เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 6 บทที่ 253.2
เล่ม 6 บทที่ 253.2
ในตอนนั้นเอง
“องค์รัชทายาท”
เสียงไม่ดัง ไม่สูงเกินไปก็ดังขึ้นเบาๆ ในห้องประชุมใหญ่
“ขุนนางเป็นรากฐานหนึ่งที่ช่วยพัฒนาอาณาจักร การโน้มน้าวบริหารจัดการขุนนางให้ดี เป็นหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งขององค์รัชทายาทเพคะ”
ในระหว่างที่องค์รัชทายาทกำลังข่มขู่เหล่าขุนนางนับร้อยในห้องประชุมใหญ่ว่า หากไม่เชื่อฟังคำสั่งก็จะมอบโทษขัดราชโองการอยู่ในตอนนี้ ใครกันที่กล้าส่งเสียงท้วงติงพระองค์เช่นนี้!
สายตาของผู้คนที่หันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียงหยุดอยู่ที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย
“เอาแต่ข่มขู่ให้ยอมรับอย่างไร้เงื่อนไขมันเป็นเรื่องน่าลำบากใจนะเพคะ”
คราวนี้สายตานับร้อยพุ่งกลับไปยังองค์รัชทายาทอีกครั้ง
เพราะต่อให้เป็นคู่หมั้นกันก็เถอะ แต่พวกเขาสงสัยเหลือเกินว่าองค์รัชทายาทจะตำหนิเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียที่กล้าท้วงติงเรื่องอำนาจต่อหน้าแบบนั้นยังไง
ทว่าพวกเขาก็ต้องตกใจอีกครั้ง
“…ข้าคงตื่นเต้นเกินไปหน่อยน่ะครับ”
เพราะจิตสังหารที่กดดันเหล่าขุนนางผ่านนัยน์ตาเย็นชาจนถึงเมื่อครู่นี้พลันจางหายไปทันที
ง่ายดายเพียงนี้เองหรือ
“ข้าขอโทษ”
“โอ้ว ไม่พ่ะย่ะค่ะ!”
“ขอโทษอันใดกัน! มิกล้า มิกล้า องค์รัชทายาท!”
พอเฟเรสโค้งศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวขอโทษ กลับกลายเป็นพวกขุนนางที่ต้องโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน ทำอะไรไม่ถูก
และนัยน์ตาของเหล่าขุนนางที่ได้แต่นิ่งเงียบก็ส่องประกายมองไปทางฟีเรนเทียกันเป็นสายตาเดียว
“คงต้องอธิบายเพิ่มเติมกันหน่อยสินะคะ”
เมื่อฟีเรนเทียเอ่ยขึ้นในขณะที่หันไปมองหน้าทุกคน เหล่าขุนนางก็กระดิกหูตั้งใจฟัง
“ไม่ได้จะแต่งงานกันทันทีตอนนี้หรอกค่ะ ตั้งใจว่าจะหมั้นหมายกันสัก 2 ปีก่อน”
“เหตุใดต้องสองปีล่ะครับ ท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
ฟีเรนเทียยิ้มกว้างตอบคำถามของใครบางคน
“ไม่ว่าจะราชวงศ์หรือลอมบาร์เดีย ข้าไม่คิดที่จะทำงานส่งๆ ให้กับฝ่ายใดทั้งนั้นค่ะ เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างคนที่จะมาช่วยงานข้าทั้งสองด้านก่อน”
ทุกคำพูดนั้นมั่นคงไร้ซึ่งความลังเล ทว่ากลับนุ่มนวลยิ่ง จึงทำให้คนที่รับฟังยอมโอนอ่อน ทั้งยังรู้สึกเชื่อใจไปโดยธรรมชาติ
น้ำเสียงน่าฟังเสนาะหูต่างจากเสียงขององค์รัชทายาทลิบลับ
“และกว่าลูกพี่ลูกน้องของข้าที่จะเข้ามาช่วยงานพวกนี้จะเรียนจบจากอะคาเดมี ก็อีก 2 ปีให้หลังพอดีค่ะ ช่วงนั้นข้าถึงจะจัดการทุกสิ่งในลอมบาร์เดียเรียบร้อย และพร้อมที่จะรับอำนาจจากราชวงศ์ต่อ”
“ก็จริง”
“ลอมบาร์เดียเองก็ต้องการเวลาเหมือนกันสินะ”
เหล่าขุนนางพยักหน้าลง เริ่มคล้อยตาม
“และเหล่าทายาทของข้ากับองค์รัชทายาทก็จะไม่รับช่วงอำนาจของราชวงศ์กับลอมบาร์เดียควบไปพร้อมกันค่ะ”
คำกล่าวของฟีเรนเทียช่วยให้ใบหน้าของขุนนางทั้งหลายสดใสขึ้นทันตาเห็น
เพราะนั่นเป็นคำมั่นสัญญาว่า จะไม่มีวันเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดซึ่งพวกเขาเป็นกังวล อย่างการให้คนคนหนึ่งได้รับอำนาจทั้งของราชวงศ์และอำนาจจากลอมบาร์เดียอย่างแน่นอน
อีกทั้งฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย ก็ยังมีเขตแดนเชซายูกับร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันที่เป็นแหล่งเงินทองของอาณาจักรอยู่ด้วยมิใช่หรือไร
อึก
พวกเขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ จู่ๆ ก็พลันตระหนักขึ้นมาได้ว่าอำนาจที่ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย มีอยู่ในครอบครองนั้นมันยิ่งใหญ่มากขนาดไหน
“ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่หรอกนะคะ ด้านดีก็มีเหมือนกัน”
หญิงสาวฉีกยิ้มเพิ่มความสดใสให้บรรยากาศอันตึงเครียดรอบห้อง
“ยกตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลที่กำลังสร้างขึ้นในลอมบาร์เดียยังไงล่ะคะ”
เมื่อเรื่องโรงพยาบาลซึ่งเป็นประเด็นร้อนแรงในเมืองหลวงถูกอ้างถึง เหล่าขุนนางก็กระดิกหูพร้อมฟังกันอีกครั้ง
“ในเมื่อตัดสินใจที่จะหมั้นหมายกันแล้ว ข้าจึงตั้งใจว่าจะเปิดให้บริการสำหรับประชาชนทั่วอาณาจักร ไม่ใช่แค่เฉพาะพลเมืองลอมบาร์เดียเท่านั้นค่ะ แน่นอนว่าทุกท่านที่อยู่ในห้องนี้เองก็สามารถไปใช้บริการได้นะคะ”
“โอ้!”
