เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 249.2
เล่ม 6 บทที่ 249.2
ว่าแต่มันมีอะไรแปลกๆ นะ
“เฟเรส”
หากเป็นปกติ เด็กหนุ่มจะต้องตอบ ‘อื้อ’ มองสบตาเธอไม่ยอมหลบแล้ว แต่นี่เขากลับทรุดตัวนั่งลงบนพื้นเหมือนกับคนที่จู่ๆ ก็แข้งขาอ่อนแรงเสียงั้น
“ทำไม เจ็บป่วยตรงไหนหรือเปล่า”
หรือว่าเธอมัวแต่ดีใจมากเกินไปจนไม่ทันได้สังเกตว่าเฟเรสได้รับบาดเจ็บ
เธอทรุดกายลงนั่งยองๆ ด้วยความตกใจ รีบมองสำรวจใบหน้าของเฟเรส
“อา ลูก…”
เฟเรสพึมพำเสียงแผ่ว
อา เธอรีบร้อนเกินไปนี่เอง
เธอเอ่ยถามเฟเรสอย่างระมัดระวัง
“หรือว่า ไม่ชอบ…เด็ก”
เฟเรสเงยหน้าขึ้นมองเธอนิ่งแทนคำตอบ
เสียงของเธอแฝงไว้ด้วยความกระวนกระวายใจ
“ถึงข้าจะมีลูกพี่ลูกน้องหลายคนก็เถอะ แต่ข้าไม่มีพี่น้องเลย เพราะฉะนั้นสักสามคนก็น่าจะ…เฟเรส!”
สุดท้ายเฟเรสก็ตัวเซจนแทบล้ม
“ถ้าเจ้าไม่สบายละก็ รีบกลับไปตามตัวแพทย์…”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
มือของเฟเรสจับแขนเธอไว้แน่น
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มีครอบครัว”
“หน้าเจ้า…แดงแปร๊ดเลยนะ”
ตอนนี้ถึงได้สังเกตเห็นใบหน้าแดงก่ำของเฟเรสที่ก้มชิดติดคาง
“เฟเรส”
เธอวางมือลงบนมือของเฟเรสที่รั้งแขนเธอไว้ แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อพวกเราสัญญาว่าจะแต่งงานกันแล้ว เจ้ากับข้าก็ย่อมจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน เข้าใจมั้ย”
“…ครอบครัว”
“เมื่อเวลาผ่านไป สมาชิกในครอบครัวของพวกเราก็จะมีเพิ่มขึ้นด้วย”
แล้วก็ต้องรีบพูดต่อด้วยความร้อนรน ไม่งั้นเดี๋ยวเด็กหนุ่มได้เป็นลมล้มไปอีก
“แน่นอนถ้าเจ้าต้องการละก็ หากเจ้าไม่ชอบเด็ก ข้าก็จะหาวิธีการช่วยตระกูลลอมบาร์เดียกับเรื่องบัลลังก์เอง…”
“ต้องการ”
เฟเรสตอบอย่างร้อนรน
“ลูกของเจ้ากับข้า”
รู้มั้ยว่าเขาร้อนใจขนาดไหน
ลมหายใจเข้าออกยังคงนิ่งเป็นปกติดี ไหล่ก็แค่ขยับขึ้นลงเบาๆ แต่นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นกลับสั่นเทา
ก็สมควรอยู่หรอก ในชีวิตของเฟเรสจนถึงปัจจุบัน เขาไม่เคยมีคนในครอบครัวที่แท้จริงเลยนี่นะ
“และเจ้าเองก็น่าจะรู้ดี”
เธอกระชับมือของเฟเรสแน่น
“ว่าข้าเป็นคนที่ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องครอบครัวของข้า”
ทั้งท่านพ่อ ท่านปู่ ชานาเนส สองแฝด และลาลาเน่ก็ด้วย ทุกคนในลอมบาร์เดีย
“ตอนที่พวกเราพบกันครั้งแรกในป่าแห่งนี้ ข้าบอกใช่มั้ยว่า ‘ข้าจะช่วยเจ้าเอง’ ข้าขอสัญญาอีกครั้งนะ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง เฟเรส”
รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วของเฟเรสที่สั่นเทาอยู่ใต้ฝ่ามือของเธอ
ในขณะเดียวกันนัยน์ตาของเด็กหนุ่มก็ขมวดนิ่วลงเล็กน้อย
“นั่นเป็นคำที่ข้าอยากบอกเจ้ามากกว่า”
เฟเรสกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นประคองใบหน้าเธอ สัมผัสอ่อนโยนราวกับกำลังกอบกุมสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลก
“ข้าจะปกป้องเจ้า เทีย ไม่ว่าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้นก็ตาม”
มันเป็นคำพูดที่ไม่ว่าใครก็สามารถเอ่ยกับคนรักของตัวเองได้
แต่สัญญาของเฟเรสไม่ใช่แค่คำพูดอวดอ้างให้ตัวเองดูดีเฉยๆ เท่านั้น
เด็กหนุ่มจะปกป้องเธอไม่ว่าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้นก็ตาม เหมือนอย่างที่เขาให้คำมั่นสัญญาเอาไว้
เธอมองเด็กหนุ่มยิ้มๆ สายตาของพวกเรามองกันหวานเชื่อม
เฟเรสขยับกายเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
เธอกับเฟเรสที่นั่งกันอยู่บนพื้นในป่าลึก สำหรับพวกเราสองคน ไม่มีสิ่งใดในโลกสำคัญเท่าวินาทีนี้อีกแล้ว
ราวกับโลกทั้งใบมีแค่พวกเราสองคน
ริมฝีปากของเฟเรสขยับเข้ามาใกล้ เขาปรือตามองด้วยความเว้าวอนในขณะที่เอ่ยถามเสียงแผ่ว
