เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 16
SPIN-OFF บทที่ 16
“เจ้า เจ้า…”
เหมือนกับที่ข้าจำอีเดน ครูสได้ในครั้งเดียว เขาเองก็มองทะลุตัวตนของข้าที่เปลี่ยนสีผมได้ในทันที
“เจ้า นางแพศยา….!”
ทั่วทั้งร่างพลันขยับไม่ออกราวกับแข็งทื่อไปแล้ว
ใจจริงข้าอยากหลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเฟเรสเหมือนเดิม แต่มันกลับไม่เป็นไปดั่งใจ
โดยไม่รู้ตัว ทหารสองสามคนของเซอเชาว์ก็ปีนขึ้นไปบนหลังของอีเดน ครูสและกำลังพยายามมัดมือกับเท้าของเขาด้วยเชือกเกลียว
แต่ราวกับไม่สนใจกระทั่งสิ่งเหล่านั้น สายตาที่คล้ายดั่งกำลังเผาไหม้ทำเพียงมองมาที่ข้า
“หึ หึ….” จากนั้นอีเดน ครูสก็เริ่มหัวเราะ
เฉกเช่นคนที่สูญเสียทุกสิ่งได้เห็นแสงสว่างสายหนึ่งที่ยื่นมาตรงหน้า
มุมปากทั้งสองข้างฉีกเป็นเส้นตรงแล้วยกขึ้น เส้นเลือดสีเขียวเข้มปูดขึ้นบนหน้าผาก
“หึ หึหึ”
เหล่าทหารขมวดคิ้วเมื่อจู่ๆ ผู้ต้องหาก็เริ่มหัวเราะขึ้นมา
“คนผู้นี้เป็นอะไร?”
“ไม่รู้ คงคิดว่าทุกอย่างจบสิ้นจนเสียสติไปแล้วมั้ง เอ๋ ตรงนี้มัด..”
“ว้ากกก!” เสียงร้องประหลาดของอีเดน ครูสดังขึ้นพร้อมกับที่เขาบิดตัวไปมาแล้วลุกขึ้น
เชือกที่เคยมัดมือและเท้าของอีเดน ครูสจนถึงเมื่อครู่ก่อนขาดสะบั้นอย่างไร้ประโยชน์ เหล่าทหารที่ล้อมรอบเขาอยู่กระเด็นออกไปราวกับใบไม้ร่วง
อีเดน ครูสที่ร่างกายเป็นอิสระคลานสี่ขาพุ่งมาทางข้า
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เขาร้องโหยหวนอย่างอัดอั้นตันใจพร้อมกับยื่นสองมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลเข้ามาหาข้า
ราวกับในเมื่อไร้ซึ่งอาวุธ ก็ขอใช้สองมือเปล่านั้นบีบคอข้าให้สิ้น
แต่กระนั้นร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยเพราะต้องหลบซ่อนตัวเป็นเวลานานก็ไม่มีทางสมบูรณ์
จนถึงขั้นที่ว่าประสบการณ์ล้ำเลิศเมื่อครั้งเป็นหัวหน้ากองกำลังอัศวินของอังเกนัสเป็นเรื่องน่าอาย
มีเพียงความป่าเถื่อนที่ต้องการจะฆ่าข้าให้ตายที่เข้ามาใกล้เท่านั้น
“กล้าหรือ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับที่เฟเรสขยับกาย
เขายื่นมือออกไปดึงดาบของทหารที่มาตรวจสอบบัตรประจำตัวอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วควงครั้งหนึ่งในมือราวกับเป็นดาบของตนเอง
จากนั้นเขาก็ลากมันขึ้นด้านบนคล้ายกับแกว่งดาบ
ไม่สิ เหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น
เพราะสิ่งที่ข้าสามารถมองเห็นในชั่วขณะนั้นมีแค่มือใหญ่ของเฟเรสที่บดบังดวงตาของข้าอยู่
“อ้ากกก!” เสียงกรีดร้องของอีเดน ครูสคล้ายดังขึ้นจากที่ที่ไกลแสนไกล
ไม่นาน เสียงวิ่งกรูกันมาของทหารที่กำลังมองสถานการณ์อย่างเหม่อลอยก็ดังปะปนขึ้นมากับเสียงตะโกนอันน่าขนลุกที่เกิดจากพลังเฮือกสุดท้าย
“อีนางแพศยา! ข้าจะฆ่านางแพศยา…! ปล่อย!”
