เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 39
SPIN-OFF บทที่ 39
“มหัศจรรย์จัง ว่าไหม?”
            ได้ยินมาว่าโดยทั่วไปการดิ้นของลูกคนแรกนั้นมักจะสัมผัสได้ยาก
            แต่นี่กลับเตะอย่างห้าวหาญถึงขนาดนี้ ข้าจะไม่รู้แล้วปล่อยผ่านไปได้ยังไง
            “สงสัยคงอยากบอกพ่อกับแม่ ว่า ‘ข้าอยู่ตรงนี้ แล้วก็แข็งแรงมาก’ น่ะ”
            หลังจากลูบท้องของข้าที่ขยายจนกลมใหญ่อยู่หลายครั้ง เฟเรสก็เปิดปากขึ้นในที่สุด
            “…อือ กล้าหาญมาก แล้วก็ดูเหมือนจะแข็งแรงด้วย”
            รอยยิ้มที่ราวกับภาพวาดกระจายไปทั่วริมฝีปากดั่งสีย้อม ขณะที่กล่าวออกมาอย่างโล่งใจ
            เป็นใบหน้าที่ทำให้ข้าที่กำลังมองอยู่รู้สึกสบายใจ
            เฟเรสค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ข้ามากขึ้น
            จากนั้นก็ประทับริมฝีปากลงบนท้องอย่างระมัดระวัง
            เป็นจุดที่ลูกดิ้นอย่างเต็มแรงเมื่อครู่นี้
“สวัสดี ลูกรัก”
            ที่ผ่านมา เขาก็เคยช่วยนวดท้องให้ เคยลูบท้องข้ามาก่อน
            แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ชวนคุยโดยตรงแบบนี้
            ท่าทางที่กำลังคุยกับลูกในท้องด้วยรอยยิ้มเช่นนั้น ทำให้หัวใจข้าเต็มตื้นขึ้นมาโดยพลัน
            “ได้ยินเสียงพ่อไหม?”
            ทันใดนั้น ลูกก็กระแทกเท้าตุ้บตุ้บเป็นครั้งที่สองอย่างน่าอัศจรรย์
            “สงสัยจะฟังอยู่นะ พูดอีก รีบพูดอีกเร็ว”
            พอได้ยินข้าเร่ง เฟเรสก็เอาปากเข้าไปชิดยิ่งขึ้น จากนั้นก็กระซิบทันที
“ลูกรัก”
            ตุ้บตุ้บ
“พ่อเอง”
ตุ้บตุ้บ
            “อยู่ข้างในดีๆ แล้วไว้เจอกันนะ อย่าทำให้แม่เหนื่อยเกินไปนัก เข้าใจไหม?”
…ตุ้บตุ้บ
            “อุ๊บ อะไรเนี่ยเฟเรส นั่นคือคำแรกที่อยากพูดกับลูกของพวกเราเหรอ?”
“มันเป็นคำพูดที่สำคัญที่สุดของข้าเลยนะ”
            เฟเรสตอบอย่างจริงจังมาก
“รู้แล้ว รู้แล้ว”
            ข้าลูบผมเรือนผมสีดำของเฟเรสราวกับจะขยี้ให้ยุ่ง
            “แต่ข้าว่าความกังวลของข้าคงไม่เป็นไรแล้วละ”
“ทำไมล่ะ?”
            “ก็ดูตอนนี้สิ เขากำลังขยับอย่างเต็มที่เพื่อบอกว่าอย่ากังวลไปเลยอยู่ไม่ใช่เหรอ”
ไม่ใช่คำพูดไร้สาระ
            เพราะความรู้สึกที่ฟุ้งซ่านจนถึงเมื่อครู่ได้เปลี่ยนเป็นปลอดโปร่งราวกับถูกชะล้างด้วยไดอารี่ของท่านแม่และการดิ้นของลูกแล้ว
            “อย่ากังวลไปเลยนะ ทั้งข้า แล้วก็เจ้าด้วย”
            ข้าสบตากับเฟเรสพลางเอ่ยกำชับ
            “เพราะงั้นนะเฟเรส จากนี้ไปตอนกลางคืนก็นอนหลับให้เต็มที่ได้แล้ว”
“รู้…ด้วยเหรอ”
            เฟเรสยิ้มอย่างขมขื่น
            “ตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วก็มานั่งจ้องข้าอย่างเหม่อลอย และต้องได้ลูบท้องข้าอีกหลายครั้งก่อน ถึงจะนอนลงไปได้อีกครั้ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้เหรอ”
ระยะแรกของการตั้งครรภ์เขาก็ไม่มีท่าทางแบบนั้นหรอก แต่หลังจากที่เข้าสู่ระยะกลางแล้วท้องเริ่มขยายใหญ่ มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในทุกวัน
            หากปล่อยไว้ต่อไป ยิ่งใกล้ถึงวันคลอดมากเท่าไรมีแต่จะยิ่งทำให้เฟเรสกระวนกระวายใจมากขึ้นเท่านั้น
            “ถ้าหากเจ้านอนหลับๆ ตื่นๆ แบบนั้นทุกวัน แล้วหลังจากนั้นคิดจะทำยังไงต่อไป อย่างน้อยหนึ่งในพวกเราก็ต้องเก็บแรงเอาไว้ไม่ใช่เหรอ การเลี้ยงเด็กเป็นสงครามระยะยาวนะเฟเรส”
            ทันทีที่ข้ากล่าวขึ้นเป็นครั้งที่สอง เฟเรสก็ผงกศีรษะอย่างเลี่ยงไม่ได้
“…เข้าใจแล้ว”
            “ใช่แล้ว เด็กดี”
            พอข้ากล่าวพร้อมกับขยี้ผมอีกครั้งราวกับทำกับเด็กน้อย เฟเรสก็หัวเราะคิกออกมาอย่างอดไม่ได้
“ห๊าว”
