เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 20
SPIN-OFF บทที่ 20
นิ้วมือของนางชี้ไปยังทุ่งข้าวสาลีสองแห่งที่ถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง
               “เดิมทีทุ่งนาทั้งสองผืนนี้แห้งเหี่ยวจากโรคพืชไปแล้ว เมื่อไม่กี่เดือนก่อนน่ะ”
               สายตาของเฟเรสย้ายไปทางฝั่งขวา
               ต่างหากฝั่งซ้ายที่แห้งเหี่ยวอย่างสมบูรณ์ ทุ่งข้าวสาลีของฝั่งขวานั้นไม่ต่างจากทุ่งที่เขาเห็นก่อนขึ้นมาบนเนินเลย
               ข้าวสาลีที่สูงจนถึงเอวและสุกงอมเป็นสีทองอร่าม บัดนี้กำลังรอคอยการเก็บเกี่ยวเท่านั้น
               แต่ที่นั่นก็เคยได้รับความเสียหายจากโรคพืชเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ
               “นักวิชาการของลอมบาร์เดียค้นพบยารักษาแล้วก็จริงแต่ข้ายังนึกกลัวว่ามันจะสายไปหรือไม่ โชคดีที่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น”
               แม้นางจะกล่าวออกมาราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เฟเรสไม่อาจเอ่ยอะไรต่อได้เลย และลางสังหรณ์แปลกประหลาดก็สั่งให้เขาถามออกไปอย่างไม่มั่นใจ
               “เทีย หรือว่าเจ้าคิดจะบอกวิธีแก้ให้ทุกคนอย่างนั้นเหรอ”
               “อือ ต้องอย่างนั้นสิ”
               “เพราะเหตุใด?”
               สุดท้าย ความสงสัยที่ติดอยู่ในปากของเฟเรสมาตลอดก็หลุดออกไป
               “เพราะเหตุใดจึงไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้?”
               เขาไม่เข้าใจเลย
               หากเป็นเขาที่ได้ยารักษามาอยู่ในมือละก็ เขาจะต้องใช้ประโยชน์จากมันแน่
               โรคพืชอันร้ายกาจที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนหน้า รวมไปถึงฤดูหนาวที่กำลังใกล้เข้ามา
               ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกระดานที่ถูกประกอบขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ
               เป็นกระดานที่สามารถทำให้ทุกคนมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย คือ ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียผู้ครอบครองยารักษาเอาไว้ได้
               แต่เมื่อได้ยินคำถามของเฟเรส ฟีเรนเทียกลับส่งเสียง ‘อืมม’ พลางจมจ่อมอยู่กับความคิด
               คนที่มักจะยกเรื่องของเขตแดนทั่วทั้งอาณาจักรมาเป็นหัวข้อคุย และตอบคำถามได้อย่างง่ายดายมาโดยตลอด กลับกำลังเลือกคำพูดเพื่อมาตอบคำถามง่ายๆ นี้อย่างน่าขัน
               ในที่สุด ริมฝากของนางก็เปิดออก
               “เพราะสามารถทำได้น่ะสิ?”
               “สามารถ…ทำได้?”
               “อือ ข้าบอกแล้วไง ว่ามีคนจำนวนมากจะต้องตาย และข้าน่ะ สามารถขัดขวางเรื่องนั้นได้”
               เพราะสามารถทำได้ ก็เลยทำ
               เป็นคำตอบที่สมกับนางจริงๆ
               “อืมม คำอธิบายมันน้อยไปไหมนะ?”
               ฟิเรนเทียเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนที่ในไม่ช้าจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
               “ลอมบาร์เดียน่ะ จะไม่ทำลายหมากทั้งกระดานเพื่อที่จะเอาชนะเกมหนึ่งกระดานหรอกนะ”
               มองอาณาจักรที่รวมสี่ทวีปเป็นหนึ่งเดียวเป็นเพียงหมากหนึ่งตัวในกระดาน
               ย่อมเป็นคำพูดของพวกลอมบาร์เดีย
“ต่อจากกระดานนี้ไปจะไม่ต้องทำแบบนี้เพื่อเอาชนะอีกเหรอ? ถ้าเพื่อจะเอาชนะแล้วต้องล้มหมากทั้งกระดาน มันไม่เท่เอาเสียเลยน่ะ”
               “แล้วภาคใต้ล่ะ?”
