เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 231.2
เล่ม 6 บทที่ 231.2
“ได้สติแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
โยบาเนสลืมตาขึ้น เมื่อได้ยินเสียงที่ทั้งไม่คุ้นเคยทว่ากลับเคยคุ้น
“อึก…”
ร่างกายหนักอึ้งด้วยความเหนื่อยล้าราวกับถูกหินก้อนใหญ่กดทับเอาไว้ ทำให้โยบาเนสหลุดครางเสียงแผ่ว
“แฮก แฮก…”
กระทั่งหายใจยังทำได้ยากลำบาก
“นี่มันเกิดเรื่องอะไร…ขึ้นกันแน่…”
“กระหม่อมพบฝ่าบาทหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า เจ้า…”
โยบาเนสฝืนลืมตาที่ปิดแน่นด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่พยายามเพ่งมองให้ชัดว่าบุคคลตรงหน้าเป็นผู้ใด
“เจ้าชายลำดับที่สอง…แฮก! อึก!”
โยบาเนสยกมือขึ้นกุมหน้าอกแน่นอีกครั้ง
“ฝะ…ฝ่าบาท! รีบเสวยยา…!”
แพทย์หลวงสะดุ้งตกใจ รีบยกยาขึ้นป้อนใส่ปากโยบาเนส
เฟเรสเอ่ยถามจักพรรรดิที่เริ่มสงบลงอย่างช้าๆ
“จำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหมดสติไปได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ก่อนหมดสติ…”
โยบาเนสสูดลมหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ชี้นิ้วไปยังขวดเหล้าที่ยังคงกลิ้งตกอยู่บนพื้นอย่างยากลำบาก
“เหล้านั่น…ยาพิษ แฮก จะต้องมียาพิษอยู่แน่…”
“แพทย์หลวง ตรวจสอบสุรานั่นให้ละเอียด”
“ระ…เรื่องนั้น…หากไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นพิษใด มันจะต้องใช้เวลานานมากกว่าจะทราบผลพ่ะย่ะค่ะ”
การที่เอสทีร่าหมอประจำตระกูลลอมบาร์เดียสามารถตรวจสอบได้อย่างรวดเร็วว่าเป็นพิษใดเมื่อตอนที่พวกเขาถูกเจ้าตระกูลเซอเชาว์ลอบโจมตี ดูเหมือนจะเป็นกรณีพิเศษสินะ
“…ตรวจสอบดูว่าใช่พิษแมงมุมทีทีหรือไม่”
“พะ…พ่ะย่ะค่ะ! ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
โยบาเนสมองแพทย์หลวงที่เริ่มขยับตัวไปมาอย่างยุ่งวุ่นวาย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“เหตุใดถึงเป็นพิษนั่น…”
“เมื่อก่อนหน้านี้ กระหม่อมเคยถูกลอบสังหารจากนักฆ่าด้วยพิษจากแมงมุมทีทีพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
ถึงแม้หัวสมองจะยังคงสับสน แต่โยบาเนสเองก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่า ที่เฟเรสกล่าวมานั้นหมายความว่ายังไง
“มีความจริงเรื่องหนึ่งที่กระหม่อมต้องแจ้งให้ฝ่าบาททราบพ่ะย่ะค่ะ”
“…เรื่องใด”
“ในชาที่พระองค์ดื่มก่อนเริ่มการประชุมมียาแก้พิษปนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“…ว่าไงนะ”
“กระหม่อมทำลงไปเพราะเกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องใดขึ้น”
“เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้ยังมีชีวิตอยู่…แค็ก…สินะ”
จักรพรรดิไม่ได้กล่าวอะไรอีก พระองค์ขมวดคิ้วแน่น หรี่ตามองแต่แพทย์หลวง
และไม่นานหลังจากนั้น แพทย์หลวงก็ตะโกนเสียงดัง
“ใช่จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะ! มีพิษแมงมุมทีทีอยู่ในเหล้าพ่ะย่ะค่ะ!”
วินาทีนั้นเอง
หมับ!
