เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 21
SPIN-OFF บทที่ 21
เหนือทุ่งกว้างที่มองออกไปเห็นท้องทะเลสีฟ้าคราม ผ้าสีขาวปลิวไสวไปตามลมทะเลอันแผ่วเบา
สถานที่จัดงานแต่งงานกลางแจ้งที่ตกแต่งด้วยสีเหลืองอ่อนและขาวตามรสนิยมของลาลาเน่นั้น เพียงพอที่จะเรียกเสียงชื่นชมจากทุกคน
สมกับที่เป็นภาคตะวันออกที่สายโลหิตเหนียวแน่นเป็นพิเศษ ที่นั่งสำหรับแขกผู้มาร่วมงานนับร้อยจึงอัดแน่นไปด้วยผู้คนจนเกือบเต็มแล้ว
ทันทีที่ข้ากับเฟเรส และท่านปู่ รวมทั้งผู้คนจากลอมบาร์เดียทั้งหมดเข้ามาในสถานที่จัดงานแต่งงาน สายตาที่แฝงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของแขกผู้มาร่วมงานก็พุ่งเข้ามา
เป็นเพราะเคยชินกับการเป็นจุดสนใจในทุกที่ที่ไป ข้าจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ขณะเดียวกับที่ลูกจ้างของตระกูลรูมันเดินเข้ามาหาพวกเราที่กำลังมองหาที่นั่งแล้วเอ่ย
“ยินดีต้อนรับครับ เชิญรับดอกไม้นี้ไป แล้วนั่งที่ตำแหน่งที่นั่งผู้ทรงเกียรติทางด้านหน้าสุดได้เลยครับ”
ดอกไม้สีขาวที่มีลักษณะคล้ายดอกกุหลาบซึ่งได้รับมอบคนละหนึ่งดอก คือดอกกาลิกาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลรูมัน และเป็นดอกไม้พื้นเมืองของที่นี่
เมื่อกวาดสายตามองรอบข้างก็พบว่าแขกที่มาร่วมงานทุกคนต่างถือดอกกาลิกาไว้คนละดอก
“ไปที่นั่งกันเลยไหม” เฟเรสกล่าวกับทุกคนในคณะ
ที่นั่งของพวกเราอยู่ตรงหน้าแท่นที่คู่บ่าวสาวจะยืนพอดีเหมือนอย่างที่พวกลูกจ้างว่าไว้
ข้าพยายามเดินไม่ให้เหยียบผ้าสีขาวที่ปูบนทางเดินที่ทั้งสองจะใช้เดินเข้ามาในงานมากที่สุดพลางเหลือบมองด้านข้าง
ด้านข้างของข้าคือเฟเรสที่กำลังเดินอยู่
เส้นผมที่ปรกหน้าผากเพียงครึ่งเดียวกำลังส่ายไหวไปตามจังหวะการก้าวเดิน
รู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อยแฮะ
เดินด้วยกันบนทางเดินสำหรับคู่บ่าวสาวงั้นเหรอ
“อะแฮ่ม เหมือนจะเป็นทางนั้นนะคะ”
ข้ากระแอมเพราะรู้สึกเขินอายขึ้นมาแปลกๆ พลางชี้ไปที่เก้าอี้สีขาวที่เว้นว่างอยู่
คงเพราะพวกเราเป็นแขกผู้มาร่วมงานที่มาถึงเป็นลำดับสุดท้าย ผ่านไปไม่นานนักพิธีแต่งงานจึงเริ่มต้นขึ้น
ดนตรีของงานแต่งงานพื้นบ้านของภาคตะวันออกเริ่มลอยมาจากที่ไกล ๆ เจ้าตระกูลรูมันที่สวมชุดร่วมงานสีเบจ แขนเสื้อและชายเสื้อยาวขึ้นมายืนบนแท่นพิธี
“ว้าว”
“งดงามจังเลย…”
เสียงชื่นชมของแขกที่มาร่วมงานพลันดังขึ้นจากทั่วทุกหนแห่ง
