เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 23
SPIN-OFF บทที่ 23
ทารกตัวน้อยที่อาบีน็อกอุ้มเข้ามา กลับคืนสู่อ้อมกอดของลาลาเน่อย่างคุ้นเคย
“ว้าว หน้าเหมือนพ่อจริงๆ นะเนี่ย” ข้ามองริคแล้วพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เหมือนกำลังกอดอาบีน็อกซ์ตัวเล็กอยู่เลย”
ได้ยินคำพูดของข้า ลาลาเน่ก็ยิ้มจนตาโค้งปิด
“ใช่ไหมล่ะ? ตอนแรกเป็นเพราะสีตา ข้ายังคิดเลยว่าอาจจะหน้าคล้ายข้าหรือเปล่า แต่นานวันเข้าก็ยิ่งเหมือนท่านอาบีบ็อกซ์เข้าไปทุกที”
ริคมีดวงตาสีฟ้าครามเหมือนดั่งที่ลาลาเน่ว่า
เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์นัก
ลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์ได้พบกันและให้กำเนิดบุตรที่หน้าคล้ายกับทั้งสองคนออกมาเหรอเนี่ย
คนสองคนที่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาตั้งแต่สิบกว่าขวบ จู่ๆ ก็ดูโตขึ้นมากอย่างกะทันหัน
ทว่า ความรู้สึกทั้งหมดที่ข้ามีในตอนที่เห็นริคครั้งแรกก็คือแค่นั้น
“น่ารักจัง!”
“ตัวเล็กมาก!”
ไม่เหมือนกับสองแฝดที่แตกตื่นอยู่ทางด้านข้าง
ปฏิกิริยาข้าเฉยชาเล็กน้อย มีเพียงคำพูดที่ว่า ‘หน้าคล้ายพ่อแม่จังเลย’
ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะปกติแล้วข้าไม่ได้มีความประทับใจเป็นพิเศษต่อเด็กน้อยสักเท่าไร
ทั้งที่มั่นใจว่าเคยเป็นเช่นนั้นแท้ๆ
ริคที่จนถึงเมื่อครู่ก่อนยังเอาแต่สนใจเส้นผมของลาลาเน่ได้ค้นพบข้า
ดวงตากระจ่างใสที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นกะพริบใส่ข้าอยู่หลายครั้ง
ก่อนจะโบกแขนที่ยังสั้นอยู่ไปมา ทั้งยังหัวเราะคิกคักด้วยปากน้อยๆ ที่ฟันยังไม่ขึ้นและมีสีแดงเหมือนกับลูกนก
“ตายแล้ว!” ลาลาเน่พูดกับข้าที่ยืนเหม่อจากการถูกโจมตีด้วยรอยยิ้มของริคราวกับประหลาดใจ “ช่วงนี้อาการกลัวคนแปลกหน้าของริคหนักมากเลยนะ แต่กลับชอบเทียที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกถึงขนาดนี้เลย น่าประหลาดใจมาก!”
“งะ งั้นเหรอ?”
หรือว่าเด็กน้อยเองก็แยกแยะคนที่มีสายเลือดเดียวกันได้?
หัวใจพลันเต้นตึกตักเมื่อเห็นนัยน์ตาที่คล้ายกับทะเลสาบอันใสสะอาดของริคที่จ้องข้าอย่างโจ่งแจ้ง
“ลองอุ้มดูสักครั้งไหม?”
“มะ ไม่ดีกว่า! ข้าคิดว่าไม่ค่อยดี”
ตัวเล็กเกินไปนี่นา!
เกิดพลาดทำหล่นขึ้นมาจะทำยังไง!
พอข้าโบกมือทั้งสองข้างไปมา ลาลาเน่ก็ฉีกยิ้มราวกับพอจะเข้าใจ
ในตอนนั้นเอง
“แค่ก!” เสียงไอเบาๆ ดังขึ้น พร้อมกับที่นมวัวสีใสที่ริคอาเจียนออกมาไหลเปื้อนบนชุดของลาลาเน่
“อ๊ะ!”
อาเจียนเฉยเลย!
“อ๊ะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
“หรือเป็นเพราะคนเยอะ พาไปสูดอากาศสดชื่นทางด้านนอกหน่อยดีไหม?”
สองแฝดที่ตกใจไม่แพ้ข้ากระวนกระวาย
“ไม่เป็นอะไร บางครั้งทารกก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ข้าคงต้องไปเปลี่ยนชุดสักหน่อย”
“ข้าช่วยเองครับ ท่านลาลาเน่”
“รบกวนด้วยนะคะ ท่านอาบีน็อกซ์?”
เจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่เข้าพิธีแต่งงานกันวันนี้มองหน้ากันและกันแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
“อืม ถ้าเช่นนั้นริคก็…”
ลาลาเน่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยื่นริคออกมาอย่างกะทันหัน
ยื่นเข้าอ้อมอกของเฟเรสที่จ้องมองริคอย่างใจลอยราวกับรู้สึกประหลาดใจ
“เดี๋ยวจะรีบกลับมาเพคะฝ่าบาท ฝากริคสักครู่นะเพคะ”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น ลาลาเน่ก็จ้ำอ้าวจากไปอย่างเร่งรีบพร้อมกับอาบีน็อกซ์
“เอ่อ…เฟเรส?”
“…”
เฟเรสไม่ได้ตอบอะไร
ยังคงไม่อาจขยับเขยื้อนจากสภาพที่ลาลาเน่ส่งริคให้อุ้ม
“ไม่เป็นไรนะ?”
“…อือ”
เหมือนจะไม่ใช่นะ
แม้จะอยู่ในอ้อมกอดของเฟเรสที่ตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้นสลักหินไปแล้ว แต่ริคก็ยังดูสบายใจพอสมควร
ไม่สิ เกินกว่าจะเรียกว่าสบายใจ ดูท่าคงจะถูกใจเฟเรสมากเลยทีเดียว
“บู่บู่!” มือน้อยๆ ของริคที่ส่งเสียงร้องอ้อแอ้ไม่รู้ความหมายจับเสื้อของเฟเรสเอาไว้แน่น
จากนั้น
“โอ้ว”
ใบหน้าอ้วนกลมราวกับซาลาเปานึ่งสีขาวก็ฝังลงไปยังอ้อมอกอันแข็งแกร่ง
คงเพราะรู้สึกง่วงนอน เขายังหลับตาแน่นแล้วถูไถไปมาด้วย
“เฮ้อ น่ารักจัง” ถึงจะเป็นหลานของข้าก็เถอะ แต่จะมาทำตัวน่ารักน่าชังขนาดนี้ได้ยังไง
รอเดี๋ยวนะ มีอะไรที่พอจะจำเป็นต่อริคบ้างนะ
ขณะที่ข้าคิดเช่นนั้นและกำลังเรียบเรียงรายการของขวัญที่จะมอบให้ริคอยู่ในหัวนั่นเอง
ตุบ ตุบ
พลันเห็นเฟเรสตบแผ่นหลังของริคเบาๆ อย่างระมัดระวัง
มือที่ทาบลงบนแผ่นหลังน้อยๆ ที่แม้แต่การหายใจก็ยังน่าเอ็นดู ดูใหญ่โตเป็นพิเศษ
ในตอนแรก เฟเรสลังเลอยู่ครั้งสองครั้ง ก่อนที่ต่อมาจะตบหลังริคเบาๆ ด้วยท่วงท่าที่ชำนาญ
“แอ้” เปลือกตาของริคค่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ
นัยน์ตาสีฟ้าครามที่ล้ำลึกราวกับท้องทะเลของรูมันกะพริบอยู่หลายครั้ง จากนั้นเงาของขนตายาวก็ตกลง
ข้าจ้องมองสองคนนั้นโดยไม่ได้เอ่ยวาจาใด
เป็นภาพที่สงบสุขเสียจนต้องระวังกระทั่งเสียงหายใจ
“น่ามองกว่าที่คิดมากเลยใช่ไหมล่ะ”
ลาลาเน่ที่สวมชุดเดรสตัวใหม่กลับมากล่าวเสียงแผ่วเบา
“อื้อ นั่นสินะ มันเป็นอะไรที่…”
ควรจะเรียกความรู้สึกนี้ว่ายังไงดีล่ะ
ความรู้สึกอันแปลกประหลาดที่ผสมปนเปไปทั่วร่าง ทำให้ข้ากล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ไม่ง่ายนัก
“ดีกว่าที่คิดเสียอีก” ท้ายที่สุด สิ่งที่ข้าพูดออกไปก็มีเพียงประโยคเดียว
“ฝ่าบาทจะต้องเป็นพ่อที่ดีแน่”
“อย่างนั้นเหรอ?”
“แค่ดูตอนนี้ก็รู้แล้วนี่นา”
ข้าทำได้เพียงพยักหน้าให้กับคำพูดของลาลาเน่
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร อ้อมแขนที่กำลังโอบกอดริคก็เปลี่ยนเป็นมั่นคงขึ้น แม้จะยืนแข็งทื่ออยู่เหมือนเดิม แต่ในดวงตาทั้งสองข้างที่หลุบมองเด็กน้อยกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นจนล้นทะลัก
“เป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่”
น้ำเสียงของลาลาเน่มีความเชื่อมั่นอันหนักแน่นเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ภาคตะวันออกเป็นยังไงบ้าง?”
