เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 13
SPIN-OFF บทที่ 13
“ตั๋วเข้าพักห้องพิเศษเหรอคะ?”
               นี่มันเรื่องอะไรกัน
               ข้ากับเฟเรสได้แต่จ้องหน้ากันอย่างเหม่อลอย
               “รอบนี้พวกเราจัดอีเว้นท์กันอยู่ค่ะ! วันนี้ทั้งสองท่านเป็นลูกค้าที่ขึ้นเรือสำราญมาเป็นลำดับที่ 100 พอดีเลยค่ะ!”
               “ยินดีด้วยนะคะ!” อาจเพราะรอยยิ้มของพนักงานเรือสำราญทั้งสองคนสดใสยิ่งนัก ข้าจึงเกือบยิ้มตามออกไปโดยไม่รู้ตัว
               “รบกวนรอตรงนี้สักครู่ได้ไหมคะ ข้าจะไปตรวจสอบว่าห้องพิเศษเตรียมพร้อมเสร็จหรือยังค่ะ”
               พนักงานพูดแบบนั้นจบก็ขยับออกห่างไปด้วยฝีเท้าอันว่องไว
               “ตั๋วเข้าหักห้องพิเศษอย่างนั้นเหรอ คราวที่แล้วก็มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหมือนกันนี่?”
               “เรื่องแบบนี้?”
               “ทำไมล่ะ ก็โรงแรมที่อาคาเดียร์เมื่อคราวก่อนไง เจ้าของโรงแรมก็เปลี่ยนเป็นห้องที่ดีที่สุดให้พวกเราเพราะบอกว่าห้องที่เราเช่าไว้น้ำซึมไม่ใช่เหรอ”
               “อ๋า” เฟเรสพยักหน้าราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนนั้น
               “ดีมันก็ดีอยู่หรอก”
               แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะดวงดีจริงๆ น่ะเหรอ
               ขณะที่ข้ากำลังคิดเช่นนั้นอยู่นั่นเอง
               พลันได้ยินเสียงพูดคุยกันของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เดินผ่านด้านหลังของพวกเราพอดี
               “ได้ไปฮันนีมูนถึงตะวันออก ข้ารู้สึกเหมือนฝันเลย”
               “โชคดีที่พวกเราหาตั๋วขึ้นเรือสำราญได้เนอะ?”
               ฮันนีมูน
               ข้าตระหนักได้ทันทีที่ได้ยินคำคำนั้น
               “เฟเรส หรือว่านี่…”
               “เป็นผลงานของหัวหน้ากลุ่มการค้าเพลเลสหรือเปล่านะ”
               ว่าแล้วเชียว เฟเรสก็สังเกตได้เหมือนกัน
               หลังจากลอบพิจารณารอบข้าง ข้าก็พูดขึ้นเสียงเบา
               “อือ ดูเหมือนถูกรางวัลอีเว้นท์จะเป็นของขวัญจากไวโอเล็ตนะ”
               ทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากันเพราะงานของร้านค้าเพลเลสเป็นครั้งคราว ไวโอเล็ตจะเป็นคนที่ให้ความสนใจกับงานแต่งงานของข้ากับเฟเรสมากเป็นพิเศษ
               และเป็นคนที่รู้สึกเสียดายยิ่งกว่าข้าเสียอีก เมื่อรู้ว่าข้ากับเฟเรสไม่สามารถไปฮันนีมูนได้เพราะหน้าที่การงาน
               “บางทีนี่อาจเป็นความตั้งใจของไวโอเล็ต ที่อย่างน้อยก็อยากให้พวกเราสนุกกับการฮันนีมูนปลอมๆ ได้อย่างเต็มที่”
