เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 37
SPIN-OFF บทที่ 37
“อืมม”
สัมผัสมือที่นวดอยู่ที่เท้าเบาๆ ทำให้ข้าตื่นขึ้น
ทันทีที่เปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง ก็มองเห็นเฟเรสนั่งอยู่ตรงปลายเท้าของข้า
อาจเพราะเตรียมตัวสำหรับเดินทางไปพระราชวังเรียบร้อยแล้ว เฟเรสที่อยู่ในภาพลักษณ์ของจักรพรรดิตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังนวดเท้าของข้าอยู่
“สวัสดี”
ข้ากล่าวทักทายยามเช้าด้วยเสียงงัวเงียเล็กน้อย
ตอนนั้นเองที่ใบหน้าไร้อารมณ์ของเฟเรสพลันมีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้น
“หลับสบายดีไหม เทีย”
ตอนนี้เข้าสู่เดือนที่สี่ของการตั้งครรภ์แล้ว น้ำหนักของเฟเรสลดลงอย่างมาก
เป็นเพราะอาการแพ้ท้องที่ต่อเนื่องมาจนถึงเมื่อไม่นานมานี้
และอาจเพราะอย่างนั้น ข้าจึงได้ยินมาว่าเหล่าที่ปรึกษาในพระราชวังต่างก็หวาดกลัวเฟเรสที่อารมณ์อ่อนไหวและฉุนเฉียวมากกว่าเดิมกันอย่างยิ่ง
แต่เฟเรสที่คอยดูแลข้ายังอบอุ่นเหมือนกับฤดูใบไม้ผลิเช่นเดิม
“บอกว่าไม่ต้องทำแบบนี้ทุกเช้าก็ได้”
แค่ตื่นมาฝึกตอนเช้ามืดทุกวัน แล้วออกไปทำงานที่พระราชวังก็ยุ่งแล้วแท้ๆ
เฟเรสแบ่งเวลาเหล่านั้นมานวดเท้าให้ข้าโดยไม่ตกหล่นเลยสักวันเดียว
“ในเวลาแบบนี้ยังหลับตาพักต่อได้อีกหน่อยนี่นา”
แต่เฟเรสส่ายหน้า
“ร่างกายเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เพราะงั้นเท้าก็จะต้องทำงานหนักเหมือนกัน ตอนนี้ข้าจะนวดให้แค่ตอนเช้าก่อน แต่เดือนหน้าเป็นต้นไปข้าจะเริ่มนวดให้ทุกเย็นด้วยนะ”
ก่อนหน้านี้ข้าเคยห้ามไปหลายครั้งแล้ว แต่เฟเรสแน่วแน่มาก
“…ห้ามไม่ฟังเลย ให้ตายเถอะ”
ถึงข้าจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้ดึงเท้าออก
ทำเพียงหลับตาอย่างเกียจคร้าน รับความรู้สึกสบายที่กระจายขึ้นมาจากฝ่าเท้า
ตามที่เอสทีร่าบอก ตั้งแต่เดือนที่สี่ไปจะเข้าสู่ระยะมั่นคงแล้ว
อาจเพราะอย่างนั้น โชคดีที่ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วอาการแพ้ท้องของเฟเรสจึงทุเลาลงเล็กน้อย
“กินข้าวเช้าหรือยัง?”
“อืม กินไปนิดหน่อย”
“ยังกินอาหารที่จัดให้ไม่ได้เหรอ?”
