เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 240.2
เล่ม 6 บทที่ 240.2
ไม่นานหลังจากนั้น
“เจ้าชายเสด็จ”
เฟเรสก็มาถึงห้องประชุม และในที่สุดการประชุมราชการแผ่นดินก็เริ่มต้นขึ้น
‘ว่าแล้วเชียว เป็นอย่างที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด’
พอการประชุมดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วราวกับสายลมพัด เหล่าขุนนางต่างก็พยักหน้าลงด้วยความพึงพอใจอยู่ในใจ
ทว่ายิ่งเวลาผ่านไป ความพอใจนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง
เพราะทุกระเบียบวาระประชุมนั้นผ่านไปด้วยรูปแบบเดิมซ้ำๆ
เริ่มจากเจ้าหน้าที่ราชการเกริ่นนำว่าเป็นเรื่องใด
“พูดง่ายๆ ก็คือ…”
เจ้าชายลำดับที่สองก็จะประเมินปัญหาออกมาได้อย่างแม่นยำ และชัดเจนยิ่งกว่าเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญในกรมนั้นๆ
“เรื่องนั้นทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง…”
“ไม่เพคะ ขอคำแนะนำจากกลุ่มการค้าที่เคยได้ค้าขายจริง ย่อมดีกว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง…”
บทสนทนาระหว่างเฟเรสกับฟีเรนเทียเกิดขึ้นและผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แล้วเจ้าหน้าที่ที่เสนอฎีกาขึ้นมาก็จะพยักหน้าด้วยใบหน้าผ่อนคลายราวกลับได้ปลดปล่อยภาระบนบ่า แล้วตอบกลับไปเช่นนี้
“ทำแบบนั้นได้จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!แล้วกระหม่อมจะรีบเขียนรายงานมาถวายพ่ะย่ะค่ะ!”
เวลาผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง จู่ๆ การประชุมก็เสร็จสิ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเสียแล้ว
จบลงโดยที่บรรดาขุนนางทั้งหลายรวมถึงประธานคิลเลียนยังไม่ได้แม้แต่จะอ้าปากพูดเลยสักคำด้วยซ้ำ
“อา นี่มันช่าง”
“แบบนี้มันน่าอายเกินไปแล้ว…”
เหล่าขุนนางต่างก็ชอบใจกันทั้งสิ้น แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นละอายใจในขณะที่หัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่า
ทุกคนมีประสบการณ์ในแวดวงขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงกันมาตั้งกี่ปี เรื่องแค่นี้จะไม่มีไหวพริบได้ยังไงล่ะ
“ข้ามีนัดก่อนแล้ว เช่นนั้นขอตัวนะครับ”
เจ้าชายกล่าวเช่นนั้นแล้วลุกเดินออกไปจากห้องประชุมในทันที
เฟเรสเหลือบมองฟีเรนเทียเป็นการบอกลาก่อนจะเดินจากไป แต่เพราะประธานคิลเลียนเข้ามาชวนคุยพอดี หญิงสาวจึงไม่ทันได้สังเกตเห็น
“รักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ตอนนี้มีธุระต้องไปที่ใดต่อหรือไม่ครับ”
“เปล่าค่ะ ไม่มี”
“เช่นนั้นไปรับประทานอาหารด้วยกันกับพวกข้าดีมั้ยครับ บางครั้งเวลาจบการประชุมราชการแผ่นดิน ก็มักจะรวมตัวกันแบบนี้อยู่บ้างน่ะครับ”
ฟีเรนเทียอาจจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลานชายหลานสาวของขุนนางที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่พวกเขาต่างก็กระดิกหูรอฟังคำตอบจากเธอกันทั้งสิ้น
“อา…”
พอเห็นฟีเรนเทียลังเลไม่ยอมตอบอะไรสักที พวกเขาต่างก็มีสีหน้าหม่นหมองลงทันที
พวกเขาคิดว่าอย่างไรเด็กสาวก็คงไม่อยากร่วมโต๊ะกับพวกตนที่อายุอานามปากันไปตั้งรุ่นปู่แล้วกระมัง
“เลือกสถานที่กันหรือยังคะ”
คำถามที่ดังขึ้นแทนคำตอบทำให้ประธานคิลเลียนตกใจเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นไปที่ที่ข้ารู้จักกันดีกว่าค่ะ เจ้าของร้านคาราเมล อเวนิวเปิดภัตตาคารใหม่พอดี ได้รับคำชมค่อนข้างมากเลยนะคะ”
“ข้าเองก็ทราบข่าวเหมือนกันครับ แต่เห็นว่าต้องรออีกหลายสัปดาห์กว่าจะมีที่นั่ง…”
“พอดีข้าสนิทสนมกับเจ้าของร้านเป็นการส่วนตัว ดังนั้นไม่มีปัญหาหรอกค่ะ ไปกันเถอะนะคะ”
“โอ้ว ว่าแล้วเชียว!”