               แต่อย่างไรก็ตาม การจัดเตรียมให้อย่างเปิดเผยก็มีความเสี่ยงที่ตัวตนจะถูกเปิดโปง ดังนั้นนางจึงมอบห้องพิเศษให้ข้าและเฟเรสในรูปแบบนี้แทน
               “พอกลับไปข้าต้องส่งของขวัญไปให้หัวหน้ากลุ่มการค้าเสียหน่อย”
               “ต้องขนาดนั้นเลยเหรอ”
               ถึงปากจะพูดเช่นนั้น แต่ข้าก็ตั้งใจว่าเมื่อกลับไปลอมบาร์เดียแล้วจะต้องกล่าวขอบคุณไวโอเล็ตเป็นพิเศษเช่นกัน
               ประหลาดใจกับโชคดีอันน่าเคลือบแคลงครู่หนึ่ง ในที่สุดพวกเราก็มีเวลากวาดตามองรอบด้าน
               “คึกคักจังแฮะ”
               บนเรือสำราญขนาดใหญ่จอแจไปด้วยผู้คน
               ผู้คนที่กำลังขนของขึ้นลง ผู้คนที่มาส่งใครบางคน และผู้คนที่กำลังจะจากไป
               ทุกคนต่างมารวมตัวกันในสถานที่เดียวกันและเคลื่อนไหวกันอย่างยุ่งวุ่นวาย
               “ลมเย็นดีจัง” กระทั่งอากาศที่พัดมา ก็ดูเหมือนจะเบาสบายไม่แพ้ผู้คนที่ตื่นเต้นเหล่านั้น
               อาจเพราะได้ดื่มด่ำกับสายลมชุ่มฉ่ำอย่างเต็มที่
               หัวใจของข้าจึงเริ่มเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน
***
               “นี่คือห้องพิเศษค่ะ”
               พนักงานกล่าวขณะที่เปิดประตูให้พวกเรา
               “โอ้” ไม่แย่เลย
               ไม่สิ วิเศษไปเลยละ
               แม้จะกล่าวว่านี่คือเรือสำราญขนาดใหญ่ แต่ข้าก็เคยนึกสงสัยว่าห้องพักบนเรือจะใหญ่ได้สักเท่าไรกันเชียว
               “หน้าต่างก็บานใหญ่นะเนี่ย”
               แสงแดดอบอุ่นส่องเข้ามาอย่างเต็มที่ผ่านหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ด้านหนึ่งของห้องรับแขกซึ่งเป็นห้องนั่งเล่นในตัว
               เนื่องจากเป็นห้องพิเศษซึ่งอยู่สูงที่สุด ทัศนียภาพที่สามารถมองเห็นได้ก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน
               จนข้าถึงกับรอคอยทิวทัศน์ที่จะได้เห็นผ่านหน้าต่างบานนี้เมื่อเรือออกเดินทางแล้ว
               ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่ประดับอยู่ภายในห้อง มองปราดเดียวก็ยังรู้ได้ว่าเป็นของคุณภาพชั้นเลิศ
               ‘ดีมาก พอใจที่สุด’
               ในฐานะลูกค้าที่ได้พักผ่อนในห้องพิเศษโดยไม่ทันตั้งตัว และในฐานะเจ้าของกิจการเรือสำราญนี้ นี่ถือเป็นภาพที่ทำให้ข้าพึงพอใจอย่างยิ่ง
               “ขอให้เป็นการท่องเที่ยวที่มีความสุขนะคะ”
               หลังจากกล่าวลาอย่างนอบน้อม พนักงานก็เดินออกจากห้องพักไป
               ข้าเอามือไพล่หลังและค่อยๆ กวาดตาชมห้องพักต่อไป
               “ทั้งห้องนอน ทั้งห้องน้ำอยู่แยกกันหมดเลยแฮะ?”