แต่ในชั่วขณะหนึ่ง แม้แต่เสียงนั้นก็เบาลง
เคร้ง
เฟเรสโยนดาบที่ถืออยู่ลงพื้นอย่างไม่แยแส แล้วมายืนตรงหน้าข้า
จากนั้นก็ใช้มือของเขาปิดรอบหูของข้าไว้
เสียงร้องโหยหวนของอีเดน ครูสเบาลงแล้ว
ความวุ่นวายบนดาดฟ้าก็ไกลออกไปแล้ว
อุณหภูมิที่สัมผัสอยู่ข้างหูและนัยน์ตาสีแดงของเฟเรสได้ปกป้องโลกของข้าไว้จวบจนทุกอย่างคลี่คลาย
ในปากของอีเดน ครูสที่ถูกมัดมือมัดเท้าอย่างแน่นหนาถูกยัดผ้าเอาไว้
เฟเรสหลุบตามองภาพผู้ปราชัยที่กำลังกลิ้งไปมาอยู่แทบเท้าด้วยสายตาเมินเฉย
สภาพที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเพราะเส้นเอ็นข้อเท้าถูกตัดขาดเลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง
“อึ้บ! อืออืออึ้บ!”
แม้จะเป็นเช่นนั้น หัวหน้ากองกำลังอัศวินในอดีตของอังเกนัสก็กำลังใช้พลังทั้งชีวิตกรีดร้องอะไรบางอย่างอยู่เหมือนเดิม แต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจรับฟังสิ่งนั้นเลย
ปลาที่หลุดออกจากแหตัวสุดท้ายของอังเกนัส
สุนัขรับใช้ของจักรพรรดินีที่ทำหลุดลอดไปขณะจัดการอังเกนัสด้วยตนเอง
คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอคนผู้นั้นในสถานที่แบบนี้
เป็นผลสำเร็จที่มาอย่างคาดไม่ถึง
“อึ้บบ! อึ้บ!”
เฟเรสที่เฝ้ามองอีเดน ครูสบิดตัวไปมาราวกับแมลง ลอบพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของทหารเซอเชาว์
หลังจากจับตัวผู้ต้องหาได้อย่างกะทันหัน พวกเขาก็วุ่นกับการข้ามกลับไปยังเรือรบจนเหงื่อไหลไคลย้อยด้วยสีหน้าตื่นเต้นเมื่อคิดถึงเงินรางวัล
“เป็นธรรมเนียมของอังเกนัสอย่างนั้นเหรอ”
เฟเรสโน้มตัวไปทางอีเดน ครูสเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“การไร้ซึ่งความอดทน”
ไม่ว่าจะจักรพรรดินี หรือเจ้าตระกูลอังเกนัส พวกเขาต่างก็ทำลายเรื่องต่างๆ ในรูปแบบนี้
“สาเหตุที่เจ้าขึ้นมาบนเรือสำราญที่มุ่งหน้าไปตะวันออกทั้งที่ถูกตามจับอยู่ คงเพราะเพ่งเล็งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียสินะ”
เรื่องที่ทุกคนในตระกูลลอมบาร์เดียจะไปร่วมงานแต่งงานของลาลาเน่เป็นเรื่องที่ทราบกันดีในหมู่ราษฎรของอาณาจักร
“หากเจ้ารู้จักเจียมตัว ใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อน ก็คงประคองชีวิตต่อไปเพื่อสรรเสริญอดีตจักรพรรดินีได้แล้ว”
เฟเรสยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นอย่างบิดเบี้ยว
“ช่างเป็นบั้นปลายที่สมกับเป็นอังเกนัสเสียจริง”
“แค่ก! คึก!”