ทันทีที่ข้าเอ่ยถาม ลาลาเน่ก็ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
“ดีเลย หลังจากมาที่นี่ ข้าก็เข้มแข็งขึ้นมาก”
ดวงตาสีฟ้าครามของลาลาเน่เปล่งประกายไปด้วยพลังชีวิต
“ตามหาบ้านเจอแล้วสินะ ลาลาเน่”
“บ้าน?” หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้นนางก็พยักหน้า “ใช่แล้ว เหมือนจะเป็นความรู้สึกแบบนั้น บ้าน แล้วก็ตอนนี้…”
ลาลาเน่จ้องมองริค
“ข้าอยากทำให้ดินแดนแห่งนี้ที่ริคจะใช้ชีวิตอยู่กลายเป็นสถานที่ที่ดีกว่านี้”
“สร้างมันขึ้นมาความรู้สึกเช่นนั้นเองสินะ ทุ่งข้าวสาลีน่ะ”
อันที่จริง ข้าเองก็ประหลาดใจนิดหน่อย
ยารักษาโรคพืชในข้าวสาลีที่ระบาดทางภาคใต้นั้น ข้ารู้จักอยู่แล้วผ่านการได้เห็นและได้ฟังมาเมื่อชาติก่อน
ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ข้องใจเกี่ยวกับผลลัพธ์นั้น
แต่ทว่า ทุ่งข้าวสาลีในภาคตะวันออกถือเป็นปัญหาที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
แม้ข้าจะส่งนักวิชาการหลายคนของลอมบาร์เดียมาให้ตามคำขอร้องของลาลาเน่ แต่พูดตามตรงข้าก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะประสบความสำเร็จภายในระยะเวลาสั้นๆ ถึงเพียงนี้
ไม่รู้เพราะเหตุใด ลาลาเน่ที่กำลังมองริคด้วยรอยยิ้มอิ่มอกอิ่มใจจึงดูต่างไปจากคนที่ข้าเคยรู้จักเล็กน้อย
“ลาลาเน่เข้มแข็งขึ้นแล้วนะเนี่ย”
พวงแก้มทั้งสองข้างของลาลาเน่พลันเปลี่ยนสีด้วยความเขินอายเหมือนสมัยเด็กเมื่อได้ยินคำพูดของข้า
แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น ก็ยังพยักหน้าอย่างขันแข็ง
“เพราะว่ามีสิ่งที่ต้องปกป้องแล้วยังไงล่ะ”
สิ่งที่ต้องปกป้อง
เหมือนอย่างที่ลาลาเน่จ้องมองริค สายตาของข้าเบนไปทางเฟเรสโดยไม่รู้ตัว
เฟเรสกำลังจ้องริคที่ตอนนี้เข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างสมบูรณ์แล้วอย่างเงียบๆ
แล้วจู่ๆ บนใบหน้าที่เคยไร้อารมณ์ก็พลันมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น
แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ อย่างเช่นริมฝีปากที่เคยแข็งทื่อผ่อนคลายลง แต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่ดูสบายใจไม่แพ้ริคที่กำลังนอนหลับเลย
ก่อนที่ชายหนุ่มผู้มืดมนคนนั้นในชาติก่อน และเด็กหนุ่มที่เคยเฝ้ารักษาวังเล็กที่ผุพังเพียงลำพังคนนั้นจะสามารถยิ้มได้แบบนี้ มีเรื่องราวหลายอย่างเกิดขึ้นมากเหลือเกิน
ตอนนั้นเอง เฟเรสก็เงยหน้าขึ้นมาราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาของข้า
ดวงตาของพวกเราสบกันทันที
เขาไม่ได้หลบสายตา
ราวกับมีเพียงเราสองอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาในห้องจัดเลี้ยง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปอย่างนั้นนานแค่ไหน
เฟเรสยิ้มออกมา ดวงตาโค้งขึ้นอย่างงดงาม ริมฝีปากวาดเส้นโค้งชวนชม
เป็นรอยยิ้มหวานที่มีไว้ให้ข้าเพียงผู้เดียว
“ข้าก็อยากปกป้องเช่นกัน”
เหมือนอย่างที่ลาลาเน่สร้างทุ่งข้าวสาลีที่รูมันได้สำเร็จเพื่อริค