               ข้ามองดูห้องนอนและห้องน้ำที่ประตูถูกเปิดกว้างไว้เพื่อรับแขก ซึ่งอยู่ทั้งสองข้างของห้องนั่งเล่น
               ข้าเมินห้องน้ำที่ปูด้วยหินอ่อนอย่างหรูหรา แล้วมองเข้าไปด้านในห้องนอนเงียบๆ
               ‘เตียงนอนหลังเดียวจริงๆ เสียด้วย’
               นั่นสินะ จะมีสองเตียงได้ยังไง
               ข้าข่มอาการอยากถอนหายใจลงไปพลางจ้องเฟเรส
               หลังวางกระเป๋าสัมภาระที่ถือมาด้วยตนเองแม้พนักงานจะเอ่ยปากขอช่วยลงที่มุมหนึ่งของห้องพัก เฟเรสก็กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
               แสงแดดที่เจิดจ้าของชายหาดทำให้ผมสีทองที่ย้อมมาดูคล้ายกับสีเงิน นัยน์ตาสีแดงที่หลุบมองท่าเรือสุกสกาวราวกับเม็ดทับทิมใส
               โอ๊ย หล่อจัง
               ไม่ใช่เพราะเขาคือผู้ชายของข้า แต่รูปลักษณ์ของเฟเรสนั้น ต่อให้มองในทางรูปธรรมก็ยังไม่ดูสมจริงอยู่ดี
               เพราะขนาดข้ามองด้วยตาทั้งคู่ตนเองก็ยังรู้สึกเหมือนมองภาพวาดอยู่เลยนี่นะ
               ข้าดื่มด่ำกับภาพนั้นอยู่สักพัก ก่อนเบนสายตากลับมายังเตียงนอนอีกครั้ง
               เป็นเตียงขนาดใหญ่ที่ผู้ใหญ่ถึงสี่คนสามารถนอนได้
               ผ้าปูเตียงสีขาวที่ทอด้วยผ้าไหมดูนุ่มเสียจนทำให้อยากทิ้งตัวลงไปเดี๋ยวนี้
               แต่ว่านั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
               ‘ใช่แล้ว คืนนี้ละ!’
               หลังจากคืนวันนั้นที่เมาเหล้าจนเกิดเรื่องน่าหวาดเสียวขึ้น บรรยากาศระหว่างพวกเราก็กระอักกระอ่วนไปช่วงหนึ่ง
               ถึงแม้จะผ่านไปสองสามวัน พวกเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไปตามธรรมชาติก็เถอะ
               แต่ข้าก็ยังอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องในคืนวันนั้นขึ้นมา
               จริงอยู่ที่ข้ารู้สึกเสียดาย แต่เหนือสิ่งอื่นใด ภาพของเฟเรสที่ยิ้มออกมาอย่างลำบากใจให้ข้ากลับผุดขึ้นมาอยู่ตลอด
               ข้ามองเงาภาพด้านหลังของเฟเรสสลับกับเตียงนอนอีกหลายครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย
               ‘มัวลังเลอะไรอยู่อีกล่ะ’
               คู่หมั้นของข้าหน้าตาดีถึงเพียงนั้นแท้ๆ
               การเอาแต่สังเกตแล้วมัวแต่สองจิตสองใจมันไม่เหมือนตัวข้าเลย
               พอดีกับที่ไวโอเล็ตก็สร้างบรรยากาศดีๆ แบบนี้ให้แล้ว
               “เฟเรส”
               “อือ เทีย”
               เฟเรสหันกลับมาตอบรับทันทีเมื่อได้ยินข้าเรียก
               พอเห็นรอยยิ้มอบอุ่นที่แต้มอยู่บนใบหน้าที่ราวกับรูปปั้นแกะสลักนั้น ข้าก็เผลอออกแรงกำมือทั้งสองข้างโดยไม่รู้ตัว
               คืนวันนี้แหละ คืนนี้
               ข้ากำชับความตั้งใจพลางใส่หมวกปีกกว้างที่ถืออยู่ในมือ
               “พวกเราขึ้นไปชมวิวบนดาดฟ้ากันไหม”
               เริ่มสร้างบรรยากาศโรแมนติกกันตั้งแต่บัดนี้เลย
               บนดาดฟ้าที่ลมพัดเย็นสบาย มีคนจำนวนหนึ่งขึ้นมาอยู่ก่อนแล้ว
               ส่วนใหญ่เป็นคู่รักที่มาฮันนีมูนแบบพวกเราซึ่งยืนอยู่เป็นคู่ด้วยสีหน้ามีความสุข
               “ไปตรงนั้นกันเถอะ” ข้ากับเฟเรสมองหาที่ว่าง ก่อนเดินไปยืนตรงหน้าราวกั้นของดาดฟ้า
               ตอนนั้นเอง
               บูนนน!
               เสียงฮอร์นดังขึ้นยาวๆ พร้อมกับที่เรือค่อยๆ ออกเดินทาง
               “ก็คิดอยู่ว่าทำไมคนถึงออกมากันเยอะ ที่แท้ถึงเวลาที่เรือจะออกจากท่าแล้วนี่เอง!”