“ไม่ได้เหรอ”
สงสัยจะยังช็อกอยู่ที่ถูกห้ามไม่ให้จูบเมื่อครู่นี้
เธอหัวเราะเสียงแผ่ว เอ่ยพูดขึ้นในขณะที่เป็นฝ่ายเขยิบเข้าไปหาเขาแทน
“จะไม่ได้ได้ยังไงล่ะ”
ท่ามกลางป่าไม้แห้งในฤดูหนาว สายลมเย็นสบายราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านเข้ามาให้ความรู้สึกดี
ดั่งวันที่พวกเราได้พบกันเป็นครั้งแรกเมื่อครานั้น
* * *
“มาแล้วหรือครับ ท่านเจ้าตระกูล”
พ่อบ้านโยฮันกล่าวต้อนรับเธอหน้าห้องทำงานเจ้าตระกูล ปกติแล้วเขาจะต้องอยู่ช่วยเธอตั้งแต่ตอนตื่นนอนเตรียมตัวทำงาน
แต่เพราะวันนี้เป็นวันทำงานวันแรกอย่างเป็นทางการ เธอจึงขอร้องพ่อบ้านโยฮันเอาไว้ล่วงหน้าว่าอยากจะเตรียมตัวคนเดียวเงียบๆ
“อรุณสวัสดิ์ โยฮัน”
เธอกล่าวทักทายตอบกลับไป แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นวางบนลูกบิดประตูห้องทำงานที่ปิดแน่นอย่างระมัดระวัง
แกรก
ออกแรงบิดที่มือทั้งสองข้าง เสียงแกรกเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับประตูสองบานใหญ่ที่ถูกผลักเข้าไปอย่างอ่อนโยน
ตึก ตึก
ภายในห้องทำงานเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใดนอกจากเสียงฝีเท้าของเธอ เธอหันไปมองรอบๆ ห้องทำงานด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ตลอดสามวันสามคืนที่จัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีที่เธอได้ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าตระกูลนั้นยุ่งวุ่นวาย ห้องทำงานเองก็ถูกจัดเตรียมให้พร้อมสำหรับต้อนรับเจ้านายคนใหม่
ไม่ว่าจะโซฟา เก้าอี้ หรือข้าวของต่างๆ ที่ท่านปู่เคยใช้งานมาเนิ่นนานต่างก็ถูกเปลี่ยนเป็นของชิ้นใหม่ทุกชิ้น ถึงจะเปลี่ยนแปลงไปแค่นั้น แต่ก็สามารถทำให้บรรยากาศในห้องทำงานเปลี่ยนไปจากเมื่อหลายวันก่อนได้อย่างสิ้นเชิง
“ฮู่ว”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ดับความปรารถนาอันแรงกล้าที่พลุ่งพล่านขึ้นมาให้สงบลง ก่อนจะหมุนตัวหันไปถามโยฮัน
“ตารางงานแรกคืออะไร”
“ประชุมเจ้าตระกูลกับบรรดาเจ้าตระกูลใต้บังคับบัญชาครับ”
ก็สมควรอยู่
พวกเขาอาจจะเป็นเจ้าตระกูลที่เธอรู้จักมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อกลายเป็นเจ้าตระกูลคนใหม่แล้ว ก็ต้องได้เห็นหน้าค่าตากันสักครั้ง แล้วค่อยเริ่มทำงานกันจริงๆ จังๆ
“เริ่มประชุมเมื่อไหร่”
“อีกครู่เหล่าเจ้าตระกูลก็น่าจะมาถึงกันแล้วครับ”
“งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”
“ยังไม่มีใครมาถึงนะครับ…”
“ประชุมครั้งแรกแค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก แค่การประชุมครั้งแรกข้าก็ควรจะเป็นฝ่ายให้เกียรติรอพวกเขา”
ต่อไปถ้างานของเจ้าตระกูลเริ่มยุ่งมากขึ้น เธอคงจะต้องทำให้พวกเขารอเธอแทนอยู่บ่อยๆ
เธอเดินเข้าไปในห้องประชุมที่อยู่ติดกับห้องทำงานพร้อมกับโยฮัน ก่อนจะเดินตรงไปนั่งยังตำแหน่งสูงสุดของโต๊ะ
และผ่านไปไม่นาน เหล่าเจ้าตระกูลก็เริ่มทยอยเดินทางมาถึง
พวกเขาจับกลุ่มกันสองสามคนระหว่างตระกูลที่ค่อนข้างสนิทสนมกันดี แล้วทยอยเดินเข้ามาด้านในห้องประชุม
“อ๊ะ ท่านเจ้าตระกูล!”
“มาถึงก่อนแล้วหรือครับ!”
“ขออภัยครับ!”
พวกเขาสะดุ้งตกใจ รีบโค้งศีรษะขอโทษขอโพยกันไม่หยุด
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก ข้าแค่อยากมารอเท่านั้นเอง นั่งลงเถอะ”
เธอยกมือขึ้นโบกยิ้มๆ ไม่คิดอะไร แต่เจ้าตระกูลทั้งหลายกลับดูกระอักกระอ่วนน่าดูที่เธอมาถึงก่อนพวกเขา
ในตอนนั้นเอง ประตูห้องประชุมที่ปิดแน่นก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ก่อนที่ใบหน้าคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งจะปรากฏกายขึ้น
เธอยิ้มกว้างให้คนคนนั้น ในขณะที่กล่าวทักทายด้วยความยินดี
“เชิญเข้ามาเถอะ เจ้าตระกูลเพลเลส”