เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 237.1
เล่ม 6 บทที่ 237.1
ตอนที่ 237
“โคล่ก!”
เบเจอร์สำลักน้ำที่กำลังดื่มลงคอจนหน้าแดงก่ำ
รูลลักเฝ้ารออยู่นิ่งๆ ให้เบเจอร์เลิกไอเสียก่อนโดยไม่ได้พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
“ออกไปจากคฤหาสน์เนี่ยนะครับ!”
เบเจอร์ตะโกนเสียงดังใส่รูลลัก
“ถะ…ถ้าออกไปจากคฤหาสน์แล้ว จะให้ข้าไปอยู่ที่ไหนล่ะครับ!”
“ไม่รู้สิ เรื่องนั้นเจ้าต้องจัดการเอาเอง”
ถึงแม้เบเจอร์จะกระวนกระวายใจแค่ไหน แต่รูลลักก็ไม่คิดแยแส
เพียงแค่กล่าวด้วยเสียงแห้งผากตั้งแต่ต้นจนจบเท่านั้น
ท่าทางเป็นทางการราวกับคนแปลกหน้า
เบเจอร์ไม่คุ้นเคยกับท่าทีเช่นนี้ของบิดาเลยสักนิด
จู่ๆ เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นมักจะมองตนด้วยความไม่พอใจอยู่เสมอ
แต่ถึงแม้นัยน์ตาคู่นั้นจะเข้มงวดกวดขันกันแค่ไหน ก็ยังมีความรัก ความสงสารหลงเหลือให้เห็นอยู่ทุกครา
แต่ในตอนนี้รูลลักกลับปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นแค่เพียงคนแปลกหน้าซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์
“ข้าบอกลอเรนซ์เอาไว้แล้ว เจ้านั่นจะไปอยู่ที่ตระกูลคิเนฟอร์คของบ้านภริยา”
“แต่ท่านพ่อ…”
เบเจอร์ผุดลุกผุดนั่งขยับก้นลุกจากเก้าอี้ไปหาบิดาตั้งใจจะหาวิธีขอร้องอ้อนวอน
“ข้าไม่เหลือกระทั่งตระกูลฝ่ายภริยาแล้วนะครับ! อังเกนัสก็กลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว…”
เบเจอร์เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่มักจะทำให้บิดาใจอ่อนอยู่เสมอ
เป็นไปไม่ได้หรอก ท่านพ่อจะผลักไสบุตรชายคนโตอย่างเขาไปได้อย่างไร
“เซรัลกับเบเลซักเป็นยังไงกันบ้าง”
รูลลักถามขึ้น
“ครับ อา สองคนนั่น…”
เบเจอร์ไม่อาจตอบออกไปได้ง่ายๆ
มันก็แน่อยู่แล้ว
เขาได้ยินข่าวอยู่หรอกว่าเบเลซักถูกปล่อยตัวแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้าค่าตากันอีกเลย เซรัลเองก็เช่นกัน
วันหนึ่งเขาดื่มเหล้าจนเมามาย พอกลับมาถึงบ้าน ข้าวของมีค่าต่างๆ ของภริยาก็หายไปจากเรือนเล็กไม่เหลือทิ้งไว้เลยสักชิ้น
“…เจ้าคนน่าสมเพช”
รูลลักเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ
“ภริยากับบุตรชายของตัวเองเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้…นึกว่าเจ้าจะรู้จักดูแลครอบครัวตัวเองเสียบ้าง”
“หรือท่านพ่อทราบครับว่าภริยาของข้ากับเบเลซักอยู่ที่ใด”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์รู้”
รูลลักกล่าวเช่นนั้น แล้วเดาะลิ้นเสียงดังอีกครั้ง
“ข้าจะไม่พูดอะไรยืดเยื้อ เบเจอร์ อีกไม่นานข้าจะมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลให้กับเทีย ดังนั้นเจ้าจงออกไปก่อนจะถึงเวลานั้น นี่คือเรื่องสุดท้ายที่เจ้าจะสามารถทำได้เพื่ออนาคตของลอมบาร์เดีย”
“เทีย เทีย! ท่านพ่อสนใจแต่นังเด็กไร้หัวนอนปลายเท้านั่นหรือไงครับ!”
เบเจอร์ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ตะโกนเสียงดังด้วยความโมโห
“ให้นังนั่นเป็นผู้นำตระกูลนี้ มอบทุกสิ่งให้กับมัน! เหอะ! ทั่วอาณาจักรคงได้หัวเราะเยาะกันเป็นแน่! มอบตระกูลให้แก่หลานสาวที่ถือกำเนิดจากคนเร่ร่อนไร้ที่มาที่ไปนั่นเนี่ยนะ! ท่านพ่อคงจะเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ!”
เบเจอร์ตะโกนเสียงแข็งจนน้ำลายสาดกระเซ็น
“ที่บอกว่าร้านค้าเพลเลสเป็นของตัวเองนั่นก็คงโกหกทั้งเพแหละครับ! เจ้าเล่ห์มาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ก็คงคิดหาวิธีเล่นแง่สร้างเรื่องขึ้นมานั่นแหละ!”
ทว่าร่างกายที่มึนเมาไปด้วยฤทธิ์เหล้าย่อมไม่อาจทนต่อไปได้นาน
“แฮก แฮก…”
เบเจอร์ใช้ชายเสื้อเช็ดหนวดเครารอบริมฝีปากที่รกครึ้ม ก่อนจะชี้นิ้วไปยังรูลลัก
“ตอนนี้ท่านพ่อกำลังทำลายตระกูลนี้ด้วยมือของท่านพ่อเอง! ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ตระกูลนี้! ท่านพ่อกำลังทำลายลอมบาร์เดียนะครับ!”
“คิดแบบนั้นจริงหรือ”
รูลลักถามเสียงเรียบ
“หากเจ้าได้นั่งตำแหน่งนั้น คิดว่าจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปล่ะ เบเจอร์”
“ก็…!”
เบเจอร์ตั้งใจจะตอบออกไปว่ามันก็แน่นอนอยู่แล้ว
แต่ลำคอกลับตีบตันจนหายใจแทบไม่ออก
ไม่รู้สาเหตุ
แต่ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ไม่อาจพูดออกไปได้ว่า ‘ข้าย่อมทำได้ดีกว่า’
รูลลักมองเบเจอร์ที่ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาทอง ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโศกเศร้า แล้วหยิบเอาจดหมายฉบับหนึ่งที่เก็บไว้ในลิ้นชักส่งให้เบเจอร์
“ลายมือเบเลซัก…”
เบเจอร์รับจดหมายฉบับนั้นมาถือไว้ด้วยมือสั่นเทาจากอาการติดเหล้า ก่อนจะกางมันออกอ่าน
ข้างในจดหมายบอกเล่าถึงเรื่องราวความเป็นไปล่าสุดของเซรัลกับเบเลซักด้วยตัวหนังสือที่ดูหนักแน่น และเป็นระเบียบมากกว่าที่เขาเคยจดจำได้
“เทียคอยช่วยดูแลเบเลซักจนถึงที่สุด”
รูลลักเอ่ยพูดกับเบเจอร์
“จักรพรรดินีสั่งการให้คนสังหารเบเลซัก แล้วจัดฉากให้เป็นการฆ่าตัวตาย”
“…ฆะ…ฆ่าตัวตาย”
“ตั้งใจจะใช้เบเลซักให้เป็นแพะรับบาปแทนอาสทาน่ายังไงล่ะ แต่เพราะเทีย เบเลซักถึงได้รอดมาได้”
“เรื่องแบบนั้น…”
“แถมนั่นยังเป็นเรื่องแรกที่เด็กคนนั้นทำหลังจากได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลเสียด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยหาบ้านให้เบเลซักกับเซรัลได้อาศัยอยู่เงียบๆ อีกด้วย”
รูลลักชี้ไปยังจดหมายในมือของเบเจอร์
“นี่เป็นจดหมายที่เบเลซักส่งมาเพื่อขอบคุณเรื่องที่ว่านั่น”
เบเจอร์อ่านจดหมายของเบเลซักด้วยนัยน์ตาสั่นไหว
ถึงแม้มันจะเป็นจดหมายเนื้อหยาบจนเทียบกับกระดาษจดหมายที่ใช้กันในคฤหาสน์ลอมบาร์เดียไม่ติดก็ตาม
แต่เพียงแค่ไม่กี่บรรทัดนั่น มันก็มากพอจะถ่ายทอดออกมาให้เขาได้รู้แล้วว่า ชีวิตของเบเลซักนั้นมั่นคงกว่าแต่ก่อนมากเพียงไหน
[…ข้าคงได้แต่ขอโทษ และขอบคุณเท่านั้น ฟีเรนเทีย ไม่สิ รักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ฝากขอโทษนางด้วยนะครับ ข้าจะคอยอวยพรให้หนทางข้างหน้าของลอมบาร์เดียมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขอยู่จากที่ไกลๆ …]
เบเลซักขอโทษจากใจจริง
“เทียทำงานได้สมกับเป็นเจ้าตระกูลยิ่งกว่าใคร”
ไม่เอาอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ปกป้องและโอบกอดสมาชิกในตระกูลเอาไว้ไม่ให้ใครมาทำร้ายกันได้ นั่นเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของผู้เป็นเจ้าตระกูล
“ดังนั้นเบเจอร์ข้าจะตอบให้เอง เจ้าน่ะ ไม่มีวันเป็นเจ้าตระกูลที่ดีได้ และตระกูลลอมบาร์เดียจะยิ่งใหญ่กว่านี้ภายใต้การนำพาของเทีย”
รูลลักมั่นใจในคำพูดของตัวเองอย่างไม่สั่นคลอน
เบเจอร์ได้แต่ก้มหน้านิ่ง สีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว เขากล่าวเสียงสะอื้นไห้
“ข้ามันอ่อนด้อยเองครับ…เป็นข้าที่ไร้ความสามารถ…”
เบเจอร์รู้สึกเสียใจจากใจจริงแต่มันสายเกินไปเสียแล้ว
“หากตำแหน่งเจ้าตระกูลคนต่อไปได้ถูกเลือกแล้ว คนอื่นๆ ที่เคยแข่งขันกับคนคนนั้นจะมีสิทธิ์เลือกว่าจะออกจากตระกูลหรือจะทำงานต่อไปเพื่อตระกูลนี้โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าตระกูล”
บรรดาพี่น้องของรูลลักเองก็เช่นเดียวกัน ครึ่งหนึ่งเลือกที่จะจากตระกูลนี้ไป ส่วนอีกครึ่งนั้นยังคงอาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูล
มันเป็นกฎของตระกูลที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
“เพราะฉะนั้นเบเจอร์ เจ้าไม่มีสิทธิ์ให้เลือกอีกต่อไป นี่เป็นบทลงโทษสำหรับเรื่องโง่เขลาทั้งหลายที่เจ้าได้กระทำลงไป”
รูลลักยังคงประกาศบทลงโทษของเบเจอร์ต่อไปเสียงเรียบ
“มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองความคิดที่ว่าเมื่อเจ้าตระหนักขึ้นมาได้ ก็คงจะช่วยเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นได้บ้างมันเป็นเพียงแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นจงจากไปให้ไกลเสียเถอะ เบเจอร์”
ในตอนนี้รูลลักคิดถึงเพียงแต่เทียที่จะต้องขึ้นรับตำแหน่งต่อจากเขาเท่านั้น
มันเป็นการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อหลานสาวที่จะต้องสืบทอดตระกูลนี้
“เก็บข้าวของออกไปจากคฤหาสน์ก่อนที่เทียจะขึ้นรับตำแหน่งเจ้าตระกูล ไม่จำเป็นต้องร่ำลาบอกกล่าวใครใดๆ ทั้งนั้น”
เบเจอร์ได้แต่เหม่อมองรูลลักด้วยนัยน์ตาว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง
ตระหนักได้ว่า ตอนนี้ตนไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ
ทั้งตระกูล ทั้งครอบครัว
มันเป็นความจริงที่ต่อให้ดื่มเหล้าจนหมดโลกก็ไม่อาจช่วยให้ลืมเลือนได้
ตุบ!
เบเจอร์วางจดหมายของเบเลซักลงตรงหน้ารูลลักเงียบๆ
และโค้งศีรษะกล่าวลาบิดาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
ตึก ตึก
แต่แล้วในตอนที่กำลังจะเปิดประตูห้องทำงานเจ้าตระกูล ก้าวออกไปด้วยฝีเท้าไร้เรี่ยวแรง
“เบเจอร์”
รูลลักก็เอ่ยขึ้น
“อย่าดื่มเหล้าให้มากนัก ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย”
นั่นเป็นความห่วงใยสุดท้ายที่ผู้เป็นบิดาจะทำให้บุตรชายได้
* * *