ทันทีที่กล่าวถึงราวีนี่ อีเดน ครูสก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและขัดขืนต่อต้าน แต่มันเป็นเพียงการดิ้นไปมาที่ไม่มีความหมายสำหรับทุกคนเท่านั้น
“ขอโทษทีนะ” ชายที่ดูเหมือนเป็นผู้รับผิดชอบในหมู่ทหารเซอเชาว์เดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยปาก
“ขอบคุณที่ช่วยจับกุมคนร้าย ไม่รู้ว่าพวกเราต้องเสียเวลาไปตั้งกี่เดือนเพราะคนผู้นี้”
“คนผู้นี้ชื่ออะไรเหรอครับ”
เฟเรสยืดตัวที่โน้มอยู่ขึ้น ก่อนเอ่ยปากถาม
“ไม่รู้สิ พวกเราไม่รู้หรอก แต่เบื้องบนก็คงรู้กันอยู่นั่นละ”
“อย่างนี้เอง”
การคาดเดาของเฟเรสถูกต้อง หากพวกเขารู้ว่าอีเดน ครูสเป็นใคร คงไม่ปล่อยให้มีแต่ทหารธรรมดามาทำการตรวจค้นแน่
“ในที่สุดก็โล่งใจได้เสียที”
หลังจากมองอีเดน ครูสพลางบ่นพึมพำด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความเกลียดชังเช่นนั้น ทหารก็เอ่ยปากถามเฟเรสอย่างระมัดระวัง
“ว่าแต่…ท่าทางควบคุมดาบของเจ้าดูชำนาญยิ่ง เจ้า…”
ดูเหมือนผู้รับผิดชอบจะมีไหวพริบมากกว่าที่คิด
เฟเรสหยิบเหรียญรางวัลเล็กๆ อันหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
สิ่งของที่มีตราประทับส่วนตัวของชานตั้น เซอเชาว์ฝังอยู่ เป็นหลักฐานว่าผู้ถือครองมันเคลื่อนไหวตามคำสั่งของเขา
“ข้ากำลังเดินทางไปตะวันออกเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ในกรณีที่อาจมีอันตราย ตามคำสั่งของท่านเจ้าตระกูลเซอเชาว์น่ะครับ”
“อ่า ว่าแล้วเชียว!” ดวงตาทั้งสองข้างของทหารผู้รับผิดชอบที่จำเหรียญได้พลันเบิกกว้าง “ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าท่าทางคุกคามผู้ต้องหาได้ในคราวเดียวมันไม่ใช่ทั่วๆ ไปเลยครับ”
ทหารที่กระทั่งน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นนอบน้อมขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผลงานของท่าน ข้าจะต้องรายงานให้ท่านเจ้าตระกูลทราบแน่นอนครับ”
“ขอบคุณครับ” เฟเรสกล่าวเช่นนั้นพลางวางเหรียญรางวัลลงบนสองมือที่ยื่นมาหาอย่างสุภาพ
ตอนที่มันไปถึงมือชานตั้น เซอเชาว์ เรือก็คงไปถึงตะวันออกเรียบร้อยแล้ว
มันเป็นของที่เขาใช้ตอนที่เดินทางไปใต้เมื่อหลายปีก่อนและพกมาเผื่อไว้ แต่กลับได้ใช้ประโยชน์ขึ้นมา
“ถ้างั้น รบกวนส่งนักโทษให้ถึงพระราชวังโดยสวัสดิภาพด้วยนะครับ”
“ครับ! ไม่ต้องห่วงครับ!” ทหารที่ยังคงลูบคลำเหรียญรางวัลที่มีตราประทับของชานตั้น เซอเชาว์ฝังอยู่ราวกับตื่นเต้น ตอบรับด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยพลัง
เฟเรสส่งสายตาเยือกเย็นให้อีเดน ครูสเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวจากไป
เขาครุ่นคิดว่าหลังจากเดินทางกลับจากทางตะวันออกแล้วจะจัดการกับอีเดน ครูสอย่างไรดีพลางขยับฝีเท้า
ท่ามกลางฝูงชนที่เสียงดังเซ็งแซ่เพราะความวุ่นวายเมื่อครู่ก่อน และความรู้สึกคาดหวังต่อดอกไม้ไฟที่กำลังจะเริ่มขึ้น นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นพบฟีเรนเทียในทันที
ไม่ว่าเมื่อไหร่ ที่ที่เขาจะกลับไปก็คือข้างๆ นาง