               คนที่ตื่นเต้นไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น
               “ออกเดินทางแล้ว!”
               “เรือที่ใหญ่ถึงเพียงนี้กำลังขยับอยู่จริงด้วย!”
               ผู้คนรอบข้างต่างก็ส่งเสียงร้องประหลาดใจและโห่ร้องยินดีขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน
               ข้ายืนพิงราวกั้นเบาๆ แล้วมองลงไปเบื้องล่าง
               คนที่อยู่บนท่าเรือกำลังโบกมือให้พวกเรา
               เป็นการอธิษฐานขอให้เรือล่องไปอย่างราบรื่นและไปถึงภาคตะวันออกโดยสวัสดิภาพ
               “อ๊ะ คนพวกนั้น”
               ท่ามกลางคนเหล่านั้น ข้ามองเห็นพนักงานสองคนที่แจ้งให้ทราบว่าข้าถูกรางวัลอีเว้นท์เมื่อครู่ก่อน
               อาจเพราะมองข้าอยู่ตลอด สายตาจึงสอดประสานกันทันที
               จากนั้นทั้งสองคนก็ค่อยๆ ค้อมตัวลงเป็นการกล่าวล่า
               “รู้อยู่แล้วจริงด้วย” บางทีสองคนนั้นคงจะรู้อยู่แต่แรกว่าข้าเป็นใคร
               ข้าโบกมือให้พวกเขาเบาๆ ด้วยความขอบคุณ
               ในช่วงระหว่างนั้น พื้นชายฝั่งก็เริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ
               เรือสำราญเริ่มเคลื่อนที่ไปตามกระแสน้ำด้วยความเร็วสมกับขนาดที่ใหญ่ของมัน
               สองฝั่งของแม่น้ำเริ่มมีคนน้อยลงเรื่อยๆ และโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัววิวทิวทัศน์สีเขียวขจีของภูเขาและทุ่งนาก็ทอดยาวออกไปแล้ว
               “อ่า สวยจัง”
               เหนือผิวน้ำที่ตกกระทบกับแสงอาทิตย์เป็นประกายระยิบระยับราวกับถูกโปรยด้วยอัญมณี
               “ดูประกายพวกนั้นสิเฟเรส” ข้าหันกลับไปมองเฟเรส แล้วเอ่ยถามว่า “สวยมากเลยเนอะ”
               เฟเรสมองตามไปยังทิศทางที่นิ้วมือของข้าชี้ไปเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับมาหาข้าอีกครั้ง
               “…อือ สวย”
               เฟเรสตอบ แล้วยิ้มอย่างผ่อนคลาย
               ขณะที่ข้ากำลังจะส่งยิ้มกลับให้นั่นเอง
               สายลมกระโชกแรงที่พัดมาอย่างฉับพลันในคราวเดียวส่งผลให้หมวกที่ข้าใส่อยู่ปลิวหลุดไป
               ข้าเอื้อมมือออกไปจับหมวกที่ปลิวไปตามสัญชาตญาณ
               โชคดีที่หมวกถูกคว้าเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว แต่จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายข้าที่จับราวกั้นเอาไว้กลับซวนเซอย่างรุนแรง
 “อ๊ะ”
               ทว่าเหตุการณ์อย่างร่างกายโน้มออกไปนอกราวกั้นกลับไม่เกิดขึ้น
               มีความแข็งแกร่งโอบรอบเอวข้า ก่อนที่ด้านหลังจะสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของใครบางคน
               และก่อนที่จะตระหนักได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น น้ำเสียงทุ่มต่ำก็ดังขึ้นข้างใบหู
               “ระวังหน่อยสิ”
               ข้าตกใจยิ่งกว่าตอนที่หมวกปลิวไปเสียอีก
               พอแหงนศีรษะขึ้น ก็พบเฟเรสที่ใบหน้าหล่อเหลากำลังบึ้งตึงเล็กน้อย
               “อันตรายนะเทีย”
               รู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจของเฟเรสที่กำลังเต้นอย่างแรงผ่านแผ่นหลังที่แนบชิด
               บางทีเขาคงตกใจกลัวว่าข้าจะร่วงลงไปจากราวกั้น