เฟเรสยิ้มขื่นออกมาแทนคำตอบเมื่อได้ยินคำถามของข้า
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟเรสประคองชีพมาได้อย่างยากลำบากด้วยของอย่างพวกผลไม้และบิสกิตเพราะแพ้ท้องแทนข้า
ถึงแม้ไม่นานมานี้สามารถกินขนมปังและซุปอ่อนๆ ได้แล้ว แต่ว่าก็ยังไม่เพียงพอ
เฟเรสที่เป็นเช่นนั้นทำให้ข้าทั้งรู้สึกขอบคุณ ทั้งรู้สึกผิดและรู้สึกทุกข์ใจ
“ทำยังไงดี เจ้าต้องลำบากถึงขนาดนี้ ถ้าหายแพ้ท้องไวๆ ก็คงดี”
“ไม่เป็นไร ข้าพอทนได้”
เฟเรสย้ายมือไปที่เท้าอีกข้างพลางกล่าว
“แทนที่จะให้เทียลำบาก สู้ให้ข้าเหนื่อยหน่อยยังดีกว่า”
“…ข้าคิดถูกจริงๆ ที่แต่งงาน”
ทันทีที่ข้าพึมพำขึ้นมาพร้อมกับที่จงใจกระดิกนิ้วเท้า เฟเรสก็หัวเราะออกมา
มือใหญ่ช่วยคลายกล้ามเนื้อตั้งแต่น่องจนถึงฝ่าเท้าอย่างชำนาญ
ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้เลยจริงๆ
พอเห็นเฟเรสเริ่มตั้งใจโดยที่ไม่พูดอะไรอีกครั้ง ดวงตาของข้าก็ค่อยๆ ปิดลงเรื่อยๆ
“วันนี้วันหยุดพักผ่อนใช่ไหมเทีย?”
“อือ”
“งั้นก็นอนต่ออีกหน่อยเถอะ ต้องเติมพลังหน่อยสิ”
อาจเพราะถึงเวลาออกเดินทางแล้ว เฟเรสจึงลุกขึ้นเดินเข้ามาจุมพิตข้า
“อืม เอางั้นเหรอ”
ไม่รู้เพราะไม่ได้หยุดมานานแล้วหรือเปล่า ร่างกายที่หนักอึ้งรู้สึกเหมือนกำลังจมลงไปในเตียงนอน
ทั้งที่ควรจะพูดลาว่าเดินทางปลอดภัยนะก่อนแท้ๆ
“เดี๋ยวข้ากลับมานะ เจอกันตอนเย็นนะเทีย”
เสียงกระซิบอันทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับที่ข้ารู้สึกได้ถึงความร้อนที่สัมผัสอยู่ตรงท้องที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้นทีละน้อยครู่หนึ่ง ก่อนจะจมสู่นิทราอีกรอบ
ตอนที่ข้าลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง ก็ใกล้จะถึงเวลาเที่ยงวันแล้ว
“หลับสนิทเลยแฮะ”
หลังจากบิดขี้เกียจอย่างสดชื่นรอบหนึ่ง ข้าก็ลูบหน้าท้องที่เกือบแบนราบอย่างเคยชิน
ใจจริงข้าอยากนอนพักแบบนี้ต่อไปอีกหน่อย แต่เพื่อลูกแล้ว ข้าต้องไปกินข้าว
ข้ามุ่งหน้าไปห้องอาหารหลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างง่ายๆ ด้วยความช่วยเหลือของแคทเธอรีน
“กินข้าวอยู่เหรอคะ ท่านป้า?”
“อ๊ะเทีย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ชานาเนสที่กินอาหารกลางวันอยู่ในห้องอาหารก่อนแล้วกล่าวทักทายข้าอย่างยินดี
ข้าเอื้อมมือออกไปหยิบขนมปังท่ามกลางอาหารส่วนของข้าที่เพิ่งถูกยกเข้ามาพลางเอ่ยถามขึ้น
“ช่วงนี้ยุ่งใช่ไหมคะ?”
ช่วงนี้ชานาเนสยุ่งมากเพราะเหมืองแร่ใหม่ที่ค้นพบบริเวณพรมแดนระหว่างเชซายูกับเซอเชาว์
“เป็นเช่นนั้น มีเรื่องที่ยุ่งยากด้วยอะไรหลายๆ อย่างไม่ใช่เล่นเลย”
ท่านพ่อผู้เป็นเจ้าเมืองเชซายูได้มอบหมายให้ทางธุรกิจเหมืองแร่ลอมบาร์เดียบุกเบิกสายแร่ที่ถูกค้นพบ ส่วนชานาเนสรับหน้าที่ในส่วนของการเจรจาแทนท่านพ่อ
“ถ้าหากว่าต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือกลุ่มการค้าเพลเลส บอกได้ทุกเมื่อเลยนะคะ”
“ยังไม่เป็นไร เนื้องานน่ะไม่ยากหรอก แต่ว่า…”
คำพูดช่วงสุดท้ายของชานาเนสเลือนหายไปอย่างไม่สมกับเป็นนาง
อะไรกัน?