เฟเรสที่กลับมาจากหลังนำตัวอีเดน ครูสส่งให้ทหารเซอเชาว์ดูค่อนข้างปลอดโปร่ง
“คนที่ชานตั้น เซอเชาว์ตามหาก็คืออีเดน ครูสนี่เอง”
ข้านี่มัน
พอนึกถึงหลายวันก่อนที่ขวัญหนีดีฝ่อเพราะกังวลว่าการเฝ้าระวังที่ตึงเครียดคือการเล็งเป้ามาที่พวกเรา ข้าก็หลุดหัวเราะหยันออกมา
“นึกว่าเขาไล่ตามมาเพราะรู้ว่าพวกเราเดินทางไปภาคตะวันออกล่วงหน้าเสี…”
ข้าพูดไม่จบคำ
เพราะเฟเรสคว้ามือทั้งสองข้างของข้าไว้
“ทำไมสั่นแบบนี้”
อืม ถูกจับได้จริงๆ ด้วย
ปลายนิ้วของข้าที่วางอยู่บนมือของเฟเรสถูกเปิดเผยอย่างหมดเปลือกว่ากำลังสั่นเทา
“ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ ด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดที่พยายามทำเหมือนไม่เป็นอะไรของข้า เฟเรสก็ขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่า
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ รวบมือทั้งสองข้างของข้าแล้วกุมไว้ด้วยกัน
ความอบอุ่นค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วมือที่เย็นเฉียบ
“จริงๆ เลย วันนี้ตั้งใจว่าจะสร้างบรรยากาศโรแมนติกสักหน่อย ใครจะไปคิดว่าอีเดน ครูสจะโผล่มาจากตรงนั้น ว่าไหม?”
“ขอโทษ” เฟเรสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลึกซึ้งแทนการตอบคำถามของข้า “ถ้าข้าเคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้สักหน่อย เจ้าก็คงไม่ต้องหวาดกลัว”
“ไม่เลย” ข้าส่ายหน้า “ถึงข้าจะกลัวอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่เพราะอีเดน ครูสหรอก”
“แล้ว?”
ข้าหลุบตามองมือแทนคำตอบ
ปลายนิ้วหยุดสั่นเทาไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“ที่ข้ากลัวก็คือสิ่งนี้”
ข้าสบตาเข้ากับนัยน์ตาสีแดงของเขาแล้วกล่าวว่า
“ข้าได้รู้แล้วว่าตัวตนของเจ้าสำคัญกับข้ามากเพียงใด”
ใครบางคนวิ่งเข้ามาและบอกว่าจะฆ่าข้า
แน่นอน มันเป็นสถานการณ์ที่สมควรจะหวาดกลัว
แต่ข้ากลับไม่ได้หวาดกลัวถึงเพียงนั้น
“แค่ความจริงที่ว่าเจ้าอยู่ข้างๆ ก็ทำให้ข้าคิดว่าทุกอย่างจะไม่เป็นอะไรแล้ว”
แปลกจริงๆ เนอะ
ข้าหลุดยิ้มออกมา
“เจ้าเป็นตัวตนแบบนั้นละ เฟเรส”
นัยต์ตาสีแดงกำลังสั่นไหวราวกับอาการสั่นเทาของข้าเมื่อครู่ก่อนโยกย้ายไป
ข้าค่อยๆ ยืดแขนออกไปกุมแก้มของเขาด้วยมือข้างหนึ่ง
“คราวก่อนเจ้าว่างั้นใช่ไหม ที่ว่าเจ้าไม่มีทางเป็นที่หนึ่งของข้า”
“เทีย เรื่องนั้น…”
“เจ้าพูดถูก”
ข้าไม่คิดที่จะปลอบโยนเฟเรสด้วยการโกหกออกไปอย่างเก้ๆ กังๆ
“ข้ามีสิ่งที่ต้องปกป้องมากมายดั่งที่เจ้าว่า ไม่ว่าจะลอมบาร์เดีย หรือคนที่ติดตามข้า”
ทว่า
“คนที่ทำให้ข้าสามารถปกป้องคนเหล่านั้นได้ก็คือเจ้า หากว่าไม่มีเจ้า ข้าคิดว่าข้าคงไม่ทำเรื่องมากมายพวกนั้น และบางทีคงไม่สามารถทำมันได้ด้วยซ้ำ”
ดังนั้น
“จากนี้และต่อๆ ไปก็ช่วยอยู่เคียงข้างข้าได้ไหม”
มันเป็นคำสารภาพที่เห็นแก่ตัวเล็กน้อย
แต่เฟเรสกลับยิ้มออกมาจนดวงตาทั้งสองข้างโค้งขึ้น ริมฝีปากสีแดงวาดเป็นเส้นโค้งที่แสนงดงาม
จากนั้นก็ถูแก้มเข้ากับมือของข้า
“ได้โปรด” เฟเรสกล่าวราวกับถอนหายใจ “ได้โปรดให้ข้าได้อยู่เคียงข้างเจ้านะ เทีย”
ปัง! ปังปัง!
