ดูแล้วไม่คล้ายกับแคลอฮันเลยสักนิด เขาก็แค่คิดว่าสงสัยนางจะเหมือนกับมารดาที่เสียชีวิตไปแล้วกระมัง
ทว่า
‘บางทีอาจจะเหมือนท่านแคลอฮันก็ได้…’
เครย์ลีบันคิดเช่นนั้น ในขณะที่โดนลากไปยังห้องอาหารอย่างไม่อาจขัดขืนได้
* * *
“เครย์ลีบัน”
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะเนี่ย
พอเธอส่งสัญญาณทางสายตาไปให้ เครย์ลีบันก็เหลือบมองไปทางท่านพ่อด้วยใบหน้าไร้เรี่ยวแรง
ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนพยายามจะบอกเธอว่าโดนท่านพ่อลากมาร่วมงานเลี้ยงเลยนะนั่น
“อา หิวจัง”
“นานแล้วนะที่ทุกคนไม่ได้มารวมกันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้”
แต่เพราะสองแฝดกับชานาเนสเข้ามาพอดี เธอเลยพลาดโอกาสที่จะถามเครย์ลีบันว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ ท่านชายเพลเลส”
ชานาเนสกล่าวทักทายเครย์ลีบันอย่างเป็นมิตร ถึงแม้จะเป็นงานเลี้ยงมื้อเย็นที่มีแต่สมาชิกในครอบครัวมารวมตัวกันเท่านั้น แต่ไม่มีใครมีสีหน้าอึดอัดใจต่อเครย์ลีบันเลยแม้แต่คนเดียว
“ครับ ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะครับ ท่านชานาเนส”
และในตอนที่กำลังทักทายกันอยู่แบบนั้น
“ทุกคนมากันครบแล้วสินะ”
ท่านปู่มาถึงแล้ว
เพียงครู่อาหารก็ถูกยกออกมาเสิร์ฟ พวกเราเริ่มลงมือรับประทานมื้อเย็น
มื้ออาหารผ่านไปได้อย่างราบรื่น และในตอนที่ของหวานถูกยกออกมาปิดท้าย เธอจึงตัดสินใจเปิดปากพูดขึ้นมา
“ท่านปู่ ข้ามีเรื่องอยากจะบอกค่ะ”