เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 14
SPIN-OFF บทที่ 14
ตอนนี้หูข้ายังดีอยู่ไหมนะ?
คำว่าที่รักดังออกมาจากปากของเฟเรสอย่างนั้นเหรอ?
ตอนที่ข้าฆ่าเวลาด้วยการกำหนดคำเรียกระหว่างกันบนรถม้าที่เดินทางออกจากลอมบาร์เดีย เฟเรสคือคนที่เขินจนไม่รู้จะวางตัวไว้ตรงไหนเพียงแค่ข้าเอ่ยเรียกตนเองแบบนั้นด้วยซ้ำ
ทำไมจู่ๆ ก็?
“ทะ ที่รัก?”
“อืออ”
เมื่อได้ยินข้าถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ เฟเรสก็ตอบกลับด้วยหางเสียงยานคาง
ไม่ใช่ ข้าไม่ได้เรียกเจ้าสักหน่อย!
ทั้งที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าข้าทำตัวไม่ถูก แต่เขาถึงกับลอบยิ้มแล้วกอดข้าแน่นขึ้น
“เห็นเจ้าไม่อยู่ตรงที่เดิมเมื่อกี้ ข้าเลยออกมาตามหา เป็นห่วงนะ”
“อ๊ะ? ขะ ขอโทษที ก็อยู่เฉยๆ แล้วมันเบื่อน่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ ดีแล้วละ” มือยังไม่ลังเลที่จะลูบเส้นผมกับหน้าผากของข้าด้วย
น่าสงสัย น่าสงสัยมาก
ข้าหรี่ตามองเฟเรส
ถ้าอยู่กันสองคนก็ว่าไปอย่าง แต่การสัมผัสที่เกิดขึ้นอย่างไม่ลังเลในสถานที่ที่มีคนอื่นอยู่ด้วยนี่มันอะไรกัน
ไม่เหมือนนิสัยของเขาเลย
ทำอย่างกับว่ากำลังอวดใครอยู่…
ตอนนั้นเอง สายตาของเฟเรสที่หลุบมองข้าอย่างรักใคร่ก็ขยับออกไปอย่างลื่นไหล
และปลายสายตาที่ข้ามองตามไปโดยไม่รู้ตัวนั้น ทำให้พบคำตอบของสถานการณ์ตอนนี้แล้ว
มอร์เตก้า รูเฟย์กำลังยืนเหม่อลอยด้วยสีหน้าที่ราวกับได้รับความสะเทือนใจบางอย่าง
“ว่าแต่ คุณคือ?”
เฟเรสเอ่ยปากถามมอร์เตก้า รูเฟย์ด้วยสายตาเย็นยะเยือกแปลกๆ
อาจเพราะนิสัยก็นิ่มนวลไม่แพ้รูปลักษณ์ที่ดูสุภาพ
มอร์เตก้าจึงได้แต่พะงาบปาก ไม่อาจเอ่ยวาจาตอบกลับได้โดยง่าย ทำเพียงมองสลับไปมาระหว่างข้ากับเฟเรสด้วยแววตาอันสั่นเทาเท่านั้น
ดูท่าการแสดงความรักของคู่รักที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจะทำให้เขาตกใจมากเลยละ
นั่นสินะ ก็พอจะเป็นไปได้
ขณะที่ข้าเก็บซ่อนความรู้สึกอับอายเล็กน้อยลงไปและกำลังจะแนะนำเขานั่นเอง
“คนผู้นี้คือมอร์เตก้า…”
“ขะ ขอโทษครับ! ข้าเสียมารยาทแล้ว!”
มอร์เตก้า รูเฟย์ที่ตะโกนออกมาเช่นนั้น รีบเก็บสัมภาระแล้วเดินจากไปในพริบตา
“อ่า…” หมดกัน
เกือบจะได้เอ่ยปากถึงเรื่ององค์กรทุนการศึกษาลอมบาร์เดียอยู่แล้วเชียว
เสียดาย เสียดายจัง
อุตส่าห์พยายามหลอกล่ออย่างดี
แต่ไม่นานข้าก็ยักไหล่
ไว้ค่อยส่งจดหมายไปยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการทีหลังก็ได้
ในเมื่อไม่เคยมีศิลปินคนไหนที่ปฏิเสธข้อเสนอขององค์กรลอมบาร์เดีย เพราะงั้นมอร์เตก้า รูเฟย์ก็คงจะยอมรับข้อเสนอเช่นกัน
ข้าคิดเช่นนั้นขณะจ้องเงาด้านหลังของมอร์เตก้า รูเฟย์ที่ปะปนอยู่ท่ามกลางผู้คน
“ทำไม?”
จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงสัมผัสมืออันนุ่มนวลที่มาลูบแก้มของข้า
พอหันไปตามมือก็ประสานสายตากับเฟเรสเข้า
เป็นสายตาที่ดูดื้อรั้นชอบกล
“อะไรเหรอ?”
“ทำไม…ถึงได้เอาแต่มองคนผู้นั้น?”
“อืมม เสียดายน่ะสิ”
คงเพราะข้าไม่ได้เป็นหลานสาวของท่านปู่โดยเปล่าประโยชน์
ทุกครั้งที่เจอคนมีความความสามารถ ข้าก็พบว่าตัวเองอยากแปะป้ายชื่อลอมบาร์เดียบนตัวพวกเขาจนกระวนกระวายใจไปหมด
“…เสียดาย?”
“อือ ยังไงก็เสียดาย”
แม้จะยังเป็นได้เพียงนักร้องที่ร้องเพลงอยู่บนเรือ แต่เพลง ที่มอร์เตก้า รูเฟย์ร้องเมื่อครู่นี้ คือเพลงที่จะทำให้เขาได้เกิดใหม่อีกครั้งในฐานะนักร้องที่โด่งดังเป็นพลุแตก
อีกทั้งยังกลายเป็นเพลงโปรดที่ชายหนุ่มในอาณาจักรหลายคนใช้ในการขอแต่งงานด้วย
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องอีกหลายปีหลังจากนั้น
แต่ข้าอธิบายให้เฟเรสฟังแบบนั้นไม่ได้นี่นา
“บทเพลงดีมากน่ะ เสียงร้องก็เหมือนกัน”
“…เสียง”
“มันไพเราะก็จริง ต้องเรียกว่าเป็นเสียงที่ทำให้ต้องเงี่ยหูฟังโดยอัตโนมัติไหมนะ เป็นนักร้องที่มีพลังแบบนั้นน่ะ”
นี่ไม่ใช่คำพูดที่ข้าพูดขึ้นมาอย่างส่งเดช
เพราะอันที่จริง มอร์เตก้า รูเฟย์ในชาติก่อนก็ได้รับความนิยมเพราะน้ำเสียงและเสียงที่ทรงพลังนี่นะ
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของเฟเรสค่อนข้างแปลก
“ข้าก็เสียงดีเหมือนกันนะ”
เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ดูแง่งอนยังไงชอบกล
“เอ๋? แน่นอนสิ”
เทียบกับเสียงที่ไพเราะแบบมอร์เตก้า รูเฟย์ รสนิยมส่วนตัวของข้ากลับเป็นเสียงทุ้มต่ำอย่างเฟเรสมากกว่า
“แต่ว่ามอร์เตก้า รูเฟย์เป็นนักร้องนะ ถ้าเขาได้รับการสนับสนุนจากองค์กรลอมบาร์เดียก็น่าจะยิ่งกลายเป็น…”
เดี๋ยวก่อนนะ
ข้าหยุดพูด แล้วเงยหน้ามองเฟเรส
เขายังคงมองไปยังทิศทางที่มอร์เตก้า รูเฟย์หายไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ไม่สิ จ้องเขม็งต่างหาก
หรือว่านี่
“เฟเรส”
ข้าจับชายเสื้อของเขาแล้วกระตุกดึง
ตอนนั้นเอง เจ้าองนัยน์ตาสีแดงถึงได้หันมามองข้า
“เมื่อกี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“…เอ๋?”
