เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 248.2
เล่ม 6 บทที่ 248.2
“อ๊ะ เจ้าชายลำดับที่สอง”
ในตอนนั้นเองก็บังเอิญพบกับเฟเรสเข้าพอดี
ท่าทางต่างจากตอนที่ปฏิบัติต่อโยบาเนสเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง เจ้าหน้าที่โค้งศีรษะลงต่ำ ทักทายเฟเรสด้วยความเคารพ
“มาพบฝ่าบาทหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…”
เจ้าหน้าที่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้เฟเรสฟัง และเอ่ยถามราวกับต้องการขออนุญาตเป็นการปิดท้าย
“ทำเช่นนั้นได้จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”
หากฉุกคิดดูเสียหน่อย มันเป็นคำถามที่ไม่ว่าใครต่างก็รับรู้ได้ว่ามันแปลกพิกล
ถามเจ้าชายที่ยังไม่แม้แต่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทอย่างเป็นทางการ ว่าสมควรที่จะปฏิบัติตามรับสั่งของผู้เป็นจักรพรรดิดีหรือเปล่าเนี่ยนะ
ทว่าเจ้าหน้าที่กลับไม่ได้คิดถึงมุมมองนั้นเลยสักนิด
เพราะในฐานะข้าราชบริพารแล้ว เฟเรสที่เขาเฝ้ามองมาตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือและน่าติดตามรับใช้ยิ่งกว่าจักรพรรดิโยบาเนสที่เขาคอยช่วยเหลืองานการมาหลายสิบปีเสียอีก
“ทำตามนั้นเถอะ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย!”
ได้รับคำอนุญาตจากเจ้าชายแล้ว แถมยังจะได้รับเงินรางวัลจากองค์จักรพรรดิอีก เจ้าหน้าที่จึงเดินห่างออกไปไกลด้วยความยินดี
“กระหม่อมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เฟเรสแวะมายังห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิทุกวัน วันละสองรอบ เพื่อมาชงชาให้ตามสัญญา
“เหตุใดจึงมาช้า”
ต่อให้มาถึงตรงเวลา โยบาเนสก็ยังหาข้อตำหนิอยู่ดี
“หากไม่เอาใจใส่ข้า ย่อมมีแต่ผลเสียต่อเจ้าแท้ๆ”
ริมฝีปากคล้ำสีม่วงกระตุกยิ้มเยาะ
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ พอดีกระหม่อมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องอาสทาน่า”
เฟเรสส่งกระดาษรายงานแผ่นหนึ่งให้โยบาเนสด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ขาของอาสทาน่า…ถูกตัดขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ ถูกมอนสเตอร์โจมตี จึงต้องตัดขาข้างหนึ่งทิ้งทันที เพื่อที่จะได้รักษาชีวิตเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าโง่นั่น สู้ตายไปเสียยังดีกว่า”
โยบาเนสขมวดคิ้วจนหน้านิ่ว และโยนรายงานแผ่นนั้นทิ้งออกไปนอกเตียงราวกับโยนขยะที่ไม่อยากเห็นทิ้งลงในซอกหลืบ
“แค่เพราะเรื่องของอาสทาน่าถึงได้มาสายงั้นหรือ”
“เป็นเพราะฝ่าบาทอาจจะยังทรงต้องการอาสทาน่าอยู่ กระหม่อมจึงได้จัดการให้เขาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ถึงค่อยมาพบพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“หมายความว่ายังไงกัน”
ต้องการอาสทาน่าเนี่ยนะ
เฟเรสตอบกลับไปด้วยใบหน้านิ่ง
“ไม่ว่าอย่างไร กระหม่อมก็คงไม่อาจรับตำแหน่งรัชทายาทได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ายังไงนะ”
โยบาเนสอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
“เลือดของกระหม่อม กลับกลายเป็นอุปสรรคชิ้นโตในสิ่งที่กระหม่อมอยากทำมากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“เหอะ เจ้าคงจะบ้าไปแล้วกระมัง”
โยบาเนสหัวเราะเยาะด้วยความตกตะลึง
“สายเลือดราชวงศ์ กลับกลายเป็นสิ่งที่ขวางทางเจ้าอย่างนั้นรึ”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสตอบทันทีโดยไม่แม้แต่จะลังเลเลยสักนิด
โยบาเนสมองเฟเรสนิ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม
“เจ้าต้องการสิ่งใด”
หากไม่ใช่คนบ้าแล้วละก็ ในโลกนี้จะยังมีใครกล้าปฏิเสธตำแหน่งองค์รัชทายาทหรือตำแหน่งจักรพรรดิคนถัดไปได้ลงกันล่ะ
มันเป็นตำแหน่งที่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องอยากได้มันไว้ในครอบครองกันทั้งนั้น
“…โปรดแก้กฎหมายที่บัญญัติเอาไว้ว่า หากขึ้นเป็นจักรพรรดินีแล้ว จะต้องสูญสิ้นฐานะและตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ แล้วกระหม่อมจะลองคิดดูอีกครั้ง”
มันเป็นเงื่อนไขที่โยบาเนสคาดไม่ถึง แต่ก็พอจะเดาได้รางๆ ว่าเพราะเหตุใด
“เพื่อเด็กลอมบาร์เดียคนนั้น”
โยบาเนสถามด้วยสีหน้ามืดหม่น แต่เฟเรสกลับใช้ความเงียบแทนคำตอบ
“เจ้าบ้าไปแล้วสินะ แค่เพราะเด็กผู้หญิงคนนั้น กลับคิดที่จะทิ้งบัลลังก์ ตามืดบอดหลงใหลเพียงแค่หญิงสาวแบบนั้นได้ยังไง!”