รู้สึกสังหรณ์ใจว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
ข้าจงใจถามออกไปอย่างไม่ให้ความสำคัญ
“มีคนที่ทำตัวน่ารำคาญอยู่คนหนึ่ง”
“ทำตัวน่ารำคาญอย่างนั้นเหรอคะ? มาขัดขวางการทำงานเหรอคะ?”
“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นความจริงที่ทำให้ข้าปวดหัว”
แต่สีหน้าที่กล่าวเช่นนั้นของชานาเนสดูแปลกชอบกล
“ตัวอย่างเช่น?”
“ส่งดอกไม้หรือไม่ก็พวกใบชามาให้บ่อยๆ ถ้าเจอกันโดยบังเอิญก็จะเข้ามาชวนคุย”
…นี่ ใช่แบบที่ข้าคิดไหมนะ?
“แล้วก็ทำตัวตลกอย่างที่ไม่สมกับเป็นเขาด้วย”
ใช่เลย ใช่แบบนั้นเลย
“ท่านป้า หรือว่านั่น…”
“จะต้องมีแผนการอะไรในใจแน่” ชานาเนสหั่นเนื้อพลางหรี่ตาลง
ดูเหมือนจะเข้าใจสัญญาณที่ทางนั้นส่งมาให้ไปคนละทิศทางเลยนะ
ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ชักจะรู้สึกสงสารขึ้นมาหน่อยแล้ว
“ท่านป้าจะบอกว่าอีกฝ่ายชอบส่งดอกไม้กับชามาให้บ่อยๆ ชอบมาชวนคุยแล้วก็ยิ้มให้อย่างนั้นใช่ไหมคะ”
“ใช่ ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนนิสัยแบบนั้นเลยนะ”
“ไม่ใช่ว่าคนคนนั้นสนใจในตัวท่านป้าเหรอคะ?”
กึก
การเคลื่อนไหวของชานาเนสพลันหยุดชะงัก
“…สนใจ?”
“ใช่ค่ะ ดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่ทำให้คนที่ชอบหรือว่ามีความสนใจน่ะค่ะ”
ข้าแอบหยั่งเชิงชานาเนส
หลังจากประเมินอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ชานาเนสก็ส่ายศีรษะอย่างเด็ดเดี่ยว
“เขาไม่ใช่คนนิสัยแบบนั้น”
“แล้วเป็นคนยังไงเหรอคะ?”
“ไม่อ่อนหวาน อ่านความในใจไม่ออก เป็นพวกชอบตีหน้าซื่อ…”
ชานาเนสดื่มน้ำอึกหนึ่งราวกับต้องการสะบัดความคิดออกไปแล้วกล่าวขึ้น
“เอาเป็นว่าเขาไม่ใช่คนอย่างนั้น เรื่องของข้าพอแค่นี้ดีกว่า เจ้าล่ะเป็นยังไงบ้างเทีย”
แม้จะสงสัยว่า ‘เขา’ ที่ชานาเนสพูดถึงคือใคร แต่เดี๋ยวเวลาผ่านไปก็คงได้รู้เองละนะ
“ข้าก็เหมือนเดิมเสมอแหละค่ะ” ข้ายักไหล่พลางตอบ
“แต่สำหรับท้องแรกแล้ว ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างราบรื่น โล่งอกไปทีนะ ตอนนี้เกินสี่เดือนแล้วใช่ไหม?”