“เรื่องน่ายินดีกระไรอย่างนี้เนี่ย!”
ไม่มีใครอ่อนไหวเรื่องผลประโยชน์ของตัวเองได้เท่ากับพวกชนชั้นสูงอีกแล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือ คนพวกนี้เป็นกลุ่มคนที่รับมือได้ง่ายดายนัก
ฟีเรนเทียลอบยิ้มในใจ ก่อนจะอธิบายต่อ
“และทางองค์กรนักเรียนทุนลอมบาร์เดียเองก็คิดที่จะยกระดับขึ้นอีกขั้นเหมือนกันนะคะ ความจริงแล้วจนถึงปัจจุบันพวกเราเองก็มัวแต่ให้ความสนใจกับทางด้านศิลปะเสียมาก ต่อไปจึงตั้งใจจะช่วยเหลือผู้ที่มีความสามารถ ทั้งยังฉลาดเฉลียว แต่กลับไม่อาจเข้าศึกษาที่อะคาเดมีได้เพราะขาดแคลนเงินทองด้วยค่ะ ถ้าหากรอบกายทุกท่านมีคนเช่นนั้นอยู่ ก็ขอให้พาตัวมาพบข้าได้เลยนะคะ”
“ฮ่าฮ่า!”
“สมแล้วที่เป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย!”
“ใจกว้างจริงๆ นะครับ!”
คำโอ้อวดอย่างใจกว้างของฟีเรนเทีย ทำให้ขุนนางทั้งหลายต่างก็หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี
ฟีเรนเทียเองก็ร่วมหัวเราะไปด้วยกันกับพวกเขาเช่นกัน แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครง กลับมีใครบางคนพึมพำเสียงแผ่วขึ้นมาผิดจังหวะ
“ต่อให้เป็นลอมบาร์เดียก็เถอะ จะมีเงินทองมากพอหรือไงกัน”
วินาทีนั้นเอง รอยยิ้มบนใบหน้าฟีเรนเทียพลันกระตุกเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชา
“ใครคะ”
หญิงสาวกวาดสายตามองไปยังที่นั่งขุนนาง ในขณะที่เอ่ยพูดเสียงเย็น
“คนที่พูดประโยคเมื่อครู่”
คนขี้ขลาดย่อมไม่กล้าเปิดเผยตัวอยู่แล้ว
นัยน์ตาเย็นชาจนไม่อาจเชื่อได้ว่าเป็นบุคคลเดียวกับคนที่กำลังหัวเราะอยู่เมื่อครู่นั่น มันน่ากลัวมากเสียจนแม้แต่ขุนนางที่ไม่ได้ทำความผิดใดก็ยังต้องหลบเลี่ยง
ในเมื่อไม่มีคนยอมรับผิด เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียจึงเอ่ยพูดไปทางทุกคนในห้อง
“อย่าได้สงสัยในกำลังทรัพย์ของลอมบาร์เดียอีก”
คำเตือนอันแสนสั้น ทว่าน่ากลัวยิ่ง
ควบคุมองค์รัชทายาทผู้แผ่รังสีอำมหิตได้ด้วยคำพูดประโยคเดียว มอบสวัสดิการต่างๆ ให้แก่พลเมือง ด้วยความเมตตา ตอนนี้ยังมีกระทั่งเสน่ห์ที่สามารถกุมใจเหล่าขุนนางนับร้อยให้ยอมเชื่อฟังได้ในคราวเดียวอีก
เหล่าขุนนางต่างก็เหลือบมองหน้าคนข้างๆ พร้อมกันโดยไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ครุ่นคิดไปด้วย
พวกเขาอาจจะต้องสมควรกลัวเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียมากกว่าองค์รัชทายาทหรือเปล่าเนี่ย
ถึงแม้จะไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปาก แต่ทุกคนกลับพยักหน้าลงเงียบๆ เห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง