เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 27
SPIN-OFF บทที่ 27
“ตั้งครรภ์?”
นี่หมายความว่ายังไงกัน?
ข้ามองเอสทีร่าอย่างเหม่อลอยเพราะนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายล้อเล่นหรือไม่ แต่กลับไม่พบความขำขันบนใบหน้าของอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว
นั่นสินะ ไม่มีใครเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นหรอก
งั้นแสดงว่า
“จริงเหรอ…?”
“ตรวจสอบหลายรอบแล้วค่ะ ท่านเจ้าตระกูล”
“แสดงว่าข้ามีลูกแล้วจริงๆ สินะเนี่ย”
รู้สึกมึนงง
ไม่อยากจะเชื่อ
แต่รู้ตัวอีกทีมือของข้าก็วางอยู่เหนือท้องน้อยอย่างระมัดระวังแล้ว
แม้จะเป็นที่แน่นอนแล้ว แต่หน้าท้องแบนราบก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
ไม่สิ ยิ่งผอมแห้งกว่าเดิมเพราะช่วงนี้กินข้าวไม่ค่อยลงด้วย
แต่ว่ามีเด็กอยู่ข้างในนี้งั้นเหรอ
แปลก
ความรู้สึกนี้ไม่สามารถอธิบายเป็นคำอื่นได้นอกจากคำว่าแปลกจริงๆ
ข้าเอ่ยถามออกไปโดยที่ยังวางมือไว้บนหน้าท้องแบบนั้น
“นานแค่ไหนแล้วเหรอเอสทีร่า”
“ประมาณแปดสัปดาห์ได้แล้วค่ะ”
“แปดสัปดาห์!”
แปดสัปดาห์ก็เกือบสองเดือนแล้ว
หมายความมีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ในร่างกายมาตลอดสองเดือนแล้ว
แต่ตลอดระยะเวลานั้น ข้ากลับไม่รู้สึกถึงสัญญาณใดเลยจริงๆ
“เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยค่ะท่านเจ้าตระกูล ปกติแล้วในช่วงแรกเริ่มของการตั้งครรภ์ ร่างกายจะยังไม่ค่อยเกิดการเปลี่ยนแปลงเท่าไรนัก ดังนั้นจึงมักจะผ่านเลยไปโดยที่ไม่รู้ค่ะ”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”
“อาจจะมีอาการบ้าง เช่น ปวดหน่วงตรงท้องน้อย ความอยากอาหารลดลง อาหารไม่ย่อย ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย แต่ว่าอาการพวกนั้นก็สามารถมองว่าเป็นอาการที่เกิดจากการทำงานหนักเกินไปหรือความเครียดก็ได้นี่คะ”
ทั้งหมดเป็นอาการที่ข้ากำลังเผชิญอยู่
“ถ้างั้นแสดงว่าอาการที่ข้ากำลังเป็นอยู่ตอนนี้เรียกว่า…แพ้ท้องสินะ”
“เรียกว่าแบบนั้นก็ได้ค่ะ”
“ต่อไปอาการจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นแค่ได้กลิ่นอาหารก็ปิดปากอาเจียนหรือเปล่า”
“ข้ายังยืนยันคำตอบไม่ได้เพราะแต่ละคนก็ต่างกันไป แต่ก็มีหลายกรณีที่เป็นอย่างนั้นค่ะ”
เฮ้อ
แค่คิดก็น่ารำคาญแล้ว
แค่ตอนนี้ก็เกินกำลังถึงขนาดนี้แล้ว ในอนาคตยังจะหนักกว่านี้อีกเหรอ?
“แล้วจะดีขึ้นช่วงไหนล่ะ แพ้ท้องน่ะ”
“เรื่องนั้นก็แล้วแต่คนอีกค่ะ ได้ยินว่าปกติแล้วประมาณยี่สิบสัปดาห์ก็จะหายไป แต่ในกรณีที่เป็นหนักเห็นว่าแพ้ท้องไปจนถึงก่อนคลอดเลยค่ะ”
เมื่อกี้ข้าได้ยินผิดไปหรือเปล่านะ?
ก่อนคลอด?
ถ้าแพ้ท้องนานถึงขนาดนั้น คนเรายังมีชีวิตอยู่ได้อีกเหรอ?