เพราะอาบีน็อกซ์กับลาลาเน่ได้ปรากฏกายขึ้นใต้ซุ้มที่ถูกประดับตกแต่งอย่างหรูหราด้วยดอกไม้พื้นเมืองดอกตูมสีขาวขนาดเล็กที่ไม่ใช่ดอกกาลิกา
คู่หนุ่มสาวที่กำลังจะเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการในไม่ช้าช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน
นอกจากคำอธิบายนั้น ก็ไม่มีคำไหนที่จะใช้อธิบายทั้งสองคนได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกแล้ว
อาบีน็อกซ์ที่กำลังหัวเราะร่าอย่างสดใสดั่งดวงตะวัน กับลาลาเน่ที่ยิ้มเอียงอายอยู่ด้านข้าง
ทั้งสองคนเหมาะสมกันราวกับเกิดมาเพื่อกันและกัน
ร่องรอยจางๆ ทิ้งไว้บนผ้าไหมสีขาวที่ปูอยู่บนผืนหญ้าตามการก้าวเดินของคู่บ่าวสาว
ท่ามกลางความเงียบที่แสดงถึงความเคารพของทุกคน ลาลาเน่กับอานีบ็อกซ์ได้มายืนตรงหน้าเจ้าตระกูลรูมันในที่สุด
อินดิท รูมันจ้องมองสองคนนั้นอย่างไม่อาจเก็บซ่อนความตื้นตันได้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น
“วันนี้ ณ ที่แห่งนี้ที่ท่านทั้งหลายได้มารวมตัวกัน อาบีน็อกซ์ รูมันและลาลาเน่ ลอมบาร์เดียได้สัญญากันว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทางกันไปตลอดชีวิตครับ”
อาจเพราะเจ้าตระกูลรูมัน อินดิท รูมัน ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดการกล่าวคำอวยพรที่สั้นแต่เปี่ยมไปด้วยความยินดี
รอยแผลเป็นที่ยาวพอสมควรตรงบริเวณคางของเขาจึงกระตุกไม่หยุดอย่างไม่คำนึงถึงหน้าตา
“นี่คือไวน์ที่มีเพียงขวดเดียวในโลกครับ”
หลังกล่าวคำอวยพรจบ เจ้าตระกูลรูมันก็ยกขวดไวน์ที่ไม่มีฉลากหรือเขียนอะไรไว้เลยขึ้นมาแล้วกล่าวขึ้น
“เป็นเครื่องดื่มที่ข้าผู้เป็นบิดาหมักขึ้นด้วยตนเองในปีที่อาบีน็อกซ์เกิดมาครับ ซึ่งก็เพื่อในวันนี้นั่นเอง”
ขวดไวน์ถูกเปิดในมือของอินดิท รูมัน จากนั้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีแดงก็ถูกเทแบ่งใส่แก้วเล็กๆ สองแก้ว
“เมื่อทั้งสองคนแบ่งกันดื่มไวน์ขวดนี้ ภายใต้คำปฏิญาณอันศักดิ์สิทธิ์ ลาลาเน่ ลอมบาร์เดียและอาบีน็อกซ์ รูมันก็จะกลายเป็นคู่สามีภรรยากันครับ”
แก้วทั้งสองถูกส่งไปที่มือของอาบีน็อกซ์กับลาลาเน่ในเวลาต่อมา
ปลายนิ้วที่กำลังสั่นระริกของลาลาเน่สะท้อนเข้ามาในตาของข้าที่นั่งอยู่แถวด้านหน้าสุด
กำลังประหม่าอยู่สินะ
แต่จะว่าไปก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว
จำนวนของแขกผู้มาร่วมงานไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย
แต่ช่วงเวลาที่สัญญาว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับอีกคนหนึ่งไปชั่วชีวิต จะไม่ตื่นเต้นได้ยังไงกันล่ะ
ข้ารู้สึกอยากให้กำลังใจลาลาเน่จึงกำมือแน่นอย่างเงียบๆ
อาบีน็อกซ์มองลาลาเน่ที่ขนตาแผ่ยาวกำลังสั่นระริกด้วยแววตาลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำสัญญาออกมาก่อน
“ท่านลาลาเน่ ข้าสาบานว่าจะอยู่เคียงข้างท่านเพื่อสร้างรอยยิ้มให้ท่านไปตลอดชีวิตครับ”
ไวน์ในแก้วหายไปในคราวเดียว
บัดนี้ ทุกคนต่างก็รอคอยคำปฏิญาณของลาลาเน่
นางที่ใบหน้าขึ้นสีแดงเล็กน้อยถอนหายใจออกมาสั้นๆ แล้วกล่าวขึ้น
“ในวันที่ข้าหมดลมหายใจ” น้ำเสียงนั้นแม้จะเบาแต่กระจ่างชัด “ข้าหวังว่าข้าจะได้นอนอยู่เคียงข้างท่านอาบีน็อกซ์ค่ะ”
ลาลาเน่ที่เอียงแก้วด้วยมืออันสั่นเทาจัดการดื่มไวน์ทั้งหมด
ขั้นตอนสุดท้ายของพิธีกล่าวคำปฏิญาณแต่งงาน คือการให้เจ้าตระกูลรูมันสวมมงกุฎที่ทำจากดอกกาลิกาให้ทั้งคู่
ถือเป็นคำอวยพรจากเจ้าตระกูลที่มอบให้คนสองคนที่กำลังจะเริ่มการเดินทางครั้งใหม่ของชีวิต
มงกุฎทั้งสองอันจึงได้กลับคืนสู่ที่ของมันเช่นนั้น และเจ้าตระกูลรูมันก็ประกาศออกมาอย่างหนักแน่น
“ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงขอประกาศอย่างเป็นทางการว่าอาบีน็อกซ์ รูมันและลาลาเน่ ลอมบาร์เดียเป็นสามีภรรยากันแล้ว”
แขกผู้มาร่วมงานพากันลุกขึ้นยืนและเริ่มปรบมือกันอย่างพร้อมเพรียง
หลังจากประสบเรื่องราวมามากมาย ลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์ก็ได้กลายเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่งในที่สุด
พวกเขาที่เวลานี้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริงเดินไปบนทางเส้นที่ใช้เดินเข้ามาในงานด้วยกันเมื่อครู่ก่อน
“ยินดีด้วยนะ ลาลาเน่” ท่านปู่ที่กล่าวเช่นนั้นยื่นดอกกาลิกาให้ลาลาเน่
ในที่สุด น้ำตาก็เอ่อคลอบนดวงตากลมโตของนาง
ทว่านั่นเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
บรรดาแขกเหรื่อที่อยู่ทั่วงานโปรยดอกไม้ลงบนทางเดินที่ปูด้วยผ้าสีขาว
ราวกับว่ามีฝนดอกไม้ตกลงมาจากฟากฟ้า
คู่สามีภรรยาก้าวไปข้างหน้าด้วยจังหวะที่ปรับให้พร้อมกัน
“ยินดีด้วยนะ!”
“ยินดีด้วยนะครับ!”
“ต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ!”
ท่ามกลางคำอวยพรจากแขกนับไม่ถ้วน กลีบดอกกาลิกากลีบหนึ่งพลันร่วงลงบนขอบตาของลาลาเน่ที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข
“ท่านลาลาเน่”
อาบีน็อกซ์หยุดเดินไปชั่วขณะ แล้วเอื้อมมือออกไปหยิบกลีบดอกไม้สีขาวอย่างระมัดระวัง
“อุ๊บส์”
“ฮ่าฮ่า!”
