เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 238.1
เล่ม 6 บทที่ 238.1
ตอนที่ 238
ณ คุกใต้ดินที่ทั้งมืดทั้งเหม็นอับ
จักรพรรดินีราวีนีนั่งอยู่ในตำแหน่งด้านในสุดของคุก
“ดูไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่นักเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เปลวไฟสลัวตามโถงทางเดินคุกใต้ดินส่องกระทบร่างก่อให้เกิดเงาดำทอดยาว
จักรพรรดินีในความมืดมิดช่างคล้ายกับดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา ภาพลักษณ์อันแสนงดงามที่เคยดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนี้กลับสูญเสียประกายอันโดดเด่นนั้นไปเสียแล้ว
ยังคงแสร้งทำเป็นเย่อหยิ่งเหมือนเคย นั่งนิ่งด้วยท่วงท่าสง่าหลังยืดตรง แต่ในสายตาของคนนอกคุกแล้วก็มองเห็นเพียงแค่ภาพนักโทษสกปรกตัวเหม็นคนหนึ่งเท่านั้น
เรือนผมหลุดลุ่ยไม่เป็นทรง เสื้อผ้าสกปรกไปหมด ใต้ตาหมองคล้ำจากการอดหลับอดนอน มองเช่นไรก็หาความงดงามไม่เจอ
และสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนี้ก็คาดเดาได้ง่ายดายนัก
“หนูเป็นสัตว์ที่โหดร้ายน่าดูเชียวมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ราวกับถูกกุมจุดอ่อน คำพูดสั้นๆ เพียงประโยคเดียวของเฟเรสทำเอาร่างกายของจักรพรรดินีกระตุกเฮือกใหญ่
“หลับตานอนทีไร มันก็จะแทรกตัวโผล่มาตามรอยแตกเล็กๆ กัดกินทุกสิ่งทุกอย่างไปทั่ว เสียงพวกมันวิ่งไปวิ่งมาดังก้องอยู่ข้างศีรษะราวกับกำลังจับจ้องก้อนเนื้อชิ้นโตอย่างมนุษย์ ก็สมควรแล้วที่จะทำให้คนเป็นบ้าได้ง่ายๆ ว่ามั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ว่าจะเป็นคุกใต้ดินหรือวังเล็กผุพังนั่น สำหรับสัตว์ที่แอบอาศัยโดยหลบซ่อนสายตาผู้คนอยู่พวกนั้น มันไม่ต่างอะไรจากรังชั้นยอดของพวกมัน
“เปิดประตู”
เฟเรสสั่งผู้คุมนักโทษ
เสียงเคร้งจากกุญแจโลหะดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนที่เฟเรสจะเดินเข้าไปด้านใน
“มาฆ่าข้าหรือไง”
จักรพรรดินีราวีนีถามเฟเรสด้วยนัยน์ตาอำมหิต
“ยังไม่ถึงเวลาพ่ะย่ะค่ะ แต่ดูเหมือนนักโทษจะไม่รู้สึกผิดบ้างเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เหอะ!”
จักรพรรดินีพ่นลมหายใจเสียงดังหึทางจมูก
“ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เพียงแค่ก่อสงครามกับพวกเจ้าโดยมีชีวิตของข้าเป็นเดิมพันเท่านั้น ข้าพ่ายแพ้ ส่วนเจ้าก็จัดการฉีกทึ้งอังเกนัสเป็นชิ้นๆ นั่นย่อมไม่ต่างอันใดจากข้าได้รับโทษที่สาสมแล้ว”
จักรพรรดินีเชิดหน้าด้วยความมั่นใจ
“รับโทษสาสมแล้วงั้นหรือ”
เฟเรสหลุบสายตามองเหยียดจักรพรรดินีด้วยนัยน์ตาเย็นชา
“คนที่ถูกเจ้าเล่นงานไม่เคยคิดที่จะให้อภัยแท้ๆ แต่กลับบอกว่าตัวเองได้รับโทษแล้วงั้นหรือ ช่างเป็นวิธีการคิดที่แปลกเสียจริง”
ทุกค่ำคืน ต่อให้พยายามอุดหูแค่ไหน ก็ยังคงได้ยินเสียงของมารดาผู้ล่วงลับดังอยู่ข้างหู
“ยังอีกไกลนัก กว่าจะได้รับความเจ็บปวดอย่างสาสมเหมือนอย่างที่ท่านแม่ของกระหม่อมต้องประสบพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
เฟเรสกล่าวต่อสั้นๆ
“ยังไม่ได้อ้อนวอนขอร้องให้ข้าสังหารพระองค์ให้ตกตายไปเสียยังจะดีกว่าเลยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ โทสะที่เคยเดือดพล่านอยากจะลากตัวจักรพรรดินีขึ้นสู่ลานแขวนคอนักโทษจึงค่อยเบาบางลงไปได้บ้าง
จะปล่อยให้ตายง่ายๆ แบบนั้นได้ยังไง
แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดจะปล่อยจักรพรรดินีให้อยู่สบายเฉยๆ หรอก
“ลากตัวมา”
ผู้คุมนักโทษที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูรีบขยับกายอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับคำสั่งจากเฟเรส
ผ่านไปไม่นาน เสียงประตูเปิดเคร้งคร้างก็ดังขึ้นพร้อมกับคุกใต้ดินที่เริ่มมีเสียงเอะอะโวยวายดังลั่น
“ปล่อย ปล่อยข้า! ข้าสั่งให้ปล่อยไง! อ๊าก อย่า อย่าตีข้า! ข้าผิดไปแล้ว!”
