เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 36
SPIN-OFF บทที่ 36
เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ
ข้าย้อนถามกลับไปอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“เจ้าจะย้ายที่อยู่?”
“อืม”
ต่างจากข้าที่ยังสับสน เฟเรสทำเพียงยิ้มเหมือนเป็นเรื่องปกติเท่านั้น
ดูเหมือนตอนนี้เขาจะไม่ได้ล้อเล่นเลยนะ
“เจ้าเป็นจักรพรรดินะเฟเรส มันสมเหตุสมผลเหรอที่จักรพรรดิจะมานอนที่อื่นที่ไม่ใช่พระราชวัง”
“ข้าจะเดินทางไปกลับจากพระราชวัง งานราชการจะทำที่นั่น ส่วนตอนดึกก็จะกลับมาที่นี่”
“การแบ่งเวลาแบบนั้นทั้งที่ยุ่งมากๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ เฟเรส”
“เทียทำได้นี่นา”
ข้าพูดไม่ออก
“เทียมาเข้าร่วมประชุมที่พระราชวัง แล้วก็ยังกลับมาทำงานของลอมบาร์เดียอีกไม่ใช่เหรอ”
มันเป็นแบบนั้นก็จริง
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ”
ทันทีที่ข้าตั้งใจจะแย้งกลับ นิ้วของเฟเรสก็ถูหลังมือของข้าอย่างแผ่วเบา
“แค่หนึ่งปี นะ?”
“หนึ่งปี…?”
“อืม หลังจากนั้นจะทำตามความต้องการของเทีย”
เฟเรสเอียงศีรษะเล็กน้อยพลางกล่าว
ผมหน้าม้าที่ปล่อยลงมาอย่างสบายๆ เพราะยังเช้าอยู่ ขยับเบาๆ ไปตามการเคลื่อนไหวนั้น
ดวงตาที่เหมือนกับเม็ดทับทิมที่ไม่มีพิษไม่มีภัยในโลกกำลังรอแค่คำตอบจากข้า
“ถ้าแค่หนึ่งปีละก็…”
ข้าพึมพำไปอย่างเหม่อลอยโดยที่ไม่รู้ตัว
ไม่สิ ตั้งสติก่อน
จะพ่ายแพ้กลยุทธ์คนงามไม่ได้
แต่สติที่คืนกลับมาเล็กน้อยก็ต้องหวั่นไหวอีกครั้งกับคำพูดต่อมา
“เป็นเพราะข้าเป็นห่วงเทีย”
“เป็นห่วงข้าเหรอ?”
“ใช่ อีกหน่อยร่างกายก็น่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็มีส่วนที่ไม่สบายตัวมากขึ้น ข้าก็ต้องคอยอยู่ข้างๆ สิ”
เรื่องนั้นมันก็จริงอยู่หรอก
ตอนนี้ข้าอยู่ในระยะเริ่มต้นของการตั้งครรภ์จึงยังไม่มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ แต่ในอนาคตการกลับไปกลับมาระหว่างพระราชวังและลอมบาร์เดียคงจะกลายเป็นภาระมากขึ้นเรื่อยๆ
“ทำตามที่ฝ่าบาทว่าดีไหม”
ท่านพ่อช่วยสนับสนุนคำพูดของเฟเรส
“จริงอยู่ว่าเดิมทีเทียควรจะพักที่วังจักรพรรดินี แต่เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่พิเศษในหลาย ๆ ด้านใช่ไหมล่ะ อีกอย่างการมาพักที่บ้านภรรยาหลังแต่งงาน แล้วค่อยย้ายไปอยู่บ้านของตนเองเมื่อต้องการ ก็เป็นธรรมเนียมของเหล่าชนชั้นสูงด้วย”
คำพูดของท่านพ่อไม่มีส่วนไหนที่ผิด
ชนชั้นสูงคนอื่นๆ ก็ดำเนินชีวิตกันเช่นนั้น
“อืมม”
ท่านพ่อกับเฟเรสมองข้าด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มนุ่มนวลราวกับรวมใจกันเป็นหนึ่ง
ข้ามองสองคนนั้นสลับไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าลงในที่สุด
“ทำตามที่เจ้าต้องการเถอะเฟเรส”
“ขอบใจนะ”
เฟเรสจุมพิตลงบนหลังมือของข้า
ในท้ายที่สุดเฟเรสก็ตัดสินใจพักอยู่ที่ลอมบาร์เดียและเดินทางไปกลับยังพระราชวัง
แต่ข้ารู้สึกค้างคาใจยังไงชอบกล
ข้ากวาดตามองรอบข้างด้วยดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อย แต่ก็พบว่าคนอื่นๆ ในครอบครัวก็แค่กำลังกินข้าวกันต่อด้วยใบหน้าสงบสุขเท่านั้น