ทั้งสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“คล้ายกันเลยนะเนี่ย”
ว่ากันว่าคนที่รักกันอย่างลึกซึ้งจะคล้ายคลึงกัน
โดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์ก็คล้ายกันมากเหลือเกินแล้ว
ท่ามกลางฝนดอกไม้ที่โปรยปรายลงมาจนขาวโพลน คนสองคนที่จับมือกันแน่นฉีกยิ้มอย่างมีความสุข
***
“ภาคตะวันออกเป็นสถานที่ที่ชอบสังสรรค์กันมากจริงๆ สินะเนี่ย”
หากสงสัยว่าทำไมข้าถึงพูดแบบนี้ละก็
“งานแต่งงานจัดติดกันทั้งวันทั้งคืนตลอดสามวันเลยอย่างนั้นเหรอ”
“ได้ยินว่ามีแค่พิธีหลักที่จัดสามวันครับ ถ้านับรวมไปจนถึงงานเลี้ยงฉลองหลังจบงานด้วย ปกติแล้วจะเกินหนึ่งสัปดาห์ไปเลยละครับ”
เครย์ลีบันตอบด้วยใบหน้าเหน็ดเหนื่อยไม่ต่างกับข้า
พิธีกล่าวคำปฏิญาณแต่งงานมีไปเมื่อตอนกลางวันแท้ๆ
ไม่นึกเลยว่าทั้งที่ฟ้ามืดไปแล้ว แต่บรรยากาศอันร้อนแรงแสนโหวกเหวกยังไม่จบลงเลย
“ว้าว…ช่างเป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบการร้องเล่นจริงๆ”
แค่มองห้องจัดเลี้ยงที่ถูกจัดเตรียมไว้ก็รู้แล้ว
แม้ข้าจะทะนงตัวว่าตอนที่อาศัยอยู่ในลอมบาร์เดียเคยไปงานเลี้ยงที่แสนเอะอะมาหมดแล้ว แต่พิธีแต่งงานของภาคตะวันออกนั้นเป็นคนละระดับกันเลย
แขกเหรื่อที่เข้าร่วมพิธีปฏิญาณส่วนใหญ่ยังคงรักษาที่นั่งอยู่อย่างนั้น
ไม่เหมือนกับภาคกลางที่แค่สนทนากันอย่างสงบเสงี่ยมเพื่อรักษามารยาท
อาจเพราะทุกคนต่างก็เป็นเครือญาติกัน พวกเขาเหล่านั้นจึงกินดื่มกันอย่างสนุกสนานขณะยิ้มแย้มและพูดคุยกันโดยไม่หยุดพัก
ยิ่งไปกว่านั้น ห้องจัดเลี้ยงเป็นแบบไหนน่ะเหรอ
ห้องจัดเลี้ยงที่มีอาหารกองพะเนินราวกับภูเขาอยู่ทั่วทุกมุมนั้น กว้างขวางและสว่างไสวราวกับยืมดวงอาทิตย์ในยามเที่ยงวันมา
นั่นเพราะหน้าต่างบานใหญ่เปิดกว้างอย่างเต็มที่ จนไร้ซึ่งเขตแดนกั้นระหว่างด้านในและด้านนอก
“โอย เหนื่อยจังเลย”
หลังจากเดินพูดคุยทักทายผู้คนในงานจนถึงเมื่อครู่ก่อน เท้าก็เริ่มปวดตุบ
ข้าเลือกที่จะนั่งลงตรงจุดที่ไม่ค่อยดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากนัก
“เช่นนั้นข้าจะไปพูดคุยต่ออีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับมานะครับ”
“ได้สิเครย์ลีบัน ช่วยสู้แทนข้าทีนะ”
ทันทีที่โบกมือเบาๆ ให้เครย์ลีบันที่ฉีกยิ้มอย่างขมขื่นด้วยใบหน้าที่มีรอยคล้ำใต้ตา ข้าก็เหลือตัวคนเดียวอย่างแท้จริง
แต่กระนั้นข้าก็ไม่รู้สึกเหงา
“โชคดีจริงๆ ที่ลาลาเน่มาภาคตะวันออก” ข้าพึมพำขณะมองดูลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์ที่รายล้อมไปด้วยผู้คนและกำลังพูดคุยกัน