ดูนี่สิ
ถึงตอนนี้จะพยายามแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ในแววตาเจ้าน่ะเกิดแผ่นดินไหวแล้วนะ
ข้ามองติ่งหูของเฟเรสที่แดงขึ้นเรื่อยๆ แล้วโน้มตัวเข้าไปหาเขาเล็กน้อย
จากนั้นกล่าวขึ้นเสียงเบา
“ที่รัก”
ชะงัก
แผงอกของเฟเรสที่สวมกอดข้าอยู่ขยับขึ้นเบาๆ
“ใช่ไหม? เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าที่รักนี่”
เฟเรสลังเลครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าออกมาในที่สุด
สีแดงลามขึ้นมาถึงคอแล้ว
อ๊ะ จะหัวเราะไม่ได้ ข้าพยายามกดมุมปากที่กำลังจะยกขึ้นอย่างสุดชีวิต แล้วถามว่า
“ไม่ใช่ว่าจะไม่ใช้คำเรียกนั้นหรอกเหรอ?”
“…ลองคิดอีกที ข้ารู้สึกว่าจำเป็นต้องแสดงละครให้มีความน่าเชื่อมากขึ้น หากจะรักษาฐานะปลอมของพวกเราน่ะ”
“อ๋าอ๋า เป็นเพราะฐานะปลอมสินะ?”
“…”
“หรือว่า เจ้าหึงเหรอ?”
ร่างกายของเขาพลันกระตุกเกร็งอีกรอบหนึ่ง
อ่า ทนไม่ไหวแล้ว
“อุ๊บ”
สุดท้ายเสียงหัวเราะก็หลุดลอดผ่านริมฝีปากออกมาจนได้
ทันใดนั้น ใบหูของเฟเรสก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นแดงก่ำมากขึ้น
อ่า ปล่อยไว้แบบนี้เดี๋ยวได้งอนแน่ๆ
“เดี๋ยวสิ อะแฮ่ม ทำไมล่ะ? หึงทำไม”
ข้าตบแผงอกเฟเรสพลางกล่าวต่อราวกับปลอบโยน
“ก็แค่คุยกันเฉยๆ เดี๋ยวเดียวเองนี่”
แม้จะรู้จักกันมานานมาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงอาการหึงหวงอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้
“นั่นน่ะ” เฟเรสที่ปิดปากแน่นสนิทไปสักพัก เอ่ยปากตอบอย่างยืดยาด “ก็คนผู้นั้นมองเจ้าด้วยดวงตาแบบนั้นนี่”
“ดวงตาแบบนั้นเหรอ?”
“ดวงตาที่ละสายตาออกไปไม่ได้เพราะเจ้าเปล่งประกายเกินไป”
น้ำเสียงที่กล่าวดูหนักหน่วงต่างจากประโยคอันแสนหวานล้ำ
ข้าสัมผัสได้ว่าท่อนแขนที่โอบเอวข้าอยู่ออกแรงรัดแน่นขึ้นเล็กน้อย
ราวกับหวาดกลัวว่าข้าจะถูกช่วงชิงไป
“เอ่อ อ่า” คราวนี้กลายเป็นข้าที่ทำตัวไม่ถูกเพราะคำพูดที่คาดไม่ถึงมาก่อน
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ” ข้ายิ้มอย่างตั้งใจและกล่าวอย่างผ่อนคลาย
“อีกอย่างเจ้ามองอยู่ห่างๆ แค่ครู่เดียวเอง จะรู้ได้ยังไง”
“รู้สิ” เฟเรสตอบกลับอย่างเฉียบขาด “เพราะข้าก็เป็นเช่นนั้น”
นิ้วมือแข็งกระด้างถูคางของข้าเบาๆ
“วันที่พบเจ้าเป็นครั้งแรกในป่า ข้าก็เป็นเช่นนั้น”
ราวกับหวนคิดถึงวันนั้น ความอบอุ่นพลันกระจายไปทั่วดวงตาที่เคร่งขรึมของเฟเรส
พร้อมกับรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
เป็นสีหน้าที่ทำให้รู้สึกเหมือนเวลาหมุนย้อนกลับไปในชั่วพริบตา จนคล้ายกำลังได้ยินเสียงลมพัดในป่าเขียวขจี
เป็นเรื่องแล้ว
หัวใจข้าเริ่มเต้นแรงกว่าตอนที่เฟเรสจับหมวกให้เมื่อครู่ก่อนเสียอีก
“เพราะงั้นก็เลยหึงเหรอ?”