ข้าเองก็อยากปกป้องเฟเรสเช่นกัน
“เพราะฉะนั้น ในวันข้างหน้าข้าก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นอีก”
คำพูดนี้ข้ากำชับกับตนเอง
และยังเป็นคำมั่นสัญญาว่า ไม่ว่าในอนาคตจะมีเรื่องอะไรผ่านเข้ามา ข้าก็คอยปกป้องจะอยู่เคียงข้างคนผู้นั้นด้วยเช่นกัน
เพื่อให้เฟเรสสามารถยิ้มแบบนั้นไปได้ชั่วนิรันดร์
และโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว รอยยิ้มที่เหมือนกับรอยยิ้มของเฟเรสก็แต่งแต้มบนใบหน้าของข้า
จู่ๆ ลางสังหรณ์แบบนั้นก็พลันผุดขึ้นมา
ทั้งเจ้า และข้า
บางทีเราสองคนคงจะจดจำช่วงเวลานี้ไปอีกนานแสนนานเลยสินะ
ต่อให้เป็นในอนาคตอันไกลแสนไกล ข้าก็จะจับมือเจ้าแน่นๆ พูดคุยเรื่องในวันนี้ และในตอนนั้นเองพวกเราก็คงจะกำลังยิ้มไปด้วยกันสินะ
แม้จะต้องพบเจอเรื่องยากลำบากมากมายกว่าจะถึงวันนั้นก็ไม่เป็นไร
เพราะคนที่มีสิ่งที่ต้องปกป้องมักจะเข้มแข็งขึ้นยังไงละ
“เหมือนเทวดาน้อยกำลังนอนหลับอยู่เลย…”
“ชู่ว พูดเบาๆ สิ เจ้าโง่!”
สองแฝดทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงไปรวมตัวอยู่ข้างเฟเรสเพื่อมองดูริคที่กำลังนอนหลับ
ภาพชายหนุ่มร่างใหญ่สามคนกำลังล้อมรอบทารกตัวน้อยทำให้ข้ารู้สึกเบิกบานใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
นานมาแล้ว ข้าเคยพูดกับลาลาเน่ที่ทุกข์ทรมานเพราะถูกบังคับให้แต่งงานไว้ว่า
“ลาลาเน่แค่ตามหาสิ่งที่ทำให้ตนเองมีความสุขก็พอแล้ว”
เพราะฉะนั้น ข้าจึงเอ่ยถามลาลาเน่
“ลาลาเน่ ตอนนี้มีความสุขใช่ไหม”
ทันใดนั้น ลาลาเน่ก็ตอบกลับทันที
“อืม มีความสุข”
งั้นเหรอ งั้นก็ดีแล้วละ
ไม่สำคัญว่าเริ่มต้นจากที่ใด
ที่ซึ่งหัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี ที่นั่นแหละคือบ้าน
“แงงงง!” เสียงร้องไห้จ้าพลันดังขึ้นหลังจากริคตื่น
“ตอนที่ตามหาแม่ เขาจะร้องแบบนั้นแหละ”
ลาลาเน่ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ ขณะเดียวกับที่ยิ้มออกมา
ภาพด้านหลังของลาลาเน่ที่เดินเข้าไปหาริคเผยให้เห็นถึงความสุข
ค่อยยังชั่ว
ลาลาเน่ที่เหี่ยวเฉาและกลับมายังลอมบาร์เดียอย่างหนาวเหน็บได้หวนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง และบัดนี้ก็ได้หยั่งรากลงที่รูมันแห่งนี้แล้ว
และต่อจากนี้ไป นางก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่บนดินแดนที่แสนอบอุ่น มีแสงแดดส่องประกาย และได้ฟังเสียงร้องเพลงอันแสนอ่อนโยน
“ถ้าอย่างนั้น ให้ข้าลองอุ้มริคดูสักครั้งได้ไหม”
รู้ตัวอีกทีอาบีน็อกซ์ก็กลับมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลาลาเน่ผู้เป็นมารดาอยู่เคียงข้าง เพราะงั้นหากขอให้สอนก็น่าจะทำได้
ข้าขยับเท้าเข้าไปหาเฟเรสและคนอื่นๆ ในครอบครัว
เพราะคนเหล่านั้นคือบ้านของข้านี่นะ
***
กลับมาที่ปัจจุบันอีกครั้ง
แมมม แมมม!
ฤดูกาลที่จั๊กจั่นส่งเสียงร้องดังระงม
ข้าเข้ามายืนในห้องทำงานของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียพลางยกยิ้ม
“ได้พบกันในรอบหนึ่งเดือนเลยนะคะ เจ้าตระกูลเซอเชาว์”