               เฟเรสทนไม่ไหวและถามออกไปอย่างใจร้อน
               “เจ้าคิดจะให้ยารักษาแก่ภาคใต้ด้วยเหรอ?”
               ภาคที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดหากโรคพืชนี้ยังมีต่อไปก็คือภาคใต้
               เพราะปริมาณผลผลิตข้าวสาลีที่มาจากทุ่งราบอันกว้างใหญ่ไพศาลคืออาวุธที่แหลมคมที่สุดของตระกูลเซอเชาว์
               ทว่าเทียกลับพยักหน้าและตอบกลับทันที
               “แน่นอน”
               “…ทำไม ทำไมถึงต้องมอบยารักษาให้พวกเขาด้วย?”
               ได้ยินคำถามของเฟเรส นางก็กลอกดวงตากลมโตครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า
               “แน่นอนว่าการที่ชานตั้น เซอเชาว์กล้ามาแตะต้องลอมบาร์เดียคือความผิด อีกทั้งการที่จ้องการค้าทางตะวันออกของเชซายูตาเป็นมันยังไม่พอ ยังพยายามจะควบคุมตามอำเภอใจอีก เป็นความผิดพลาดที่ใหญ่จริงๆ เลยละ”
               แต่ว่า
               นางกล่าวต่อไป
               “ไม่มีเหตุผลที่พลเมืองในภาคใต้ต้องได้รับความเจ็บปวดเพราะความโง่เขลาของชานตั้น เซอเชาว์”
               เฉียบขาด
               ความรู้สึกที่ราวกับตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยที่กำลังถูกดุ ส่งผลให้เฟเรสจ้องฟิเรนเทียอย่างตั้งใจ
               อาจเพราะสัมผัสได้ถึงสายตานั้น นางจึงหัวเราะคิกคักออกมา
               “อีกอย่าง ข้าก็ไม่เคยบอกว่าจะให้ฟรีๆ เสียหน่อย สิ่งที่ข้าสมควรได้ย่อมต้องได้สิ”
               โดยเฉพาะจากเจ้าหมีดำนั่น
               ฟิเรนเทียกำสองหมัดแน่นพลางกล่าว
               “ฮ่า” สุดท้าย เฟเรสก็แตะหน้าผากแล้วส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา
               หลังจากหายใจเข้าออกลึกๆ อีกหลายครั้งด้วยท่าทางนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
               ฟิเรนเทียยังคงมองมาที่เขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจากที่ตรงนั้น
               “เทีย เจ้า…”
               แม้แต่ระลอกคลื่นสีทองอร่ามของทุ่งข้าวสาลีก็ยังสูญเสียความสดใสเมื่ออยู่ต่อหน้านาง
               คนที่เปล่งประกายยิ่งกว่าใคร
               ‘นี่ข้าไปหลงรักผู้หญิงแบบไหนเข้ากัน’
               เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรงราวกับคนที่ถูกแทงบริเวณเอว
               “เอาละ ไปกันเถอะเฟเรส”
               ฟิเรนเทียยื่นมือมา