เพราะอยากคลายความประหม่า ข้าจึงโพล่งออกไปเพื่อหยอกเย้าเฟเรส
ทว่า
“อือ”
คราวนี้กลายเป็นข้าที่ทำตัวไม่ถูก
แม้ติ่งหูยังคงแดงอยู่ แต่เฟเรสจ้องมาที่ข้าด้วยแววตาที่ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย พลางกล่าวว่า
“เพราะงั้นข้าจึงหึง คนที่มองเจ้าแบบนั้นมีข้าแค่คนเดียวก็เพียงพอ”
ยังมากไปด้วยซ้ำ
เฟเรสพึมพำคำที่ข้าไม่ค่อยเข้าใจหมายความต่อสั้นๆ
“แล้วก็เทีย”
นิ้วมือที่เคยถูอยู่ตรงคางเลื่อนมาอยู่บนริมฝีปากของข้าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
ปลายนิ้วที่หยาบกร้านเล็กน้อยถูลงบนเนื้อส่วนที่บอบบางราวกับบดขยี้มัน
นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสที่ไม่รู้ว่ามองเห็นสิ่งใดพลันมืดลง
“ข้าน่ะ ขี้หวงมากกว่าที่เจ้าคิดนะ”
“เอ๋…?”
“และข้าก็เป็นผู้ชายที่ใจแคบกว่าที่เจ้าคิด”
“ยะ อย่างนั้นเหรอ?”
“แต่ถึงอย่างนั้น” เขาดึงมือของข้าไปแล้วจุมพิตลงบนนั้น พลางกล่าวว่า
“แต่ถึงอย่างนั้นก็ห้ามทอดทิ้งข้านะ”
“อึ้บ!”
ริมฝีปากไล้โลมอยู่บนผิวหนังบางๆ ที่หลังมือ
สัมผัสนั้นทำให้ข้าพยายามดึงมือออกด้วยความตกใจ แต่เฟเรสกลับฉวยโอกาสนั้นกอบกุมมือของข้าไว้แน่นขึ้น
“นี่เดี๋ยวก่อน…” กะว่าจะขอให้ปล่อยสักหน่อย แต่การกระทำต่อมาของเฟเรสปิดปากข้าไว้เสียสนิท
“สัญญานะ” เขาถูแก้มบนหลังมือของข้า “ว่าจะไม่ทอดทิ้งข้า”
ราวกับสัตว์ตัวใหญ่ที่กำลังต้องการความรักจากเจ้าของ
“เจ้า เจ้า จริงๆ เลย…!”
ไปเรียนลูกอ้อนอันตรายๆ แบบนี้มาจากที่ไหน!
แม้จะอยากโวยออกไปว่าเป็นสหายเหล่านั้นจากอคาเดมี่อีกแล้วใช่หรือไม่ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้
หากเป็นคนที่ยังมีจิตใจสมบูรณ์ดีละก็ เมื่อเห็นนัยน์ตาสีแดงคู่นั้นที่ทอดมองมานิ่งๆ และหางตาที่ตกลงอย่างเศร้าสร้อยก็คงไม่มีทางโกรธออกมาได้หรอก
“ต่อให้เจ้าขอให้ปล่อย ข้าก็ไม่ปล่อยอยู่ดี” ข้าดึงมือของเฟเรสขึ้นมาพลางกล่าว “เข้าใจไหม? ไปกินมื้อเย็นกันเถอะ ที่เจ้าพูดอะไรไร้สาระก็เพราะหิวยังไงล่ะ”
ทันทีที่ข้าเริ่มเดินนำหน้า เฟเรสที่ถูกฉุดลากก็ตามมาอย่างว่าง่าย
เขาเป็นเช่นนี้เสมอ
แม้จะครอบครองพลังที่ทำให้ใครก็ตามก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ แต่เขาไม่เคยต่อต้านแรงดึงของข้าแม้แต่ครั้งเดียว
แบบนี้จะทิ้งลงได้ยังไง
“เฟเรส”
“หือ เทีย”
“ห้ามพูดอะไรแปลกๆ แบบนั้นอีกนะ ต่อให้เจ้าทอดทิ้งข้า ข้าก็ไม่เคยคิดจะทิ้งเจ้า”