“ค่ะ ใกล้จะห้าเดือนแล้วค่ะ”
“อีกไม่นานก็จะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์แล้วสินะเนี่ย”
“เคลื่อนไหว…เหรอคะ?”
“ใช่แล้ว คิลลีวูกับเมโลนนะ เตะท้องทันทีที่มีขาเลย ทำเอาข้านอนไม่ได้เลยละ”
ชานาเนสฉีกยิ้ม
“แต่โชคดีที่ข้ามอบตำแหน่งงานทั้งหมดให้เวสตินหลังจากที่รู้ว่าตั้งครรภ์ เพราะข้าสามารถนอนกลางวัน แล้วก็ยังดูแลครรภ์ได้ด้วย”
“อย่างนี้นี่เอง…”
การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ การดูแลครรภ์
สมองพลันสับสนเพราะคำศัพท์ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน
“จริงสิ เทียดูแลครรภ์ยังไงบ้างล่ะ”
ในคราวนี้ข้าไม่อาจตอบกลับไปได้
เพราะไม่มีอะไรที่ข้าทำเพื่อดูแลครรภ์โดยเฉพาะเลย
พอเห็นข้ายิ้มอย่างคลุมเครือและประหยัดคำพูด ชานาเนสก็ผงกศีรษะ
“แต่ก็นะ คงไม่สามารถหาเวลาได้เพราะว่างานยุ่งสินะ”
“จำเป็นต้องดูแลครรภ์เป็นพิเศษด้วยเหรอคะ”
ข้าพอรู้มาบ้าง
ฟังเพลง วาดรูป ไปเที่ยว
เหล่าชนชั้นสูงในอาณาจักรจะเดินทางไปพักผ่อนยังบ้านพักตากอากาศที่วิวทิวทัศน์งดงามเพื่อดูแลครรภ์ทันทีที่ทราบว่าตั้งครรภ์ก็ว่าได้
“ไม่รู้สิ มันก็แล้วแต่คนไม่ใช่หรือ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ร่างกายของแม่ต้องผ่อนคลายต่างหาก”
“นั่นสิ…นะคะ”
“แต่ว่าไม่ต้องรู้สึกกดดันเกินไปหรอกนะ อะไรที่ทำให้เจ้ามีความสุข ลูกก็จะมีความสุขไปด้วยเหมือนกัน”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะท่านป้า”
แม้ข้าจะยิ้มและพยักหน้าให้ แต่ในสมองยังคงยุ่งเหยิงอยู่ดี
กระทั่งอาหารที่ดูน่าอร่อยจนถึงเมื่อครู่นี้ก็ยังไม่อยากเอื้อมมือไปแตะอีกต่อไป
“ดูแลครรภ์….”
ทำไมข้าถึงไม่คิดถึงเรื่องนั้นกันนะ
ข้าดื่มน้ำผลไม้ที่อมหวานอมเปรี้ยวด้วยความรู้สึกหดหู่ แต่อารมณ์ก็ไม่ดีขึ้นเลย
ความรู้สึกห่อเหี่ยวคงอยู่อย่างนั้นจนข้าทำกิจวัตรประจำวันเสร็จและกลับไปที่ห้องนอน
“เคยได้ยินมาว่าถ้าตั้งครรภ์แล้วอารมณ์จะควบคุมไม่ได้อย่างที่ใจคิด ตอนนี้ก็คงเป็นแบบนั้นสินะ”
ข้านั่งลงหน้าโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงหน้าต่างพลางปลอบใจตัวเอง
“อย่ามัวเป็นแบบนี้เลย ทำงานดีกว่า”
แม้ว่าจะเป็นวันหยุด แต่ข้าก็เตรียมเอกสารง่ายๆ เอาไว้ในห้องนอนเผื่อไว้ตอนที่รู้สึกเบื่อ
ข้าพยายามสลัดความคิดต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวอยู่เรื่อยออกไป แล้วเปิดเอกสารดูทีละหน้า
“ข้าลองไปเชซายูดูสักครั้งดีไหมนะ”
ชานาเนสทำได้ดีอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนหากต้องการให้การบุกเบิกเหมืองแร่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว การเดินทางไปด้วยตนเองก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่เท่าไรนัก
“อ่า แต่เดินทางไกลคงไม่ดีสินะ เวลาแบบนี้การตั้งครรภ์มันถึงได้ไม่สะดวก…”
ชะงัก
มันเป็นคำพูดที่ข้าบ่นกับตัวเองไปโดยที่ไม่รู้ตัว