               “ตอนนี้ถึงเวลาไปรูมันจริงๆ แล้วละ ต้องไปดูริคอีก ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว”
               นางบ่นอู้อี้ราวกับเด็กน้อย จนทำให้นึกสงสัยขึ้นมาว่านี่คือคนที่เปรียบอาณาจักรเป็นกระดานหมากเมื่อครู่ก่อนจริงหรือไม่
               เฟเรสมองมือที่ยื่นมาตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้ามันมากอบกุม
               มือเรียวยาวข้างนั้นสอดเข้ามาในมือข้างหนึ่งราวกับว่าถูกสร้างมาเพื่อเขา
               ราวกับวันหนึ่งในวัยเด็ก เฟเรสมองภาพด้านหลังของฟิเรนเทียที่เดินนำไปอย่างผ่าเผยแล้วยิ้มออกมาเงียบๆ
               หลายวันต่อมา
               วันแต่งงานของลาลาเน่ ลอมบาร์เดียและอาบีน็อกซ์ รูมันมาถึงแล้ว
               เหตุผลที่ทำให้ตระกูลรูมันที่วุ่นกับการเตรียมตัวจนถึงวินาทีสุดท้ายยิ่งโหวกเหวกกันมากขึ้น เป็นเพราะคนจากลอมบาร์เดีย แขกฝ่ายเจ้าสาวได้มาถึงคฤหาสน์รูมันในที่สุด
               “ไอ้หมีดำเฮงซวย”
               หลังจากวันแรกที่มาถึงรูมัน ข้าก็ได้รับรายงานเกี่ยวกับการเดินทางของครอบครัวผ่านร้านค้าเพลเลสอย่างสม่ำเสมอ
               หัวโจกก็คือชานตั้น เซอเชาว์เหมือนเคย
               อาจเพราะตัดสินใจมาอย่างแน่วแน่ นับตั้งแต่วินาทีที่ผู้คนจากลอมบาร์เดียก้าวเข้าสู่เขตแดนเซอเชาว์ก็ถูกขัดขวางไปทีละอย่าง
               พวกเขาไม่ได้สร้างความยุ่งยากมากไปนักโดยอ้างเรื่องการพกอาวุธของทหารและอัศวินคุ้มกัน ไปจนถึงกฎหมายของชนชั้นสูงที่เกี่ยวกับการเดินทางผ่าน
               สุดท้ายครอบครัวที่พลาดเรือสำราญตามกำหนดการเดิม จึงต้องรอต่อไปถึงสองวันเต็มๆ จนกว่าเรือลำต่อไปจะรีบเตรียมพร้อมเสร็จสิ้น
               ข้าเกือบจะต้องกลายเป็นครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวเพียงคนเดียวในงานแต่งงานของลาลาเน่
               “ข้าคงต้องไปขโมยโถน้ำผึ้งเอาไปทิ้งจริงๆ เสียแล้ว”
ไอ้เจ้าหมีดำที่ตั้งแต่หนึ่งถึงสิบไม่มีส่วนไหนถูกใจสักอย่าง
               “โถน้ำผึ้ง?”
               เอ๊ะ จริงสิ
               ตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่คนเดียวนี่นา
               เพราะได้ยินว่ารถม้าที่คนในครอบครัวโดยสารมาถึงแล้ว ข้ากับเฟเรสจึงออกมารอรับอยู่ที่ปากทางเข้าคฤหาสน์
               “อ๊ะ คืออย่างนี้ เรียกว่าเป็นนิสัยไม่ดีที่อยากเห็นเจ้าหมีงุ่นง่านไหมนะ โอ๊ะ พ่อล่ะ!”
               “เทีย!”