นี่มันรู้สึกเหมือนพลาดท่าแล้วยังไงไม่รู้
***
หลายวันต่อจากนั้น หลังจากเฟเรสยื่นข้อเสนอว่าจะเดินทางไปกลับจากพระราชวัง
ชีวิตประจำวันแบบใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น
“ไม่สิ ก็นึกว่าจะเป็นแบบนั้นเสียอีก”
อันที่จริง มันเหมือนเดิมมากจนน่าตกใจ
ทั้งที่คิดว่าหลังจากแต่งงานแล้ว จะต้องเจอเรื่องเซอไพรส์ต่างๆ และม่านผืนใหม่ของชีวิตจะถูกยกขึ้นเสียอีก
ชีวิตประจำวันของข้ายังคงคล้ายกับก่อนหน้านี้
เว้นก็แต่เวลาที่ต้องจัดการงานเกี่ยวกับราชวงศ์หนึ่งครั้งต่อวันที่เพิ่มขึ้นมานะ
ก๊อกก๊อก
มีผู้คนสวมชุดขุนนางของกรมวังเข้ามาในห้องทำงานที่เคยมีแต่คนในลอมบาร์เดียเข้าๆ ออกๆ ตลอดทั้งวัน
แม้จะเป็นภาพที่เห็นมาหลายวันแล้ว แต่ข้าก็ยังรู้สึกแปลกใหม่ทุกครั้งอยู่ดี
“องค์จักรพรรดินี ไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นเวลาเดียวที่ข้าจะถูกเรียกว่า ‘จักรพรรดินี’
“เมื่อวานก็เพิ่งเจอเอง เจ้าล่ะสบายดีไหม?”
“อ่า พ่ะย่ะค่ะ ต้องขอบคุณพระองค์ กระหม่อมก็เลยสบายดีพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของที่ปรึกษาจากกรมวังดูมึนงงขณะที่ตอบกลับ
เห็นว่าเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับราวีนี่ อังเกนัสด้วย
ดูท่าจะยังไม่ชินกับท่าทางสบายๆ ของข้าอย่างสิ้นเชิง
ข้ายิ้มให้ท่านที่ปรึกษาที่มีท่าทางเช่นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น
“วันนี้เอางานอะไรมาเหรอ”
“เป็นเรื่องการปรับปรุงวังโฟอิรัคพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นนั้นเอง” ข้ากวาดสายตามองเอกสารที่ท่านที่ปรึกษาส่งให้ไปทีละแผ่น
เดิมทีข้าวางแผนไว้ว่าจะเดินทางไประหว่างกลับลอมบาร์เดียกับพระราชวัง
แต่พอเฟเรสย้ายที่พักมาอยู่ที่ลอมบาร์เดีย สภาพแวดล้อมที่ทำให้ข้าสามารถทำงานของจักรพรรดินีที่นี่ได้ก็เกิดขึ้นโดยปริยาย
กล่าวโดยสรุปก็คืออัตราของงานที่สามารถทำได้มากขึ้นนั่นเอง
“เป็นไปได้ไหมที่เราจะเลื่อนการต่อเติมสวนตรงนี้ไปเป็นช่วงฤดูร้อน? ข้าคิดว่าเราควรซ่อมแซมเรือนกระจกก่อนที่จะถึงฤดูฝนแทน…”.
ท่านที่ปรึกษาฟังสิ่งที่ข้าพูดและวุ่นกับการจดลงไปตลอดเวลาที่ข้าสาธยายความคิดเห็นหลายอย่างออกมา
“ถ้างั้นทางใต้ของวังโฟอิรัคก็เอาเป็นรูปแบบนั้น ส่วนปัญหาจริงๆ ก็คือทางตะวันตก”
“คือ องค์จักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ข้าพูดรายละเอียดจบส่วนหนึ่ง ที่ปรึกษาก็เปิดปากพูด
“มีอะไรเหรอ?”
“การปรับปรุงวังโฟอิรัคไม่ใช่เรื่องด่วนถึงขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพราะงั้นค่อยๆ ใช้เวลาคิดอีกหน่อยก็ได้… ”
“อ๊ะ อย่างนั้นเหรอ ถ้างั้นเรื่องด่วนคืออะไรล่ะ?”
ได้ยินคำถามของข้า ที่ปรึกษาก็ลังเลใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับ
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
ข้าโคลงศีรษะไปมาเพราะไม่ค่อยเท่าใจเท่าไรนัก
“ไม่มีเหรอ?”
“พวกงานที่เร่งด่วน พระองค์จัดการเรียบร้อยไปหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หมดแล้ว?”
ข้าย้อนนึกถึงเอกสารต่างๆ ที่สลับมาวางบนโต๊ะของข้าตลอดหลายวันที่ผ่านมา
มีแค่ไม่กี่เรื่องเองจริงๆ นะ?
ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจความเงียบของข้าไปในทางไหน ที่ปรึกษาจึงกล่าวเสริมอย่างระมัดระวัง
“กระหม่อมขอบังอาจคาดเดาว่าเป็นเพราะความสามารถของกระหม่อมต่ำต้อย จนทำให้พระองค์ไม่พอใจในการจัดการงานของกรมวังใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
รู้สึกว่าสิ่งที่พูดมันชักจะดำเนินไปในทางแปลกๆ แล้ว
“ในอนาคตกระหม่อมจะทำสุดความสามารถยิ่งขึ้นและทุ่มเทจิตใจดูแลพระองค์ เพราะฉะนั้นได้โปรดอย่าฝืนจนเกินไป…”
ดูเหมือนจะเกิดความเข้าใจผิดอย่างรุนแรงขึ้นแล้ว
ข้ายกมือขึ้นมาข้างหนึ่งพลางกล่าว
“ไม่ ข้าไม่เคยฝืนเลยนะ เซอร์สไตน์”
ดวงตาทั้งสองข้างที่มีริ้วรอยเล็กน้อยของชายวัยกลางคนพลันเบิกโพลง ราวกับคิดไม่ถึงว่าข้าจะจำชื่อของตนเองได้
“แล้วก็ไม่เคยไม่ถูกใจความสามารถในการทำงานของท่านกับกรมวังด้วย ข้ายังประหลาดใจอยู่ทุกครั้งด้วยซ้ำ ไม่ต้องกังวลไป”
“องค์จักรพรรดินี…”
“ข้าขอโทษในส่วนที่ข้ารีบเร่งไปอย่างไม่ตั้งใจนะ กรมวังก็น่าจะมีรูปแบบการจัดการในแบบของกรมวังเอง แต่ข้ามองข้ามและผลักมันไปตามรูปแบบของข้าในยามปกติเสียแล้วสิ”
“ขะ ขอโทษอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์สไตน์ตกใจจนโบกมือไปมา “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพูดไปเพียงเพราะกังวลว่าสุขภาพของพระองค์ที่ต้องดูแลตระกูลลอมบาร์เดียด้วยจะย่ำแย่เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่พูดด้วยความหวังดีต่อข้า แต่ข้าไม่ได้ฝืนอะไรเลย ข้าสนุกด้วยซ้ำนะที่ได้เรียนรู้งานใหม่ๆ”
เป็นเวลานานแล้วที่ข้าเคยชินกับงานในฐานะเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียซึ่งเคยเกินความสามารถในตอนแรก
สำหรับข้าคนนี้ สิ่งใหม่ๆ ที่ได้ทำในฐานะจักรพรรดินีเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี
“เพราะฉะนั้นในอนาคตก็ฝากด้วยนะ เซอสไตน์ อ๊ะ แต่ว่าถ้าเกิดข้าล้ำหน้าไปก่อนอย่างเช่นคราวนี้ก็บอกได้เสมอเลย”
“องค์จักรพรรดินี…”
ดวงตาทั้งสองข้างที่มองข้าของเซอร์สไตน์มีกระทั่งหยดน้ำบางๆ คลออยู่
เป็นสถานการณ์ที่รู้สึกคุ้นตาแปลกๆ
ข้าเคยเห็นสีหน้าแบบนั้นมาก่อนเมื่อไรนะ
“กระหม่อมก็ขอฝากตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เซอร์สไตน์ค้อมตัวลงจนสุด
“ได้สิ ได้” ข้าเปลี่ยนหัวข้อราวกับจะปลอบโยนเซอร์สไตน์ที่เป็นแบบนั้น
“ถึงจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องด่วนก็เถอะ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ พวกเรามาคุยเรื่องที่เริ่มขึ้นแล้วอย่างวังโฟอิรัคกันต่ออีกหน่อยดีไหม เซอสไตน์?”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
ดูเหมือนว่าเราจะกลายเป็นทีมที่เข้าขากันได้ดีในอนาคต
***
พอลองคิดๆ ดูแล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่เปลี่ยนไปในชีวิตประจำวัน
“วันนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะ เทีย”
ทันทีที่กลับเข้ามาในห้องนอนหลังจากเลิกงาน เฟเรสที่เอนกายอ่านหนังสืออยู่บนเตียงก็เอ่ยทักทายข้า
ช่างเป็นความรู้สึกที่ประหลาดจริงๆ
หลังจากหมดวันและกลับมาก็จะได้เจอกับเฟเรสที่กำลังรอข้าอยู่เสมออย่างนั้นเหรอ
พอเห็นข้ายืนใจลอยไม่ขยับเขยื้อน เฟเรสก็ปิดหนังสือแล้ววางลง ก่อนจะลุกเดินเข้ามาหา
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ?”