“…” เฟเรสไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น
คงไม่ได้ร้องไห้อยู่หรอกนะ
พอหันกลับไปมองความกังวลที่ผุดขึ้นมา น่าตกใจที่ข้าพบว่าเขากำลังยิ้ม
ดวงตาทั้งสองข้างเป็นเส้นโค้ง ริมฝีปากสีแดงคลี่ออกราวดอกไม้บาน
สีหน้านั้นบ่งบอกว่าดีใจมากเหลือเกิน
เฟเรสค่อยๆ สอดประสานนิ้วมือเข้ามาในมือที่กุมกันไว้แล้วจับอย่างแนบแน่นพลางพยักหน้า
“ใช่แล้ว ต่อให้เจ้าทอดทิ้ง ข้าก็จะไม่ทิ้งเจ้า”
ไม่สิ บางทีอาจจะเป็นสีหน้าที่ปลอดโปร่งราวกับหาคำตอบเจอแล้วก็ได้
ข้าจ้องเขาที่เป็นเช่นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเร่งอีกครั้ง
“ตกลงตามนั้น รีบไปกินข้าวกันเถอะ เราต้องได้ครอบครองทำเลที่ดีที่สุดในการดูดอกไม้ไฟที่จะจุดขึ้นหลังมื้อเย็นสิ”
ฮ่าฮ่า
เสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจของเฟเรส ดังตามฝีเท้าของข้ามาติดๆ
***
อาหารเย็นมื้อแรกบนเรือวิเศษมาก
เป็นมื้อเย็นที่สมบูรณ์พร้อมสรรพด้วยอาหารทางใต้ที่มีรสชาติแสนกลมกล่อม เสิร์ฟคู่กับอาหารรสหวานอมเปรี้ยวของทางตะวันออก
หลังจากกินอาหารเสร็จ พวกเราก็ขึ้นไปที่ดาดฟ้า
“ทางท้ายเรือทำเลดีกว่าหัวเรือนะ เรื่องนี้พ่อกับเครย์ลีบันพูดย้ำข้ามาไม่รู้ตั้งกี่รอบ”
“ดูเหมือนปกติคนส่วนใหญ่น่าจะไปรวมตัวกันที่หัวเรือที่มีขนาดใหญ่กว่า”
“เพราะงั้นท้ายเรือถึงได้ยิ่งทำเลดียังไงล่ะ!”
ขณะที่พวกเราพูดคุยกัน และมาถึงท้ายเรืออย่างผ่อนคลายนั่นเอง
อีกฝากของราวกั้นเรือที่สายตาเลื่อนผ่านไปมองโดยไม่ตั้งใจมีบางอย่าง
“เอ๋?”
เรือลำหนึ่งแล่นผ่านแม่น้ำอันมืดมิดเข้ามาใกล้เรือสำราญอย่างเงียบๆ
ความเร็วของเรือที่ไม่ได้เปิดไฟและปะปนเข้ามาท่ามกลางความมืดนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
หมายความว่ามันไม่ใช่เรือประมงทั่วไป
“นั่น…คือเรืออะไรน่ะ?”
หลังจากคนอื่นๆ นอกจากพวกเราที่ออกมาอยู่ตรงท้ายเรือเริ่มเห็นเรือลำนั้นกันทีละคนสองคน ความชุลมุนก็เริ่มขึ้น
แม้จะมีขนาดเล็กกว่ามาก แต่แรงที่พุ่งมาด้านข้างเรือสำราญอย่างรวดเร็วนั้น ห่างไกลจากความเปป็นมิตร
และในชั่วขณะหนึ่ง บนเรือนั้นก็พลันจุดไฟขึ้นอย่างสว่างไสว
สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือทหารของเซอเชาว์ที่นั่งกันอยู่เต็มเรือ
ทหารคนหนึ่งที่ยืนเป็นผู้นำท่ามกลางคนเหล่านั้นอยู่ตรงหัวเรือตะเบ็งขึ้นมาเสียงดัง
“หยุดเรือเสีย! จากนี้ไปจะมีการตรวจค้นตามคำสั่งของท่านเจ้าตระกูลชานตั้น เซอเชาว์!”