แฮก แฮก โยบาเนสเริ่มหอบหายใจถี่อีกครั้ง
เด็กชั้นต่ำนี่ไม่รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ! กล้าดียังไงมายื่นเงื่อนไขพวกนี้
ทั้งยังเป็นเพราะนังเด็กเลือดผสมลอมบาร์เดียนั่น
“ช่างเถอะ! ข้าไม่มอบบัลลังก์ให้คนอย่างเจ้าอีกต่อไป!”
โยบาเนสปฏิเสธอย่างเลือดเย็น พระองค์มั่นใจว่าถ้ายืนกรานเสียงแข็งแบบนี้ อย่างไรสุดท้ายเฟเรสก็ต้องยอมเปลี่ยนเงื่อนไข
พระองค์คิดเช่นนั้น
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นได้โปรดร่างสารเรียกตัวเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกลับมาเมืองหลวงเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเป็นผู้ส่งสารฉบับนี้ไปให้เอง”
เฟเรสจัดเตรียมกระดาษกับปากกาวางลงตรงหน้าโยบาเนสด้วยสีหน้านิ่งสงบ
พอเรื่องราวกลับตาลปัตรกลายเป็นแบบนี้ โยบาเนสกลับกลายเป็นฝ่ายตื่นตระหนกแทน
“เจ้า…”
แต่ต่อให้พระองค์หอบหายใจเรียกเฟเรสด้วยความโมโห สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีแค่ปฏิกิริยาเรียบเฉยไร้ซึ่งความรู้สึกเสียดายแม้แต่เศษเสี้ยว
โยบาเนสตระหนักขึ้นมาได้พร้อมกับความตกตะลึง
“นี่เจ้าคิดจะละทิ้งบัลลังก์จริงๆ งั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสยืนเอามือไขว้หลัง เด็กหนุ่มพยักหน้าลง
“หากไม่ใช่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ก็ไม่มีใครสามารถเป็นจักรพรรดินีได้พ่ะย่ะค่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นสู้ให้คนอื่นขึ้นเป็นจักรพรรดิแทนกระหม่อมจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอใช้ชีวิตในฐานะคู่สมรสของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียพ่ะย่ะค่ะ”
“บ้าไปแล้ว เจ้าบ้านี่”
โยบาเนสได้แต่พูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมา
“หากไม่ชอบใจอาสทาน่า เช่นนั้นส่งสารไปยังตระกูลมาเอียร์ดีมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
คำว่าตระกูลมาเอียร์ทำเอาโยบาเนสสะดุ้งเฮือก
เจ้าตระกูลมาเอียร์เป็นบุตรนอกสมรสที่เกิดจากอดีตจักรพรรดิองค์ก่อน
หากโอรสของโยบาเนสไม่อาจสืบทอดบัลลังก์ได้ พวกเขาจะกลายเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ที่ถูกต้องตามกฎหมายทันที
โยบาเนสถามขึ้นในขณะที่จ้องหน้าเฟเรสราวกับต้องการจะฆ่าให้ตาย
“เจ้าต้องการราชพินัยกรรมจากข้าสินะ”
หากเด็กชั้นต่ำที่กลายเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียนั่นได้ขึ้นนั่งตำแหน่งจักรพรรดินีละก็ ชนชั้นสูงมากมายจะต้องคัดค้านกันเสียงแข็งแน่
ราชพินัยกรรมของจักรพรรดิผู้นอนซมอยู่บนเตียงจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยให้ความขัดแย้งทุกเรื่องสามารถคลี่คลายลงได้อย่างง่ายดาย
“กระหม่อมขอแนะนำอาสทาน่ามากกว่าตระกูลมาเอียร์พ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้จะมีมือแค่ข้างเดียว กับขาอีกข้าง และหัวสมองก็ทึ่มทื่อไปเสียหน่อย แต่อย่างไรก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสถามโยบาเนส
“คงดีกว่าปล่อยให้บัลลังก์ตกอยู่ในมือของเจ้าตระกูลมาเอียร์”
“เจ้า!”