ดอกไม้ไฟอันแสนตระการตาระเบิดขึ้นท่ามกลางผืนฟ้าอันมืดมิดยามค่ำคืน
แม้จะไม่ได้ยินเพราะเสียงที่ดังจนทำให้หูอื้อ แต่ข้าก็สามารถอ่านคำพูดสั้นๆ ต่อมาของเฟเรสได้อย่างชัดเจน
“ตราบจนชั่วชีวิต”
ใช่แล้ว ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
“ได้สิ ตราบจนชั่วชีวิต”
จวบจนชีวิตครั้งที่สองและชีวิตครั้งสุดท้ายนี้จะหาไม่
ปังปังปัง! ปัง! ปัง!
ทั้งการจุดดอกไม้ไฟที่เรือสำราญภูมิใจ ทั้งผู้คนที่กำลังโห่ร้องด้วยความยินดีจากการได้เห็นมัน ทุกสิ่งทุกอย่างได้ไกลออกไป กลายเป็นเสียงอื้ออึงที่แว่วมา
พวกเราทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แล้วเดินกลับห้องพักราวกับนัดกันไว้
ทีละก้าว ทีละก้าว
อย่างไม่ช้า แต่กระนั้นก็ไม่เร็วเกินไป
ขณะที่จับมือแนบแน่นและก้าวเป็นจังหวะมาด้วยกันแบบนั้น โดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว พวกเราก็อยู่หน้าประตูห้องพักที่ปิดสนิท
ทว่า ณ ที่แห่งนั้น เฟเรสกลับไม่ขยับอีกต่อไป
“เทีย ข้าน่ะ” เขาออกแรงบีบมือที่จับกันไว้แล้วกล่าวราวกับโพล่งออกมา
“ตอนนี้ถ้าเดินเข้าไปในนี้ ข้า…ข้าคงไม่อาจหยุดได้แล้ว”
นัยน์ตาสีแดงวูบไหวไปด้วยแสงจากดอกไม้ไฟที่สว่างไสวอยู่กลางฟากฟ้า
ต่อหน้าใบหน้าที่ถูกภาพเงาซึ่งเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดราวกับไฟกำลังลุกไหม้ปกคลุม การตัดสินใจของข้ามีแต่หนักแน่นมากขึ้นในทุกชั่วขณะ
“ข้ารู้”
“…รู้?”
“อือ รู้”
ว้าววว
ข้าฟังเสียงโห่ร้องที่ได้ยินจากไกลๆ พลางส่งยิ้มให้เฟเรส
“เทีย ไม่จำเป็นต้องฝืน…”
แกร็ก
เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับที่เสียงพูดของเฟเรสหยุดลง
“ข้ารู้ทุกอย่าง เฟเรส”
ข้าดันประตูเปิดเข้าไป ขณะดึงเฟเรสก้าวเดินเข้าไปในห้องอันมืดมิด