เหล่าขุนนางผู้ทรงอิทธิพลมากขนาดได้รับเลือกให้เข้าร่วมการประชุมราชการแผ่นดินในฐานะตัวแทนขุนนาง ต่างก็เริ่มทยอยกันเดินตามหลังฟีเรนเทียกันไปเป็นแถว
ไม่มีผู้ใดรู้ตัวเลยสักคนว่า อำนาจผู้นำของกลุ่มได้ตกเป็นของฟีเรนเทียไปเสียแล้ว
* * *
“อดใจไม่ไหวแล้วครับ!”
“เมื่อหลายวันก่อนคนรู้จักของข้าก็เล่าเรื่องภัตตาคารนั่นให้ฟังอยู่เหมือนกัน แต่นี่ข้ากลับได้มาที่นี่เสียก่อน สงสัยคงโดนเกลียดแน่เลยครับ ฮ่าฮ่า!”
เดินเรื่อยเปื่อยจากห้องประชุมออกมาสู่เขตพระราชฐานชั้นนอกอย่างช้าๆ ก็ได้ยินเสียงสนทนาพูดคุยกันแบบนั้นดังตามมาจากด้านหลัง
เห็นแบบนี้ก็เถอะ ในการประชุมขุนนางเมื่อวาน พวกเขายังเป็นคนที่พุ่งกระโจนเข้าใส่พร้อมจะฆ่ากันให้ตายราวกับสหายที่กลายมาเป็นศัตรูกันอยู่เลย
เพราะมาจากต่างตระกูลจึงต้องตั้งแง่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกันเวลาอยู่ในงานราชการต่างๆ แต่พออยู่นอกงานกลับสนิทสนมกันมากขนาดนั้น
นึกแล้วเชียว ข้อมูลจากเบ็ตนี่มีความแม่นยำสูงจริงๆ
ที่จริงแล้วก็เป็นเพราะไม่มีที่ไหนใช้ล้วงข้อมูลได้ดีเท่ากับร้านของเบ็ตอีกแล้ว เธอถึงได้ชวนให้ไปภัตตาคารด้วยกัน
ยังไงลูกค้าส่วนใหญ่ของคาราเมล อเวนิวก็เป็นพวกผู้หญิงชั้นสูงเสียมาก ประเภทของข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จึงมีขอบเขตจำกัดอยู่
เพราะอย่างนั้นเธอถึงได้ให้เขายืมอาคารเพิ่มอีกหลัง เพื่อจะได้เปิดภัตตาคารชั้นสูงขายเหล้าควบคู่กันไป พร้อมกับมีห้องส่วนตัวให้ใช้บริการยังไงล่ะ
คราวนี้ก็ให้ฟรีค่าเช่าตลอดชีพเหมือนเดิม แต่คงไม่ปิดประตูไล่กันเพราะงานยุ่งหรอกใช่มั้ยเนี่ย
ครุ่นคิดไปพลางเดินไปเรื่อย แต่แล้วจู่ๆ ประธานคิลเลียนก็ชวนเธอคุย
“ข้าโล่งใจมากจริงๆ นะครับ”
“เรื่องอะไรหรือคะ”
“เรื่องรักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียกับเจ้าชายน่ะครับ”
พอจะสังหรณ์ใจได้แล้วว่าต้องการจะพูดเรื่องอะไรกันแน่
เธอส่งยิ้มอย่างชำนาญ แสร้งทำเป็นรับฟังคำพูดของประธานคิลเลียน ก่อนจะหันกลับมองตรงไปข้างหน้า
“เคยหมั้นหมายกันแล้ว กลับเหลือเพียงแค่ความสัมพันธ์ในเรื่องงานเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยมิใช่หรือครับ”
“นั่นสิคะ”
เธอตอบกลับไปอย่างไร้อารมณ์ราวกับเครื่องจักร
“เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้กังวลว่า ในอนาคตทั้งสองท่านก็จะเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียกับองค์รัชทายาท แล้วแบบนี้จะยังร่วมมือกันทำงานได้ดีหรือเปล่า แต่วันนี้ความกังวลนั่นก็หายไปเป็นปลิดทิ้งเลยละครับ”
ดูไม่น่าจะเป็นคนแบบนี้เลยแท้ๆ แต่ประธานคิลเลียนนี่นะ เป็นคนพูดมากเสียจริง
เธอพยักหน้าคอยตอบบทสนทนาไปอย่างผ่านๆ
และในวินาทีที่พลันสังเกตเห็นชายหญิงคู่หนึ่งจากไกลๆ
หัวใจราวกับร่วงหล่นตกลงไปอยู่ที่ปลายเท้า
ประธานคิลเลียนเอ่ยถามเธออีกครั้ง
“คงจะจัดการเรื่องหมั้นหมายจบลงด้วยดีใช่มั้ยครับ”
ใช่ พวกเราจบสัญญาหมั้นหมายกันไปแล้ว
ในตอนนั้นเอง กลุ่มคนที่เดินตามมาอยู่ข้างหลังเธอก็สังเกตเห็นชายหญิงคู่นั้น จึงเอ่ยพูดด้วยความตกใจ
“นั่นมันเจ้าชายลำดับที่สองกับคุณหนูบราวน์ไม่ใช่หรือ”