               ประตูของรถม้าที่วิ่งนำเข้ามาก่อนเปิดออกพรวด ก่อนที่พ่อจะวิ่งมาหาข้าด้วยท่าทางเหมือนจะร้องไห้
               ดูจากผิวที่หยาบกร้านกว่าปกติ แสดงว่าพ่อคงกังวลใจอย่างหนักว่าจะมาไม่ทันพิธีแต่งงาน
               “มาแล้วเหรอคะ พ่อ”
               “เจ้าสบายดีนะ? ไม่บาดเจ็บที่ไหนใช่ไหม? ทหารของเซอเชาว์ไร้มารยาทถึงเพียงนั้น…”
               “ข้าเขียนรายงานเกี่ยวกับการกระทำสบประมาทของเซอเชาว์มาอย่างละเอียดแล้วครับ ท่านเจ้าตระกูล”
               “อ๊ะ เครย์ลีบัน”
โดยที่ไม่รู้ตัว เครย์ลีบันที่นั่งรถม้าคันเดียวกับพ่อก็เดินเข้ามาใกล้แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
               ดูจากการที่เขาขยับแว่นขึ้นด้วยสีหน้าที่อ่อนไหวอย่างรุนแรง แสดงว่าน่าจะโกรธมากทีเดียว
               สู้มายุ่งกับข้ายังดีเสียกว่านะ เจ้าหมีดำเอ๊ย
               เจ้าเป็นเรื่องแล้วละ
               ขณะที่กำลังเดาะลิ้นจิจ๊ะให้กับชานตั้น เซอเชาว์ในอนาคต รถม้าคันที่สองก็มาถึงพอดี
               และข้าก็มองเห็นภาพที่ท่านปู่เปิดประตูออกด้วยตนเองและกำลังเดินลงมา
               แม้จะมีสีหน้าที่ดูอ่อนล้าเล็กน้อยเหมือนกับพ่อ แต่สภาพร่างกายกลับดูดีมากเลยละ
               ถึงกับมีเวลายืดหลังแล้วกวาดสายตามองไปรอบคฤหาสน์ของรูมันรอบหนึ่ง
               แต่ข้ารับใช้ของตระกูลรูมันกลับประหม่าจนไม่สามารถขยับเข้าไปหาท่านปู่โดยง่าย
               แต่ก่อนท่านปู่ของข้าก็เคยน่ากลัวนิดนึงแหละนะ
               ข้าส่ายหน้าให้กับภาพเหล่านั้นพลางเดินเข้าไปหาเขา
               “ท่านปู่คะ”
               “โอ้ เทีย” ใบหน้าไร้อารมณ์ของท่านปู่เต็มไปด้วยรอยยิ้มยับย่นทันทีที่เห็นข้า
               “มาแล้วเหรอครับ ท่านลอมบาร์เดีย”
               “อะแฮ่ม ไม่จำเป็นต้องออกมารอเช่นนี้ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
               แน่นอนว่าไม่มีการเก็บซ่อนความไม่พอใจของปู่ที่ถูกแย่งหลานสาวไป ในทันทีที่เห็นเฟเรสที่ยืนอยู่ข้างข้า
               “ท่านปู่มาทั้งที ข้าจะทำเช่นนั้นได้ยังไงกันล่ะครับ”
               “ทะ ท่านปู่….เฮอะ”
               เป็นคำพูดที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผยว่าความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับตนเองที่หมั้นกันแล้วก็ไม่ต่างไปจากครอบครัวเดียวกัน
               ท่านปู่เม้มปากแน่นราวกับไม่พอใจ ก่อนจะหันหน้าขวับออกจากเฟเรสทันที
               และเอ่ยถามข้า “จริงสิ งานที่ตั้งใจมาทำราบรื่นดีไหม?”
               “แน่นอนค่ะท่านปู่”
               ข้ายิ้มอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
               “ข้าจะเอาคืนให้หมด แม้กระทั่งสิ่งที่ทำให้ท่านปู่ต้องทนทุกข์ในวันนี้ด้วยค่ะ”
               “…อย่างนั้นเหรอ?”
               ท่านปู่มองข้าด้วยด้วยสายตาแปลกพิกลครู่หนึ่ง จากนั้นไม่นานก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
               “อุ๊บฮ่าฮ่า! หน้าตาของเจ้าคนดื้อด้านที่โตแต่ตัวคงจะน่าชมไม่เบา! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
               “โอ๊ะ”
               คนดื้อด้านอย่างนั้นเหรอ
               มีฉายาที่เหมาะเหม็งแบบนั้นด้วยแฮะ
               คงต้องลองพิจารณาเปลี่ยนชื่อเรียกชานตั้น เซอเชาว์จากเจ้าหมีดำมาเป็นคนดื้อด้านแล้วละ
               ขณะที่ข้ากำลังมองภาพท่านปู่ที่หัวเราะเสียงดังลั่นเดินเข้าไปในคฤหาสน์รูมันนั่นเอง
               “เทีย!”