มือของโยบาเนสดึงรั้งชายเสื้อของเฟเรสเอาไว้
แรงมหาศาลไม่เหมือนเรี่ยวแรงของคนที่กำลังนอนซมอยู่บนเตียงเพราะถูกพิษ
“ไปลากตัวจักรพรรดินีมาคุกเข่าลงตรงหน้าข้า เดี๋ยวนี้”
ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่น่ามอง นัยน์ตาทั้งสองทอประกายกร้าวด้วยโทสะ
เฟเรสไม่ได้จับมือของจักรพรรดิ หรือช่วยปลอบโยนแต่อย่างใด
“กระหม่อมมีข้อเสนอพ่ะย่ะค่ะ”
เพียงแต่เอ่ยพูดกับโยบาเนสเสียงแหบแห้งเท่านั้น
“โลกใบนี้จะหมุนเวียนไปอย่างไรหลังฝ่าบาทสวรรคต พระองค์ไม่อยากทอดพระเนตรมันหรือพ่ะย่ะค่ะ”
* * *
“ฝ่าบาท…น่ะหรือ”
จักรพรรดินีเอ่ยถามเสียงสั่นเทา
นัยน์ตาสั่นคลอนเหม่อมองประตูห้องบรรทมที่ถูกเปิดออกกว้าง
มันเป็นห้องบรรทมของจักรพรรดิที่นางอยากจะเข้าไปนักหนา แต่จักรพรรดินีกลับไม่ยอมขยับกายแม้แต่ก้าวเดียว
“เข้าไปสิพ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสผายมือเชิญจักรพรรดินี
“ขะ…ข้า…”
“ฝ่าบาททรงเรียกมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงเร่งรัดนั้นราวกับกำลังดุนดันแผ่นหลังของจักรพรรดินีให้ก้าวขยับ
เธอมองสำรวจใบหน้าของเฟเรส
ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่เด็กหนุ่มกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ
ตึก ตึก
จักรพรรดินีเริ่มขยับกายเดินอย่าช้าๆ
เรือนร่างผอมเพรียวสวมร้องเท้าส้นสูงโงนเงนไปมาราวกับจะล้มพับลงไป แต่ไม่มีใครเข้าไปช่วยพยุงเลยสักคน
หลังจากนั้นท่านปู่ก็ขยับเดินตามเข้าไป
เธอเข้าไปได้หรือเปล่านะ
พอเห็นว่าเธอยืนนิ่งลังเลอยู่อย่างนั้น เฟเรสก็พูดเสียงแผ่ว
“ไปกันเถอะ เทีย”
อา อย่างนั้นนี่เอง
วินาทีนี้คือวินาทีนั้น ที่เขาทุ่มเทจัดเตรียมทุกสิ่งให้ได้มันมาไว้ในครอบครอง
แววตาของเฟเรสกำลังบอกแบบนั้น
อยากให้เธอเข้าไปเป็นสักขีพยานในชัยชนะของเขา ไม่มีสิ่งใดต้องลังเลอีกต่อไปแล้ว
“ไปกันเถอะ”
เธอเอ่ยตอบ ก่อนจะสาวเท้าก้าวเดินตรงไปข้างหน้า
ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องขนาดใหญ่ กลิ่นยาก็ลอยฟุ้งเตะจมูก
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ส่วนที่ตั้งของเตียงนอน ก็ยิ่งได้ยินเสียงหนึ่งดังชัดเจน
“แฮก แฮก”
เสียงหอบหายใจคล้ายสัตว์ร้ายที่มีบาดแผลฉกรรจ์
“ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านปู่กล่าวทักทาย
เจ้าของเสียงลมหายใจหอบถี่นั่นคือจักรพรรดิโยบาเนส
ถึงแม้จะนั่งเอนกายพิงพนักเตียง หอบหายใจอย่างยากลำบาก แต่จักรพรรดิก็ยังมีชีวิตอยู่
ใบหน้าไร้สีเลือด ริมฝีปากซีดเซียวจนกลายเป็นสีเขียวอมฟ้า แต่โยบาเนสก็ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ
“ฝะ…ฝ่าบาท”
จักรพรรดินีหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่อาจก้าวเข้าไปใกล้เตียงได้มากกว่านั้น
“ฮู่ว ฮู่ว”
จักรพรรดิกระตุกยิ้มมุมปาก เสียงลมหายใจในห้องบรรทมเปลี่ยนไปจากตอนแรก
“ข้ายังมีชีวิตอยู่แท้ๆ”
โยบาเนสสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ดูเหมือนแค่เปิดปากพูดก็เป็นเรื่องยากลำบากแล้ว
“แต่เจ้ากลับดูไม่ยินดีเลยนะ จักรพรรดินี”
“หม่อมฉัน…”
จักรพรรดินีราวีนีหันไปมองเฟเรสสลับกับจักรพรรดิ
ริมฝีปากสีแดงสั่นระริกราวกับนึกคำพูดไม่ออก
“เจ้าชายลำดับที่สอง”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ลากตัวมา”
เฟเรสโค้งศีรษะลงหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินออกไปจากห้องบรรทม และพาตัวบุคคลหนึ่งเข้ามา
“หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์”
องค์จักรพรรดิเอ่ยเรียกหัวหน้านางกำนัลด้วยความเย็นชา
“จงตอบคำถามข้า อย่าได้พูดปดแม้แต่คำเดียว”