เอสทีร่าที่เห็นสีหน้าของข้าย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็วรีบกล่าวต่อทันที
“มียาที่ช่วยเรื่องแพ้ท้องอยู่ค่ะ ข้าจะเตรียมให้ทันทีเลยค่ะ”
“กินยานั่นแล้วจะมีแรงขึ้นไหม ข้าง่วงตลอดเลย”
“เรื่องนั้นเป็นสภาวะที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีตัวอ่อนในท้อง ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยยาค่ะ ต้องได้พักผ่อนอย่างแท้จริง…”
คำพูดช่วงสุดท้ายของเอสทีร่าที่รู้สถานการณ์ของข้าเป็นอย่างดีพลันเลือนหาย
หากบอกให้ข้ากินยา ข้าก็จะกิน หากบอกให้ฝืนกินข้าว ข้าก็ยังลองกินได้
แต่ถ้าให้ถึงกับหยุดพักผ่อนคงยาก
ตอนนี้ต้องเตรียมงานแต่งงาน และในฐานะเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียยังมีการประชุมที่ข้าไม่อาจทิ้งได้อย่างเด็ดขาด
“ถ้าเช่นนั้น…” เอสทีร่ากล่าวด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “ข้าจะเตรียมยาบำรุงกำลังที่พอจะทำให้มีแรงให้ค่ะ แต่ถึงยังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการพักผ่อนนะคะท่านเจ้าตระกูล หรือไม่ลองแจ้งกับฝ่าบาทให้ปรับเปลี่ยนตารางงาน…”
“ไม่ได้” คำตอบของข้าเด็ดขาด “ยังบอกเรื่องนี้กับเฟเรสไม่ได้”
ระเบียบวาระในคราวนี้ หรือก็คือเรื่องของอคาเดมี่ เป็นเรื่องที่ทั้งเฟเรสและข้าไม่สามารถถอยได้
ในฐานะจักรพรรดิที่เรียนจบจากอคาเดมี่ เฟเรสได้เตรียมการเรื่องระเบียบวาระนี้มานานแล้ว
ดังนั้นข้าเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสกัดกั้นอย่างสุดความสามารถ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราเปิดการโจมตีและป้องกันอย่างดุเดือดทั้งในและนอกห้องประชุมโดยที่ไม่มีใครยอมแพ้
แต่ถ้าเขารู้ว่าข้าตั้งครรภ์ขึ้นมาละก็
“จินตนาการไม่ออกเลยนะว่าจะทำหน้ายังไง”
แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจ เขาจะต้องวางเรื่องอคาเดมี่ลงอย่างเงียบๆ แน่นอน
“จะให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
การประชุมครั้งถัดไปก็คือวันพรุ่งนี้
หากโชคดี พรุ่งนี้อาจจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายที่จะหารือเรื่องอคาเดมี่ก็ได้
ต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น มันก็เป็นเรื่องที่ต้องจัดการให้เสร็จสิ้นก่อนจะถึงพิธีแต่งงานอยู่ดี
ข้ายังสามารถอดทนได้อีกหลายวัน
“ห้ามบอกใครทั้งสิ้นเอสทีร่า ไม่ว่าจะแคทเธอรีน หรือใครก็ตาม เข้าใจไหม”
ได้ยินคำพูดของข้า เอสทีร่าก็พยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก
“เรื่องยา คืนนี้ข้าจะนำไปให้ที่ห้องนอนด้วยตนเองค่ะ”
“ขอบใจ ฝากด้วยนะ”
เอสทีร่าเก็บอุปกรณ์ตรวจทุกชนิดทั้งหมดที่นำมาแล้วออกไปจากห้องทำงาน
ในห้องที่เงียบสงบเหลือเพียงข้าลำพังอีกครั้ง
“ไม่สิ ตอนนี้ไม่ใช่คนเดียวแล้วหรือเปล่านะ”
ข้านอนเหยียดบนโซฟาแล้วเอามือวางเหนือหน้าท้องอีกครั้ง
ความรู้สึกนี้แปลกพิลึก
เป็นเพราะมาหาเร็วกว่าที่คิดหรือเปล่านะ
นี่เป็นความรู้สึกมึนงงมากกว่าจะเรียกว่าดีใจ
ความรู้สึกนี้คล้ายกับจู่ๆ ก็ได้รับของขวัญอะไรอย่างนั้น
“จะว่าไปก็คือของขวัญแหละ” ทั้งยังเป็นของขวัญที่ชิ้นใหญ่มากด้วย
รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของตนเองผ่านผ้าผืนบาง
ต่อจากนี้ไปจะมีคนที่จะมาแบ่งปันอุณหภูมิร่างกายนี้ร่วมกันแล้ว
“สวัสดี” ข้าลองเอ่ยทักทายเบาๆ
“ข้าคือแม่ของเจ้า”
แม้จะยังรู้สึกเคอะเขินอย่างยิ่ง แต่ข้าก็รวบรวมความกล้าและลองชวนคุยต่อไป
“ยินดีที่ได้รู้จัก ในอนาคตพวกเราก็มาดีต่อกันเถอะ”
ถ้าใครมาเห็นเข้า คงเป็นภาพที่กำลังบ่นพึมพำอยู่คนเดียวแหงๆ
ข้าหัวเราะออกมาเจื่อนๆ
ท่านแม่ของข้าก็รู้สึกแบบนี้ตอนที่มีข้าหรือไม่นะ
“แต่ท่านเป็นคนที่มองเห็นอนาคต อาจจะไม่ตื่นเต้นก็ได้”
หากตอนนี้ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงได้แบ่งปันช่วงเวลานี้ร่วมกัน แล้วก็สามารถซักถามเรื่องที่สงสัยหลายๆ อย่างได้แท้ๆ
ข้าพลันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
“เจ้าจะเป็นเด็กยังไงนะ สงสัยเสียแล้วสิ”
ลูกสาว? ลูกชาย?