ทั้งที่เคยกังวลว่าถ้ายังปรับตัวไม่ได้จะทำยังไงดีแท้ๆ
ชวนให้รู้สึกว่าทั้งหมดเป็นความกังวลที่ไร้สาระเลย
ลาลาเน่ดูมีความสุขอย่างแท้จริง
ณ สถานที่แห่งนี้ ลาลาเน่ได้ค้นพบบ้านแล้ว
“น่ามองจริงๆ”
ขณะที่ข้ามองดูลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์อยู่พักใหญ่ ก็ถูกชวนคุยด้วยน้ำเสียงอันคุ้นเคย
“ท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
“อ๊ะ เจ้าตระกูลรูมัน เป็นงานแต่งงานที่งดงามมากเลยค่ะ”
“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ ทั้งหมดก็เป็นเพราะท่านเจ้าตระกูล”
“เอ๋ พูดอะไรอย่างนั้นกันคะ”
“ไม่เลยครับ เป็นคำพูดที่ข้ากล่าวออกมาจากใจจริงครับ”
เจ้าตระกูลรูมัน อินดิท รูมัน พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทั้งเรื่องที่ลาลาเน่มาถึงภาคตะวันออกอย่างปลอดภัย ทั้งเรื่องที่การค้าภาคตะวันออกประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ ล้วนแต่เป็นเพราะท่านเจ้าตระกูลครับ รวมถึงการส่งนักวิชาการของลอมบาร์เดียมาเพื่อวิจัยในคราวนี้ด้วย ข้าจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตเลยครับ”
ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ข้าทำทั้งหมดก็เถอะ
แต่ถึงอย่างนั้นคำขอบคุณอย่างนอบน้อมเช่นนี้ของเจ้าตระกูลรูมันที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่านพ่อก็ทำให้ข้าเก้อเขินเล็กน้อย
ข้าเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เห็นทุ่งข้าวสาลีหรือยังคะ?”
“อ่า”
ทันทีที่เอ่ยถึงเรื่องทุ่งข้าวสาลี ใบหน้าของเจ้าตระกูลรูมันก็พลันอิ่มเอิบขึ้นมา
“เห็นแล้วครับ วินาทีที่ข้าได้เห็นทุ่งที่สุกงอมไปด้วยสีทองอร่ามนั้น ถึงแม้จะน่าอาย แต่ข้าก็น้ำตาแตกออกมาเลยครับ”
อินดิท รูมันหัวเราะฮ่าฮ่าออกมา
“พอคิดว่าจากนี้ไปพลเมืองของภาคตะวันออกจะไม่ต้องอดอยากกันอีกแล้ว ข้าก็…”
นอกจากการเป็นบิดาของอาบีน็อกซ์แล้ว อินดิท รูมันก็ยังเป็นเจ้าตระกูลที่ดีอีกด้วย
“ที่ผ่านมา ขอบคุณที่ลำบากอยู่เคียงข้างชานตั้น เซอเชาว์นะคะ”
“ขอบคุณครับ ทั้งหมดเป็นเพราะท่านเจ้าตระกูลครับ”
“เอาอีกแล้ว” ข้าเกาแก้มอย่างทำตัวไม่ถูก ก่อนจะเอ่ยถามถึงคนที่เข้ามาในสายตาพอดีเพื่อเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง
“ว่าแต่เจ้าตระกูลรูมันคะ”
“ครับ เชิญพูดได้เลยครับ”
“คือว่า คนตรงนั้นคือใครเหรอคะ”