เป็นคำพูดที่ออกมาโดยที่ไม่ได้คิดก็ว่าได้
แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นคำที่จะพูดออกมาไม่ได้ด้วย
“ขอโทษ ขอโทษนะ แม่พูดผิดไปแล้ว ขอโทษจริงๆ นะ”
ถึงแม้ข้าจะรีบลูบท้องแล้วขอโทษ แต่บางทีลูกอาจได้ยินไปเรียบร้อยแล้ว
“นี่ข้าเป็นแม่จริงหรือเปล่าเนี่ย”
มัวแต่ยุ่งอยู่กับงาน แล้วยังไม่เคยคิดถึงเรื่องดูแลครรภ์เลย
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นแม่ที่คิดว่าลูกเป็นเรื่องที่ไม่สะดวกด้วย
“นี่มัน…ขาดคุณสมบัติการเป็นแม่นี่นา”
โดยที่ไม่รู้ตัว น้ำตาหยดหนึ่งก็หยดแหมะลงมา
นี่ข้ามีคุณสมบัติพอจะเป็นแม่ได้จริงหรือเปล่านะ?
ข้าฝังใบหน้าลงไปในมือทั้งสองข้าง
ชานาเนสฝากฝังงานทั้งหมดที่กำลังทำให้สามี แล้วตั้งใจดูแลครรภ์
พอพยายามย้อนนึกดูแล้ว ลอรีนเองก็เหมือนกัน
ลอรีนที่เคยซุ่มซ่ามเปลี่ยนไปทันทีที่ได้รู้ว่าตนเองมีเมริลลีนแล้ว
ระวังท่าทางในทุกๆ เรื่องเพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อเด็ก เรียกเหล่าศิลปินชื่อดังมาที่บ้านแล้วยังชมโอเปร่ากับผลงานศิลปะที่ตนเองไม่ค่อยชอบด้วย
แต่ว่าข้าน่ะ
“เฮ้อ”
ลมหายใจยาวๆ พรูออกมาโดยอัตโนมัติ
แม้แต่ระยะที่สมควรต้องพักผ่อน ข้าก็ยังเอาแต่ยุ่งกับการทำงาน
ยังมีช่วงเวลาที่ข้านอนน้อยเพราะความโลภที่ไม่อยากละเลยฝั่งไหน ไม่ว่าจะในฐานะเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียหรือจักรพรรดินีอีกด้วย
บางทีการที่ไม่มีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นเลยจนถึงตอนนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าลูกแข็งแรงก็เท่านั้น
“เจ้าตัวคนเดียวคงเหนื่อยแย่เลยสินะ”
ข้าลูบท้องพลางเช็ดใบหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้า
แต่ก็ไม่มีประโยชน์
เพราะไม่นานน้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง
ข้าเริ่มคิดแผนรับมือหลายๆ อย่างเพื่อให้สามารถหาเวลามาดูแลครรภ์ได้
“หรือตอนนี้จะมอบงานของเจ้าตระกูลให้เครนีย์ทั้งหมด…”
พลันพูดไม่ออก
ข้าไม่อยากทำแบบนั้น
ตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียที่ข้าปรารถนาถึงเพียงนี้
แม้การหยุดพักเพียงครู่เดียวจะไม่ได้ส่งผลต่อความมั่นคงในตำแหน่งของข้า แต่ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากทำเช่นนั้น
ตำแหน่งงานในฐานะเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย และในฐานะจักรพรรดินีเป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมาจนสำเร็จ และข้าไม่อาจจินตนาการถึงภาพที่ตนเองวางสิ่งเหล่านี้ลงได้
“ต้องทำแบบไหนถึงจะถูกต้องนะ”
ข้ารู้สึกหงุดหงิดกับน้ำตาที่ไหลออกมา ทั้งที่ไม่ใช่ความต้องการของข้าเลย
ขณะที่กำลังเช็ดหน้าด้วยความงุ่นง่านเล็กน้อย ความหวาดกลัวอีกอย่างก็ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้น
“หลังจากคลอดลูกแล้วต้องทำยังไงบ้างล่ะ?”
ข้าไม่รู้วิธีการเป็นแม่ที่ดีอะไรพวกนั้นเลย
ก่อนที่จะมาเกิดใหม่ก็ไม่ใช่คนประเภทที่เติบโตมาด้วยความรักจากพ่อกับแม่ด้วย
อยู่ในฝั่งที่ถูกปล่อยปละละเลยและมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากมาเกิดใหม่ที่นี่ ข้าก็ถูกเลี้ยงดูด้วยมือของพ่อมาโดยตลอด
ข้าไม่รู้เลยว่าแม่ที่ดีนั้น มันมีภาพเป็นยังไง
“ในเวลาแบบนี้ถ้าท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะดี”
ความอัดอั้นตันใจทำให้น้ำตายิ่งไหลออกมามากขึ้น
ตอนนั้นเอง
“…เทีย?”
ทันทีที่เงยหน้าขึ้นเพราะได้ยินเสียงอันคุ้นเคย ก็เห็นเฟเรสเข้ามาในห้องพอดี
“ทำไม…ทำไมถึงร้องไห้?”
เฟเรสพลันหน้าซีดเผือด ก้าวฉับฉับเดินเข้ามาราวกับว่าสิ่งที่ข้ากำลังร้องออกมาไม่ใช่น้ำตาแต่เป็นเลือด จากนั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วปลอบข้า
“เทีย ไม่ต้องร้อง ถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่ข้าจะช่วยเอง เพราะงั้นไม่ต้องร้องนะ”
เฟเรสกล่าวเช่นนั้นพลางกอดข้าแน่น
รู้สึกได้ว่าอารมณ์ที่สั่นคลอนราวกับระลอกคลื่นค่อยๆ สงบลงเพราะไออุ่นและกลิ่นที่คุ้นเคย
“ตอนนี้พอจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือยังเทีย?”
“คือว่า…”
ข้าพรั่งพรูความคิดต่างๆ ที่ทำให้รู้สึกฟุ้งซ่านมาตลอดทั้งวันออกไปอย่างไม่มีลำดับ
ทั้งที่มันน่าจะเข้าใจยาก แต่เฟเรสก็ยังฟังคำพูดของข้าอย่างอดทนและคอยลูบหลังให้
“ดังนั้น…ข้าก็เลยพลั้งปากออกไป บอกว่าไม่สะดวก”
รู้สึกอยากร้องไห้ ปลายจมูกพลันตื้ออีกครั้ง
จากนั้นข้าจะโพล่งความคิดที่ทำให้ข้าหวาดกลัวที่สุดออกไป
“ขืนปล่อยไว้แบบนี้จนลูกคลอดออกมาแล้วข้าทำพังหมดจะทำยังไง ถ้าข้าทำผิดต่อลูกเพราะว่าไม่ใช่แม่ที่ดีล่ะจะทำยังไง?”
“เทีย”
เฟเรสลูบหัวข้าเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้น
“มีของที่สามารถช่วยเทียได้อยู่นะ”
เฟเรสที่กล่าวเช่นนั้นนำอะไรบางอย่างที่วางอยู่ในลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงออกมา
เป็นสมุดบันทึกเล่มหนาที่มองเห็นร่องรอยของวันเวลาเล็กน้อย
“มันคืออะไรเหรอ?”
เฟเรสส่งสมุดบันทึกใส่มือข้าอย่างแผ่วเบาแล้วตอบว่า
“เป็นไดอารีของท่านชาห์น ท่านแม่ของเทีย”