“แต่ถึงยังไงก็…”
อยากให้เป็นลูกสาวแฮะ
ข้ากลืนคำพูดสุดท้ายลงไป
เพราะหากเด็กในท้องเป็นลูกชายขึ้นมา เขาจะเสียใจเอาน่ะสิ
“ลืมตาขึ้นมาอย่างแข็งแรงก็พอ” คำพูดนี้ออกมาจากใจจริง
ไม่มีสิ่งใดที่ข้าต้องการเป็นพิเศษ
เพราะเหตุใดสตรีที่อ่อนล้าหมดแรงหลังจากเพิ่งคลอดถึงได้เริ่มนับจำนวนนิ้วมือและนิ้วเท้าของบุตรเป็นอย่างแรก
ตอนนี้ข้าเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นได้อย่างถ่องแท้แล้ว
หืมม มีอะไรที่ต้องพูดให้ฟังอีกนะ
อ๊ะ จริงสิ
“หน้าเหมือนพ่อแล้วกันนะ”
เด็กทารกตัวน้อยที่หน้าตาคล้ายกับเฟเรสอย่างนั้นเหรอ
แค่คิดก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำแล้ว
“แต่จะว่าไป พ่อของเจ้า…จะเรียกว่ายังไงดีล่ะ”
รู้สึกไม่ชินเลยจริงๆ พอต้องเรียกเฟเรสด้วยคำว่า ‘พ่อ’
แต่ก็นั่นแหละนะ
ถ้าข้ากลายเป็นแม่ เฟเรสก็ต้องเป็นพ่อด้วยสิ
กลายเป็นพวกเรา กลายเป็นพ่อกับแม่ กลายเป็นบุพการีแล้ว
“คงจะ…ชอบแหละเนอะ?”
เฟเรสที่มักจะกลายเป็นตุ๊กตาไม้ไขลานอย่างกะทันหัน ในทุกครั้งที่ยกเรื่อง ‘ลูก’ ขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาเป็นครั้งคราว
“อุ๊บส์” คงจะตกใจไม่น้อยเชียวละ
“จบเรื่องอคาเดมี่แล้วคงต้องบอกเขาเป็นคนแรกเลย จะได้ไม่ไปน้อยใจทีหลัง”
จะมีปฏิกิริยาแบบไหนกันแน่นะ
ปากรู้สึกคันยุบยิบเพราะความสงสัยที่เริ่มตั้งแต่ตอนนี้
“ไม่ใช่ว่าจะสลบไปเลยหรอกนะ” ข้าหัวเราะคิกคักพลางลูบท้องน้อยแผ่วเบาราวกับเป็นสิ่งที่เคยชินมาสักพักแล้ว
***
วันต่อมา
“อึ้ก…” ด้านในรู้สึกปั่นป่วนอย่างรุนแรงเมื่อรถม้าหยุดชะงัก
แม้จะกินยาที่เอสทีร่านำมาให้เมื่อคืนแล้วก็ตาม แต่น่าเสียดายที่นางบอกว่าต้องใช้เวลาอีกหลายวันยาจึงจะออกฤทธิ์อย่างเต็มที่
“อ่า หนักกว่าเมื่อวานอีก” ที่ผ่านมามันหยุดอยู่แค่ระดับที่ไม่อยากอาหารเท่านั้น
แต่เช้าวันนี้ข้าไม่สามารถกินข้าวได้เลย
เพราะกลิ่นออมเล็ตที่เคยชอบในเวลาปกติเหม็นเหลือเกิน
โชคดีที่ไม่ได้อาเจียนออกไปบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าที่มีคนอื่นในครอบครัวมารวมตัวกัน
“ท่านพี่ ไม่อย่างนั้นก็เลื่อนการประชุมในวันนี้ออกไปก่อนดีไหมครับ ท่าทางดูไม่ดีมากเลย…”
เครนีย์เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