เสียงนั่นเป็นเสียงที่ทั้งเฟเรสทั้งจักรพรรดินีราวีนีต่างก็คุ้นเคยดี
“…อาสทาน่า”
“สะ…เสด็จแม่!”
อาสทาน่าถูกทหารยามลากเข้ามาอย่างหยาบคาย เมื่อได้เห็นจักรพรรดินีราวีนีก็ร้องห่มร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ
ถึงแม้จะเคยมีฐานะเป็นถึงเจ้าชายลำดับที่หนึ่งของอาณาจักร แต่สภาพอันแสนน่าสมเพชของอาสทาน่านั้นกลับดูคล้ายกับคนจรจัดเสียมากกว่า
ขยี้ตามองใหม่กี่ครั้ง ก็ไม่อาจหาภาพลักษณ์อันแสนสง่าของผู้ที่เกิดมาเป็นถึงเจ้าชายได้เลย
พอเฟเรสส่งสัญญาณทางสายตาเงียบๆ เหล่าทหารยามจึงคลายมือที่จับกุมอาสทาน่าเอาไว้ออก
“เสด็จแม่!”
ภาพอาสทาน่าวิ่งเข้าไปดึงรั้งชายชุดเดรสของจักรพรรดินีราวีนีเอาไว้ ช่างดูเป็นเด็กไม่รู้จักโตขนาดที่ทำให้สงสัยว่านี่ใช่ชายหนุ่มที่มีอายุยี่สิบกลางๆ จริงหรือเปล่า
หากอาสทาน่าคนนี้ได้รับสืบทอดบัลลังก์ขึ้นมาละก็ อำนาจของจักรพรรดิแท้จริงแล้วจะตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้ใดกันแน่
ไม่ต้องครุ่นคิดอะไรให้มากมายก็รู้ได้ไม่ยาก
กระทั่งเหล่าผู้คุมนักโทษที่ยืนเฝ้าอยู่รอบๆ ยังฉุกคิดได้ พวกเขาต่างก็ขมวดคิ้วแน่น ลอบส่งสายตากันเงียบๆ
“หะ…เหตุใดใบหน้าเจ้าจึงเป็นเช่นนี้…”
จักรพรรดินียกมือสั่นเทาขึ้นลูบคลำสำรวจใบหน้าบอบช้ำของอาสทาน่า
“ไอ้เจ้าพวกนั้นมัน! ฮืออออ!”
อาสทาน่าฟ้องเสียงดัง ในขณะที่มือก็ชี้ไปยังพลทหารที่ลากตนมาที่นี่
“ไม่ยอมตามมาดีๆ …เลยเลี่ยงไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
พลทหารรีบร้อนอธิบายให้เฟเรสฟัง
“ในเมื่อนักโทษไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่ง เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้สินะ”
“เจ้า!”
จักรพรรดินีตวาดเสียงกราดเกรี้ยวไปทางเฟเรส
“อาสทาน่าคือเจ้าชายของอาณาจักร! ต่อให้เจ้าได้อำนาจมาไว้ในมือ ก็ใช่ว่าจะสามารถทำเช่นนี้กับเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทได้!”
จักรพรรดินีดึงอาสทาน่าเข้ามากอดไว้แน่นด้วยแขนข้างหนึ่ง ภาพรักใคร่ของสองแม่ลูกทำให้เฟเรสยิ่งตอบกลับไปด้วยเสียงเย็นเยียบ
“เป็นรับสั่งของฝ่าบาทให้ไต่สวนนักโทษโดยไม่ต้องคำนึงถึงฐานะพ่ะย่ะค่ะ”
“…โยบาเนส!”