               เสียงสองเสียงที่ฟังดูคล้ายกันเอ่ยเรียกข้าขึ้นโดยพร้อมเพรียง
               เวลาเดียวกับที่มือใหญ่จับร่างข้าหมุนควับ
               “บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
               “ปกติดีนะ ระหว่างมาเกิดอะไรขึ้นไหม”
               “เพิ่งจะมาถึงเนี่ย ไม่เหนื่อยกันบ้างเหรอ พลังยังเยอะเหมือนเดิมนะ คิลลีวู เมโลน”
               “เห็นแบบนี้ข้าก็เป็นรองหัวหน้า…ไม่สิ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
               “ไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ เหรอ ระหว่างนั้นน่าจะส่งจดหมายมาบ้างสิ…”
               สองแฝดหมุนรอบตัวข้าอย่างกระวนกระวายใจราวกับต้องการตรวจสอบสภาพของข้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
               “ไม่ว่างเลยน่ะสิ เดินทางลำบากหน่อยนะคะ ท่านป้า”
               ข้าเอ่ยทักทายชานาเนสที่รับการประคองจากเฟเรสและเพิ่งลงมาจากรถม้า
               “ถึงยังไงการเดินทางไกลก็ใช้พลังเยอะจริงๆ นะ แล้วก็…”
               แต่ว่าสายตาของชานาเนสที่มีสีหน้าซีดเผือดกลับเปลี่ยนเป็นคมกริบในพริบตา
               “ถ้าว่างแล้วเรามาคุยเรื่องของชานตั้น เซอเชาว์ผู้นั้นกันหน่อยเถอะ”
               ไปทำอะไรไว้กันแน่เนี่ย เจ้าหมีดำ
               ต่อจากเครย์ลีบันที่หากแตะต้องเป็นต้องเห็นเลือด ก็ยังสะสมความเกลียดชังจากชานาเนสผู้ที่ไม่ค่อยโกรธใครด้วยเหรอเนี่ย
               จนข้าแอบคิดว่าบางทีตอนกลับไปถึงลอมบาร์เดีย ข้าอาจจะไม่จำเป็นต้องออกโรงเองแล้วก็ได้
               คนจากลอมบาร์เดียทุกคนก็มาถึงรูมันโดยสวัสดิภาพเช่นนั้น
               และมีอีกหนึ่งคนที่ปรารถนาในเรื่องนั้นอย่างแรงกล้ายิ่งกว่าข้า
               “ท่านปู่ ท่านป้า ท่านอา!”
               นั่นคือลาลาเน่
               ลาลาเน่ที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินจ้ำอ้าวลงมาจากบันไดหยุดยืนอยู่ตรงหน้าครอบครัวลอมบาร์เดียทุกคน
               และพูดอะไรต่อไปไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง
               แม้แต่ตรงจุดที่ข้ายืนอยู่ก็ยังมองเห็นว่าริมฝีปากที่อ้ำอึ้งนั้นกำลังสั่นเทาน้อยๆ
               ขณะที่ลาลาเน่กำลังพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมานั่นเอง
               “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ลาลาเน่”
               ท่านปู่ที่กล่าวเช่นนั้นสวมกอดลาลาเน่อย่างแนบแน่น
               “อ่า…”
               แม้แต่ดอกไม้ที่หยั่งรากลึกลงในสถานที่แห่งใหม่อย่างองอาจ ก็ยังคะนึงหาอ้อมกอดอันคุ้นเคยของครอบครัวอยู่ดี
               ในคราวนี้เป็นพ่อกับชานาเนสที่เข้าไปสวมกอดลาลาเน่ที่สุดท้ายก็หลั่งน้ำตาเม็ดใหญ่ออกมา
               เช้าของทางตะวันออกที่สดใสและมีลมพัดอย่างสดชื่น
               เป็นวันแต่งงานของลาลาเน่
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		