               ปัญหาคือหัวใจของข้าก็เริ่มเต้นอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน
               ในระดับที่ไม่สามารถอยู่ในอ้อมกอดของเฟเรสได้อีกต่อไป
               “ขะ ขอบใจ” ข้าพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบพลางค่อยๆ ดันแผงอกของเฟเรสออกไป
               สายตาของเขาป้วนเปียนอยู่ที่มือคู่นั้นของข้าสักพัก
               “…เดี๋ยวข้าเอาหมวกไปเก็บที่ห้องให้”
               พูดจบ เฟเรสก็คว้าหมวกที่ข้ากำอยู่แล้วหมุนตัวจากไป
               ข้ายืนมองเงาด้านหลังของเขาที่ไกลออกไปอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำออกมาอย่างยากลำบาก
               “ฮู้ว ทำไมถึงตื่นเต้นขนาดนี้นะ”
               การได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเฟเรส และการได้สัมผัสกับร่างกายอันแข็งแกร่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นวันสองวันนี้สักหน่อย
               แต่ไม่รู้เป็นเพราะแผนของคืนนี้หรืออย่างไร ข้าจึงทำใจให้สงบตอนอยู่ข้างกายเขาไม่ได้เลย
               “ฟู่ว ใจเย็น ใจเย็นๆ”
               ข้าสูดหายใจเข้าลึกๆ ทบทวนแผนการในคืนนี้ทีละอย่าง
               ตอนนั้นเอง ก็พลันได้ยินเสียงขับร้องเพลงขึ้นมา
“…เจ้าที่กำลังจับมือกับข้าอยู่ที่แห่งนี้…”
               “โอ๊ะ เพลงนี้”
               เห็นได้ชัดว่าเป็นเนื้อเพลงที่คุ้นเคย
               ข้าก้าวเท้าเดินไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงเพลง
               เป็นอีกฝากของดาดฟ้า
               เดินไปได้ไม่นาน เสียงร้องเพลงก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกับที่ข้ามองเห็นชายหนุ่มที่กำลังเล่นเครื่องดนตรีและร้องเพลงไปพร้อมกัน
               รูปร่างผอมเพรียว เส้นผมยาวที่ถูกมัดเอาไว้ และรูปลักษณ์อันแสนประณีต
               “มอร์เตก้า”
               ชาติก่อน มอร์เตก้า รูเฟย์เป็นนักร้องชื่อดังที่กระทั่งคนที่ไม่มีความสนใจในดนตรีอย่างข้ายังเคยได้ยินเพลงของเขา
               มอร์เตก้าผู้นั้นกำลังร้องเพลงอยู่บนเรือสำราญที่ข้าเป็นเจ้าของเหรอเนี่ย
               ข้านั่งลง และเริ่มดื่มด่ำกับเสียงเพลงของมอร์เตก้า
“…เราลืมตาตื่นพร้อมกันยามเช้า ฝันเรื่องเดียวกันในยามค่ำคืน ให้ดอกไม้ที่ข้ามอบให้ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้า ตราบชั่วนิรันดร์”
               ช่างเป็นบทเพลงที่เหมาะกับเรือสำราญที่เต็มไปด้วยคู่รักที่เพิ่งแต่งงานจริงเชียว
               ทันทีที่เพลงจบ ผู้คนที่กำลังฟังเพลงของมอร์เตก้าก็ปรบมือขึ้นพร้อมกัน
               มีคนที่ประทับใจจนกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอยู่ด้วย
               อาจเพราะเป็นบทเพลงสุดท้าย ข้ามองเห็นผู้คนหยิบเงินหยอดใส่กล่องที่วางอยู่ด้านหน้า
               นี่คือโอกาส
               ข้าเองก็เดินเข้าไปหยอดเหรียญเงินใส่กล่องพลางเอ่ยปากพูด
               “ร้องเพราะมากเลยค่ะ”
               “อ่า ครับ ขอบคุณครั….”
               มอร์เตก้ากล่าวทักทายข้า ก่อนจะหยุดพูดไปเฉยๆ
               ใบหน้าดูเหม่อลอยอยู่บ้าง
               หรือว่าเหนื่อยจากการทำการแสดงมากไปหน่อยนะ?
               “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
               “ครับ ครับ!”
               หลังจากพยักหน้าอย่างแรง มอร์เตก้าก็โค้งคำนับพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
               “ขะ ขอบคุณที่มาฟังข้าร้องเพลงนะครับ”
               เมื่อครู่นี้ยังมองคนดูพลางร้องเพลงไปด้วยอย่างผ่อนคลายอยู่เลย
               ดูท่าในชีวิตจริงคงเป็นคนขี้อายสินะ
               ข้ายิ้มเพื่อให้มอร์เตก้ารู้สึกผ่อนคลายขึ้น ก่อนจะถาม
               “ข้าขอทราบชื่อท่านแล้วก็ชื่อเพลงที่ร้องเมื่อครู่นี้ได้ไหมคะ”
               “ดะ ได้สิครับ เพลงชื่อ  ส่วนข้าชื่อมอร์เตก้า รูเฟย์ครับ”
               เป็นเจ้าตัวจริงๆ ด้วย
               ถ้าเป็นมอร์เตก้า รูเฟย์ที่ข้ารู้จักละก็ ภายในอนาคตอีกไม่กี่ปีจากนี้เขาจะโด่งดังเป็นพลุแตก
               ซึ่งองค์กรนักเรียนทุนลอมบาร์เดียจะสามารถช่วยลดความลำบากในหลายปีก่อนนั้นได้พอดี
               “คุณมอร์เตก้าคะ”
               ขณะที่ข้ากำลังจะเอ่ยปากยื่นข้อเสนอให้ มอร์เตก้าก็เอ่ยปากขึ้นก่อน
               “ข้าก็…ขอทราบชื่อด้วยได้ไหมครับ”
               “คะ? อ๋า ชื่อของข้า ข้าชื่อ…ลาริต้า โกลอาค่ะ”
               เกือบจะหลุดพูดชื่อจริงออกไปตามความเคยชินเสียแล้ว
               แต่ว่าการตอบสนองของมอร์เตก้าดูแปลกพิกลนะ
               “อ๋า ลาริต้า….คุณลาริต้า”
               ถึงกับพึมพำชื่อที่ข้าบอกไปซ้ำๆ ด้วยสีหน้าที่เหม่อลอยกว่าเมื่อครู่อีก
               “คุณลาริต้าไปทำอะไรที่ภาคตะวันออกเหรอครับ”
               เป็นคำถามที่ไปคนละทิศคนละทางกับสิ่งที่ข้าพยายามจะพูด
               เอาสิ การสนิทกันเพิ่มขึ้นอีกหน่อยก่อนยื่นข้อเสนอให้อย่างเป็นทางการก็ไม่เลวเหมือนกัน
               “ข้าจะไปเที่ยวที่เขตแดนรูมันน่ะค่ะ”
               “มาเที่ยวนี่เองเหรอครับ! รูมันช่วงราวๆ นี้งดงามมากเชียวครับ”
               “งั้นโล่งอกไปทีนะคะ”
               หลังจากแลกเปลี่ยนบทสนทนากันไปมาแบบนั้นอีกหลายครั้ง มอร์เตก้าก็เอ่ยปากถามข้าอย่างระมัดระวัง
               “ว่าแต่มีเพื่อนร่วมทางหรือยังครับ ถ้าหากว่ามาคนเดียวละก็…”
               “อ๋า ข้าน่ะ”
               ขณะที่ข้ากำลังตั้งใจจะพูดถึงเฟเรสออกไปนั้น
               “ที่รัก” คำพูดไม่คุ้นหูดังขึ้นด้วยน้ำเสียงอันคุ้นเคย
               พอหันหลังกลับไป ก็พบเฟเรสที่กำลังเดินยิ้มมาหาข้า
               แต่กลับมีบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย
               เห็นได้ชัดว่าเขายิ้มอยู่แท้ๆ
               แต่ใบหน้านั้นดูอันตรายยังไงชอบกล
               “ที่รัก มาทำอะไรตรงนี้”
               “…อะไรนะ?”
               เมื่อกี้เขากำลังพูดว่าอะไรนะ?
               เฟเรสดึงข้าเข้าไปกอดในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมโดยไม่สนใจข้าที่กำลังมึนงง
               แล้วพูดขึ้นราวกับกระซิบ
               “ข้าตามหาเจ้าตั้งนาน ที่รัก”
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		