จักรพรรดินีกัดฟันแน่นด้วยโทสะ
เดือดดาลเสียจนต่างจากเมื่อครู่ที่บอกแค่ว่า ‘ก็แค่ก่อสงครามเท่านั้น’ อยู่เล็กน้อย และเพียงครู่เดียวก็ตะโกนเสียงกราดเกรี้ยว ถลึงตาจ้องหน้าเฟเรสเขม็งราวกับจะฆ่ากันให้ตาย
“ไอ้ปีศาจร้าย!”
“ฮึก! ฮึก!”
ส่วนอาสทาน่าที่ถูกจักรพรรดินีกอดไว้แน่นก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด
“เสด็จแม่! เจ้าพวกนั้นมันปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นคนชั้นต่ำพ่ะย่ะค่ะ! กล้าดีเช่นไรปฏิบัติกับข้าเหมือนพวกเดรัจฉาน! ฮึก!”
“ไม่เป็นไรค่ะ เจ้าชาย ไม่เป็นไรนะคะ”
จักรพรรดินีทำตัวราวกับเป็นมารดาผู้น่าสงสารที่พร้อมจะปกป้องบุตรชายตัวน้อย และภาพที่ได้เห็นก็ไปสะกิดปมในใจของเฟเรสเข้า
นัยน์ตาสีแดงยามมองสองแม่ลูกโอบกอดกันและกันเริ่มหม่นหมองลงเรื่อยๆ
ปีศาจร้ายงั้นหรือ
ถ้าอย่างนั้นเขาคงต้องทำตัวให้สมกับเป็นปีศาจร้ายที่ว่านั่นเสียหน่อยสินะ
“อาสทาน่า”
อาสทาน่าสะดุ้งโหยง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกของเฟเรส
“อะ…อะไร!”
“ฝ่าบาททรงมอบหมายให้ข้าเป็นผู้ไต่สวนคดีลอบสังหารเมื่อคราวก่อน รวมถึงคดีก่อกบฏในครั้งนี้”
เสียงของเฟเรสสะท้อนก้องไปทั่วผนังคุกเย็นเฉียบดังไปสู่หูของอาสทาน่า
“นั่นคือสาเหตุที่เจ้าถูกคุมขังในคุก ไม่ใช่ที่วังของเจ้าตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน”
“นึกแล้วเชียว เจ้ามันตัวสร้างเรื่อง…!”
“อีกอย่างคนร้ายตัวจริงที่ก่อเหตุในป่าวิกลจริตก็ยังไม่มีการเผยตัวเสียด้วย”
อาสทาน่าหยุดชะงัก หัวสมองทึ่มทื่อประมวลผลอย่างหนักหน่วง พยายามทำความเข้าใจความหมายที่เฟเรสต้องการจะสื่อ
เฟเรสกุมโชคชะตาของอาสทาน่าเอาไว้ในกำมือ อยากจะบีบเมื่อไหร่ จะคลายเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งสิ้น
“ข้าจะพูดให้เข้าใจง่ายเพื่อเจ้าก็แล้วกัน พูดง่ายๆ ก็คือ หนึ่งในพวกเจ้าสองแม่ลูก คนหนึ่งจะต้องเป็นคนร้ายยังไงล่ะ”
“ถะ…ถ้าอย่างนั้น…”
“แต่ก็อย่างที่องค์จักรพรรดินีบอก เจ้ามีร่างกายอันสูงส่งที่สืบสายเลือดของฝ่าบาท ดังนั้นข้าจะให้สิทธิ์เจ้าได้เลือก”
เฟเรสกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดต่อ
“ยอมรับเสียที่นี่ว่าจักรพรรดินีราวีนีมารดาของเจ้าเป็นคนยัดเยียดมีดสั้นเล่มนั้นใส่มือเจ้า และสั่งให้เจ้าลงมือทำร้ายองค์จักรพรรดิ”
“วะ…ว่าไงนะ”
“หากทำเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้าให้ความร่วมมือในการไต่สวน และจะพาเจ้าออกไปจากคุกนี่ทันที”
และเฟเรสก็ยังเสนอเพิ่มอีกข้อหนึ่ง
ตลอดระยะเวลาที่ถูกขังอยู่ในคุก อาสทาน่าเรียกอาหารที่ผู้คุมนำไปให้ว่าเป็น ‘ขยะ’ และไม่ยอมแตะมันเลยสักคำ
“ถ้ายอมเขียนรับสารภาพเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยลายมือของเจ้า กระทั่งอาหารที่อยากกินข้าก็จะสั่งให้คนช่วยจัดหาให้ทุกสิ่ง”
คดีที่เกิดขึ้นในป่าวิกลจริตนั้นเป็นไปตามแผนการที่เฟเรสวางไว้ทั้งหมด
ใช้เงื่อนไขเรื่องอาหารที่อาสทาน่าทนกินไม่ลง กับเรื่องช่วยพาออกไปจากคุกเป็นข้อต่อรอง