สัมผัสจากมือที่คุ้นเคยช่วยเสยผมขึ้นไป
“ในอนาคตน่ะนะ”
“หืม เทีย”
“ในอนาคตก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ใช่ไหม?”
แบบนี้สินะที่เรียกว่าการแต่งงาน
ความตระหนักรู้ที่ช้าไปเล็กน้อยพลันโถมทะลักเข้ามา
มองเห็นใบหน้าของกันและกันเป็นสิ่งแรกเมื่อลืมตาตื่น และก่อนเข้านอนก็อบอุ่นร่างกายด้วยไออุ่นของกันและกัน
เฟเรสยิ้มอย่างดีใจ เหมือนเขาจะเข้าใจความรู้สึกที่ข้าไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ทั้งหมด
“อืม จะเป็นเช่นนั้น นานแสนนานเลยละ”
“…การแต่งงานนี่เป็นสิ่งที่สุดยอดกว่าที่คิดไว้เลยนะ”
“นั่นสินะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ข้าอยากได้จากเทียมานานมากแล้ว”
“นานมากแล้ว? นานแค่ไหนกัน?”
“อืมม อาจจะตั้งแต่วันที่เทียให้ลูกกวาดกับข้า?”
“โกหก” เฟเรสในตอนนั้นเป็นเจ้าหนูอายุสิบขวบเอง
จะบอกว่าคิดถึงเรื่องนั้นมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยอย่างนั้นเหรอ?
“เรื่องจริงนะ” เฟเรสหัวเราะออกมาเบาๆ
“ข้าคิดอยู่เสมอ คิดว่าสักวันหนึ่งจะสามารถอยู่เคียงข้างเทียได้ จินตนาการถึงวันที่รอเพียงไม่กี่ชั่วโมงแล้วเจ้าก็จะมาหาข้า ไม่ใช่เวลาเนิ่นนานเหมือนอย่างในตอนนั้น”
“อ๋า พูดแบบนั้นแล้วข้าจะทำยังไงเล่า”
ข้าดูเป็นคนเลวมากเลยนี่นา
ทันทีที่ข้าผลักแผงอกของเขาเบาๆ เฟเรสก็จับมือข้างนั้นเอาไว้และจุมพิตลงไป
“เพราะงั้นตอนนี้ข้าจึงรู้สึกเหมือนฝันเลย ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาในรถม้าที่กำลังมาลอมบาร์เดีย ทั้งช่วงเวลาที่มาถึงห้องนอนก่อนและรอคอยเจ้า สำคัญทุกช่วงเวลาเลย”
“เฟเรส เจ้า…” เสียงของข้าสั่นน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ “เจ้าชอบข้ามากจริงๆ สินะ”
“ข้าบอกอยู่เสมอไม่ใช่เหรอ ว่าเทียสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกนี้ทั้งสิ้น”
พูดจบ ริมฝีปากอุ่นๆ ก็แตะลงมาเบาๆ
กลิ่นกายของเฟเรสซึมซาบออกมาอย่างนุ่มนวล
เอาแต่เป็นฝ่ายรับความรักแบบนี้จะดีเหรอ
ปลายจมูกที่เฉียดกันพลันตื้อขึ้นมา
ข้าเขย่งส้นเท้าขึ้นเล็กน้อยแล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากอันเกลี้ยงเกลาอย่างที่เฟเรสชอบทำกับข้าจนติดเป็นนิสัย
“ข้า ข้าเองก็จะดีขึ้นให้มากกว่านี้นะ”
เฟเรสที่กะพริบตาปริบๆ คล้ายตกใจจุมพิตจากข้าอยู่บ้าง เขากอดข้าแน่นขึ้นพลางกล่าว
“ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอก เพราะว่าเทียน่ะดีพอแล้ว ขอแค่”
“ขอแค่?”
“ขอแค่ให้ข้าสามารถพูดอะไรแบบนี้ไปได้ทุกวันก็พอ”
เฟเรสขยับเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยกระซิบ
“ลำบากแล้วนะ”
ลมหายใจที่รู้สึกได้บนผิวที่ไวต่อความรู้สึก ทำให้ข้าหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว
“ยินดีต้อนรับกลับนะครับ คุณผู้หญิง”
“…เหมือนคนโง่เลย”
ข้าฟังเสียงหัวเราะของเฟเรสที่ดังอยู่ข้างใบหูพลางกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น
ด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนกระทั่งท่อนแขนปวดตึง
แล้วให้สัญญา
ว่าจะเป็นคนที่เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวให้มากกว่านี้ เพื่อไม่ให้ความรักใคร่ที่พรั่งพรูมอบให้ข้าในเวลานี้หล่นหายไปแม้แต่นิดเดียว