เอสทีร่าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับตามที่ข้าสั่ง
บางทีตอนกลางดึก แคทเธอรีนกับเครย์ลีบันก็อาจจะไปหาแล้วซักถามนาง แต่พวกเขาก็คงทำได้แค่กลับไปโดยที่ไม่ได้รับคำตอบใด
นางคงจะแต่งเรื่องทำนองว่า ‘ร่างกายไม่สามารถเอาชนะความเครียดและการโหมทำงานหนักได้’ เท่านั้น
เมื่อเช้านี้ พอทุกคนเห็นข้าที่ทำไม่ได้แม้แต่กินข้าวก็เป็นกังวลอย่างมาก
ถึงขนาดที่ทำให้ข้ารู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกเรื่องตั้งครรภ์ออกไป
‘แต่ก็นะ ถ้าพูดออกไปตามจริงคงวุ่นวายยิ่งกว่านี้อีก’
ไม่แน่ว่าทันทีที่แจ้งข่าวออกไป ข้าอาจจะถูกแฝดคนใดคนหนึ่งอุ้มขึ้นแล้วนำไปส่งบนเตียงนอนทั้งอย่างนั้นเลยก็ได้
จากนั้นเฟเรสก็จะมาหาด้วยสีหน้าซีดเผือด ส่วนท่านพ่อที่อยู่เชซายูก็จะขี่ม้ามาโดยไม่เลือกว่าเป็นเวลาใด…
แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
ขณะเดียวกับที่รู้สึกเศร้าขึ้นมา พอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ข้าต้องจัดการในสักวันหนึ่ง
“ข้าไม่เป็นไรเครนีย์ แค่วันนี้เมารถม้ามากเป็นพิเศษเฉยๆ เพราะว่าข้าไม่ค่อยสบายน่ะ”
“แต่ถึงอย่างนั้น…”
“ไม่ต้องห่วงข้า เดี๋ยวลงจากรถม้าก็ดีขึ้นแล้ว จะว่าไป เจ้าเตรียมข้อมูลประชุมเรียบร้อยหรือยัง?”
วันนี้เครนีย์จะรับหน้าที่พูดเหตุผลและผลลัพธ์ทางตัวเลขอย่างเป็นรูปธรรมอยู่ด้านข้างข้า ซึ่งจะช่วยเสริมพลังให้กับจุดยืนของกลุ่มขุนนาง
“ครับ ท่านพี่”
ดวงตาของเครนีย์เปล่งประกาย
แม้เครนีย์จะเป็นคนประเภทที่ไม่สามารถผลักดันจุดยืนของตนเองหรือจัดการฝ่ายตรงข้ามได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ว่าเขามีจุดเด่นในด้านการคำนวณที่แม่นยำและการให้หลักตรรกะที่เป็นเหตุเป็นผลต่อข้อเท็จจริง
แม้แต่ข้าก็ยังรู้สึกคล้อยตามอยู่บ่อยๆ กับข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เขาสาธยายออกมาด้วยใบหน้าที่สุขุมเป็นพิเศษ
“ดี วันนี้พวกเรามากลับบ้านเร็วกันสักครั้งเถอะ”
มันเป็นคำพูดที่ใช้เรียกพลังก่อนเริ่มประชุมและเป็นความปรารถนาอันแรงกล้าในเวลาเดียวกัน
ข้าอยากเลิกงานเร็วๆ!
“ครับ ท่านพี่ ไม่รู้ทำไมวันนี้ข้ารู้สึกลางสังหรณ์ดีแปลกๆ”
“เจ้าก็ด้วยเหรอ? ข้าก็เหมือนกัน”
ทั้งที่คิดแบบนั้นแท้ๆ
“…อึก”
พอเปิดประตูห้องประชุมออก กลิ่นอาหารฉุนกึกก็โอบล้อมข้าทันที