โยบาเนสถึงกับเค้นเรี่ยวแรงที่เหลือตะโกนเสียงกราดเกรี้ยว
แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี
เฟเรสยังคงยืนเอามือไขว้หลังนิ่ง ก้มหน้ามองโยบาเนสด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ
อัศวินที่เฝ้าอยู่หน้าประตูห้องเองก็ไม่ได้วิ่งเข้ามา
เพราะอย่างไรหลังจากนอนป่วยติดเตียง โยบาเนสก็มักจะอารมณ์เสียพาลไปทั่ววันละสิบสองครั้ง พวกเขาจึงเคยชินกับอารมณ์เช่นนี้กันแล้ว
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี่แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของโยบาเนสในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
หมับ!
โยบาเนสคว้ากระดาษกับปากกาจากมือเฟเรสมาถือไว้
“ได้ เรียกตัวอาสทาน่ากลับมาเดี๋ยวนี้…”
โยบาเนสขยับมือทำท่าคล้ายกับต้องการจะเขียนสารเรียกตัวเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกลับมายังเมืองหลวงเดี๋ยวนี้
“อาสทาน่า…”
มือที่จับปากกาเอาไว้นั้นมั่นคงต่างจากลมหายใจหอบถี่อย่างสิ้นเชิง
ความรู้สึกราวกับยืนอยู่ริมหน้าผานี่มันอะไรกัน เลือดในกายเย็นเฉียบราวกับมองเหวลึกใต้ฝ่าเท้า
ในตอนนั้นเอง เฟเรสก็เอ่ยพูดขึ้นราวกับทิ่มแทงหลังเขา
“ฝ่าบาททรงเลือกเองเถอะพ่ะย่ะค่ะ จะทรงเรียกตัวอาสทาน่ากลับมา หรือจะเหลือราชพินัยกรรมทิ้งไว้”
แฮก แฮก
เสียงหอบหายใจของโยบาเนสดังก้องไปทั่วห้องบรรทม
และไม่นานหลังจากนั้น โยบาเนสก็เริ่มขยับปากกาในมือที่เลอะเทอะไปด้วยน้ำหมึก
เฟเรสยืนเอามือไขว้หลังเฝ้ามองภาพนั้นอยู่นิ่งๆ มุมปากข้างหนึ่งกระตุกขึ้นอย่างไร้เสียง
* * *
“เจ้าตระกูลฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย ให้เกียรติแต่งงานกับข้าได้มั้ยครับ”
คำขอแต่งงานของเฟเรสทำเอาสติของเธอหลุดลอยไปไกล ในมือของเด็กหนุ่มกำลังถือแหวนวงหนึ่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แหวนเพชรสีแดงที่เธอเคยปฏิเสธเขาไปเมื่อตอนประกาศหมั้นหมายกันหลอกๆ เพื่อปลดราชโองการสั่งห้ามของท่านปู่วงนั้น
“ข้า…”
พอเธอเปิดปากพูด ก็สังเกตเห็นว่านัยน์ตาสีแดงของเฟเรสสั่นเทาไม่หยุด
ท่าทางคงจะรู้สึกกระวนกระวายใจมากจริงๆ
กลัวว่าเธอจะปฏิเสธ
ราวกับของที่ยื่นมาตรงหน้าเธอนี่ไม่ใช่แหวนเพชรสีแดง แต่เป็นหัวใจของเจ้าตัว
เฟเรสมีสีหน้าเหมือนกับหากเธอปฏิเสธละก็ เขาคงจะต้องตายลงตรงนี้แน่
เธอเหม่อมองใบหน้าของเฟเรสนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เพราะอยากจะจดจำใบหน้านี้เอาไว้ ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น
“อื้อ พวกเราแต่งงานกันเถอะ เฟเรส มาใช้ชีวิตด้วยกันตลอดไปนะ”
วินาทีต่อมา มือสั่นเทาของเฟเรสก็สวมแหวนลงบนนิ้วของเธอ
“เทีย จริงๆ นะ ข้าน่ะ ข้า…”
เฟเรสดึงตัวเธอเข้าไปกอดไว้แน่น เด็กหนุ่มพึมพำเสียงแผ่วด้วยคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์
ตึก ตึก
รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากหัวใจของเฟเรสที่กระหน่ำเต้นอย่างรุนแรงผ่านกายที่แนบชิดกัน และใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ คืบคลานเข้าหาเธออย่างช้าๆ
และในตอนที่ริมฝีปากของพวกเราใกล้ชิดกันมาก
หมับ!
ปลายนิ้วของเธอก็พุ่งเข้าขวางริมฝีปากของเฟเรสเอาไว้ แล้วเอ่ยพูดกับเฟเรสที่ดูมีสีหน้าเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก
“ก่อนจะประกาศหมั้นหมายกันอีกครั้ง ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง”