เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 229.2
เล่ม 6 บทที่ 229.2
ราวีนีเอ่ยเรียกนางกำนัลคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ด้านนอกเข้ามา
ใบหน้าของนางกำนัลซีดเผือดเมื่อเข้ามาในห้องแล้วเห็นเจ้าตระกูลอังเกนัสที่มีเลือดไหลท่วมปาก
“ระ…เรียกหม่อมฉันหรือเพคะ องค์จักรพรรดินี”
“ไปเรียกตัวหัวหน้านางกำนัลโอทัวร์มา”
ต่างจากทัศนียภาพอันน่าสะพรึงกลัวภายในห้อง เสียงของราวีนีนิ่งสงบเป็นอย่างยิ่ง
“ทราบแล้วเพคะ”
นางกำนัลตอบแล้วรีบวิ่งหนีออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
‘หัวหน้านางกำนัล’
นัยน์ตาของดิวอิจซึ่งได้แต่พยายามห้ามเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากแผล และคู้กายด้วยความเจ็บปวดอันสาหัสถึงกับเบิกกว้าง
หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์เป็นนางกำนัลที่คอยรับใช้ข้างกายองค์จักรพรรดิ
‘หรือว่า’
สายตาพลันสบเข้ากับนัยน์ตาของราวีนีที่หันมามองตนเข้าพอดี
“คราวนี้คงพอจะมีไหวพริบขึ้นมาบ้างแล้วสิ”
ราวีนีโยนผ้าขนหนูใส่ดิวอิจ นางหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ
“หากฝ่าบาทสวรรคตทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท สถานการณ์จะกลายเป็นเช่นไรล่ะ ดิวอิจ”
“ตะ…แต่ ท่านพี่…”
“ใช่แล้ว หลังจากนั้นอำนาจในการตัดสินใจเลือกผู้สืบบัลลังก์ก็จะเป็นของข้าผู้เป็นจักรพรรดินี”
อึก
ดิวอิจกลืนน้ำลายเสียงดังโดยไม่รู้ตัว รสชาติขมปร่าของเลือดแผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก แต่ดิวอิจกำลังตกตะลึงจนไม่อาจรับรู้ได้กระทั่งเรื่องพวกนั้น
“หากไม่อาจช่วยให้โอรสของข้าเป็นองค์รัชทายาทได้ ก็แค่จับเขานั่งลงบนบัลลังก์ด้วยตัวข้าเองเสียก็หมดเรื่อง”
ไม่นานหลังจากนั้น หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์ก็มายืนอยู่หน้าจักรพรรดินี
“เรียกหม่อมฉันหรือเพคะ องค์จักรพรรดินี…”
หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์เอ่ยพูดโดยไม่กล้าแม้แต่จะเบือนสายตามองไปทางดิวอิจ
“ตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ที่ใด หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์”
“ยังไม่เสด็จกลับมาจากลานล่าเหยี่ยวเพคะ”
“ถ้าออกไปล่าสัตว์ เช่นนั้นตอนกลับมาคงกระหายน้ำน่าดู”
จักรพรรดินีวางขวดแก้วใบเล็กใบหนึ่งลงตรงหน้าหัวหน้านางกำนัลโอทัวร์
หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์หลับตาแน่นทั้งๆ ที่ยังก้มหน้านิ่ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จักรพรรดินีวาง ‘ขวดแก้วใบเล็ก’ นั่นลงตรงหน้านาง
“ที่ให้มาครั้งก่อน…ยังเหลืออยู่เลยเพคะ”
“ข้าสั่งให้คอยใช้มันอยู่ประจำแท้ๆ แต่ดูเหมือนจะเกียจคร้านเหลือเกิน”
จักรพรรดินีราวีนีกล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับตำหนิเด็กตัวน้อย
“ไม่ใช่อย่างนั้น…”
“นำมันไปเสีย คราวนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ”
รับสั่งของจักรพรรดินีทำให้หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์เก็บขวดแก้วใบเล็กลงในอกเสื้ออย่างเลี่ยงไม่ได้
ปลายนิ้วสั่นเทาเล็กน้อย
“พิษแมงมุมทีที คราวนี้เทลงไปให้หมดทั้งขวด”
ความหมายนั้น หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์เองก็เข้าใจดี
นางเองก็คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วนับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มผสมยาลงในพระกระยาหารขององค์จักรพรรดิตามรับสั่งของจักรพรรดินี ว่าสักวันวันนี้จะต้องมาถึง
“แล้วชีวิตของหม่อมฉันจะเป็นเช่นไรเพคะ”
หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์ถาม
“เป็นคำถามที่น่าสนใจ”
ทันใดนั้นจักรพรรดินีก็กระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป
“เจ้าคิดจะต่อรองกับข้างั้นหรือ”
“หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจจะหยาบคายเพคะ! เพียงแต่ถ้าหม่อมฉันผสมยาพิษนี่ลงในสุราของฝ่าบาท แล้วพระองค์จะสามารถรับรองชีวิตของหม่อมฉันได้…!”
“คิดว่าใครกันที่ผลักดันจนเจ้าสามารถขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้านางกำนัลในตอนนี้ได้”
หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์เม้มปากแน่น
ถึงแม้จะเป็นนางกำนัล แต่นางมีฐานะทางบ้านที่ต่ำต้อยนัก การได้ทำงานรับใช้องค์จักรพรรดิในฐานะหัวหน้านางกำนัลอยู่ในตอนนี้ แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพราะแรงผลักดันจากจักรพรรดินีราวีนี
ราวีนีเอ่ยพูดกับหัวหน้านางกำนัลที่ได้แต่กัดริมฝีปากแน่น ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก
“อย่าลืมว่าครอบครัวของเจ้ายังอยู่ที่อังเกนัส”
“…ทราบแล้วเพคะ”
หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์ทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น ก่อนจะเดินทางกลับไปยังวังจักรพรรดิ
“จะไว้ใจได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
อีเดน ครูส ซึ่งเฝ้ามองอยู่เงียบๆ เอ่ยถาม
“ถ้าเชื่อไม่ได้ แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ”
“กระหม่อมจะไล่ตามไปพ่ะย่ะค่ะ”
หมายความว่าจะสังหารปิดปากทันทีหากต้องการ
“อีเดน ข้าดีใจที่เจ้าจงรักภักดีต่อข้าอยู่เสมอ แต่คนคนนั้นสามารถไว้ใจได้”
จักรพรรดินีราวีนีนั่งลงบนเก้าอี้เป็นครั้งแรกหลังจากเข้ามาในห้องนี่ นางเอ่ยพูดต่อ
“ที่ผ่านมาเป็นตัวนางเองที่ผสมยาพิษลงในสุราของฝ่าบาทด้วยมือของตัวเอง หากคิดจะผลักไสข้าเอาตอนนี้ มันก็ไม่ต่างอันใดจากฆ่าตัวตายหรอก”
อีกอย่างครอบครัวของหัวหน้านางกำนัลโอทัวร์ก็ยังเป็นตัวประกันอยู่ในเขตแดนอังเกนัส
“หัวหน้านางกำนัลไม่อาจทรยศข้าได้”
ราวีนีกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะหันไปออกคำสั่งกับอีเดน ครูส
“เจ้ากลับไปที่คฤหาสน์ จัดเตรียมกำลังพลของอังเกนัสให้พร้อม และหากข้าส่งสารแจ้งไปเมื่อไหร่ ก็ให้พากำลังทหารทั้งหมดบุกมาที่พระราชวังได้เลย”
จักรพรรดินีราวีนีหยิบผ้าเช็ดหน้าอีกผืนขึ้นมาเช็ดมือที่เลอะหยาดเลือดออกจนสะอาด ในขณะที่กล่าวต่อไป
“ถ้าฝ่าบาทสวรรคต อาจจะมีกองกำลังกบฏที่ไหนก็ย่อมเป็นไปได้มิใช่หรือ”
“น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
อีเดน ครูส ตอบรับอย่างเคร่งครัด
แต่ราวีนีไม่ได้เหลียวมองเขาเลยแม้แต่น้อย
คิ้วเรียวได้รูปขมวดแน่น นัยน์ตาหรี่มองเลือดที่เปรอะอยู่บนเดรสของตัวเอง
รอยเลือดสีแดงสดที่ไม่อาจซักล้างมันให้เลือนหายไปกระเซ็นเป็นรอยด่างบนชุดเดรสผ้ากำมะหยี่สีฟ้าตัวงาม
* * *
ยามอาทิตย์อัสดง
กว่ารถม้าที่จักรพรรดิโยบาเนสโดยสารออกไปจะเดินทางกลับเข้ามายังพระราชวังก็กินเวลาค่อนข้างนานทีเดียว
ราวีนีถอดเดรสเปื้อนเลือดออก เปลี่ยนไปสวมชุดใหม่ นางนั่งอยู่เพียงลำพังในห้อง
ราวกับเวลาที่ไหลผ่านมีเพียงหญิงสาวเท่านั้นที่หยุดนิ่ง กระทั่งแพขนตายาวงอนก็ไม่กระดิกเลยแม้แต่วินาทีเดียว
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ
“องค์จักรพรรดินี!”
ราวีนีลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนเรียกนางด้วยความร้อนรน
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาททรงหมดสติไปเพคะ!”
“นั่นมันเรื่องอะไรกัน!”
ราวีนีมองสำรวจภาพตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ในขณะที่แสร้งกรีดเสียงร้องอย่างตื่นตกใจ
เครื่องประดับบนชุดเดรสเองก็เปลี่ยนเป็นแค่เครื่องประดับชิ้นเล็กๆ และลดจำนวนให้น้อยลง
จักรพรรดินีที่สวมเสื้อผ้าหรูหราอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิที่สวรรคตคงดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“มะ…หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบ…ดูเหมือนทางวังจักรพรรดิจะเพิ่งส่งข่าวมา…คะ…คงต้องเสด็จไปดูด้วยตัวพระองค์เองเพคะ!”
“หากเป็นแค่ข่าวลือไร้สาระ คอเจ้าหลุดจากบ่าแน่!”
จักรพรรดินีตวาดเสียงลั่น เปิดประตูพรวดออกไป
ไร้ซึ่งภาพที่เคยมองส่องกระจกอย่างสบายอารมณ์เมื่อครู่นี้ เหลือเพียงใบหน้าตื่นตกใจกับข่าวกะทันหันที่ได้ยินเท่านั้น
ราวีนีกุมชายชุดเดรสแน่น นางรีบเดินมุ่งตรงไปยังวังจักรพรรดิด้วยความร้อนรน
ยิ่งเข้าไปใกล้ห้องบรรทมของจักรพรรดิมากเท่าไหร่ จักรพรรดินีก็ยิ่งผุดแย้มรอยยิ้มแห่งชัยชนะอยู่ในใจ
เพราะบรรยากาศอลหม่านของวังจักรพรรดินั้นเป็นหลักฐานบ่งบอกได้อย่างดีว่า แผนการของนางกำลังเป็นไปตามที่วางไว้
แต่ว่า
“มาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
แพทย์หลวงเช็ดเหงื่อพลางเดินออกมาจากห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิ และถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะเอ่ยพูดกับนาง
“ฝ่าบาททรงพ้นอาการวิกฤตแล้วพ่ะย่ะค่ะ”