            อาจเป็นเพราะร้องไห้อย่างเต็มที่และวางใจลงได้แล้ว
ความง่วงจึงโถมเข้ามาในคราวเดียว         
            ไปนอนที่เตียงดีกว่า
            ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้นเอง
            ร่างกายพลันรู้สึกลอยหวิว ก่อนที่ข้าจะเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันมั่นคงของเฟเรสโดยไม่รู้ตัว
            มันมั่นคงมาก จนข้าไม่จำเป็นต้องเอาแขนโอบรอบคอของเขาเลย
            เป็นการเคลื่อนไหวที่สบายๆ ราวกับถือหนังสือเล่มหนึ่ง
“หืมม”
            นัยน์ตาสีแดงที่กำลังมองตรงไปตรงหน้าและภาพด้านข้างที่ราวกับรูปปั้นแกะสลักพลันเข้ามาในสายตา
            หลังจากนั้น สายตาของข้าก็ไปหยุดอยู่ที่กระดุมเม็ดแรกของเสื้อเชิ้ตซึ่งอาจจะถูกปลดออกบนรถม้าขณะกลับบ้านและเส้นผมที่ข้าเป็นคนทำให้ยุ่งเหยิง
            ภาพลักษณ์เช่นนี้ของชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่เสมอ เป็นภาพที่มีเพียงข้าคนเดียวที่ได้เห็น
            “รู้ไหม เฟเรส”
            ความง่วงงุนเริ่มหมดไปทีละนิด
            “วันนี้ข้าลองถามเอสทีร่า เอสทีร่าบอกว่าตอนนี้เข้าสู่ระยะปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แล้ว”
“ค่อยยังชั่วนะ” เฟเรสยิ้มอย่างอ่อนหวาน
            โอ๊ย เขาฟังไม่เข้าใจจนทำให้อึดอัดจริงๆ
            “ไม่ใช่อย่างนั้น หมายความว่าเรื่องที่ไม่สามารถทำได้จนกว่าจะเข้าสู่ระยะปลอดภัยจริงๆ น่ะ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว…เข้าใจไหมว่าหมายถึงอะไร?”
            ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ
            เพราะฝีเท้าของเฟเรสที่หยุดชะงักไปครู่หนึ่งเร็วขึ้นอย่างมาก
            เวลาเดียวกับที่รอยยิ้มผ่อนคลายบนใบหน้าหล่อเหลากำลังจางหายไป
            “คิดอะไรอยู่ถึงได้เครียดแบบนั้น”
            “ข้ากำลังคำนวณระยะไปห้องอาบน้ำที่สั้นที่สุด”
อ่า หยุดไม่ได้แล้ว
            ข้าหัวเราะคิกคักครู่หนึ่ง ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาแล้วชี้ออกไป
            “เข้าไปทางประตูนั้นเร็วกว่า”
            ข้ารับรู้ถึงฝีเท้าที่รีบเร่งยิ่งขึ้น พลางซุกใบหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของเฟเรส
            จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลงแล้วคิด
            ว่าหากอยู่กับคนผู้นี้ละก็ ไม่ว่าเป็นอะไรข้าก็สามารถผ่านมันไปได้ทั้งนั้นจริงๆ
***
            สำหรับท้องแรกแล้ว ถือว่าเป็นการตั้งครรภ์ที่ผ่านไปอย่างราบรื่น
            เอสทีร่าได้ให้การประเมินไว้อย่างนั้น
            แม้ว่าข้าจะต้องทุกข์ทรมานเพราะอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่ท้องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม
            แต่ว่านี่กลับถือว่าเป็นกระบวนการที่ราบรื่นแล้ว
            ข้ายังรู้สึกทุกครั้งว่าการให้กำเนิดชีวิตใหม่นั้นเป็นเรื่องที่สุดยอดกว่าที่คิดมาก
            และวันนี้ก็คือสองสัปดาห์ก่อนถึงวันกำหนดคลอด
            เป็นวันที่เฟเรสไปทำงานเป็นวันสุดท้ายก่อนจะลาคลอด
            “เดินทางระมัดระวังนะ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็เลื่อนวันหยุดออกไปก่อนสักวันสองวันก็ได้ เข้าใจไหม”
            “ไม่ได้หรอก ข้าเป็นห่วงเจ้า วันนี้จะจัดการงานทั้งหมดให้เสร็จแล้วกลับมานะเทีย”
            ยังมีเวลากว่าจะถึงกำหนดอยู่เลย
            แต่ก็นะ เดิมทีเฟเรสก็วางแผนว่าจะลาหยุดตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนถึงวันกำหนดคลอดอยู่แล้ว
            ถึงแม้สุดท้ายจะตกลงกันได้ที่สองสัปดาห์เพราะการห้ามปรามทั้งน้ำตาของเหล่าที่ปรึกษาก็เถอะ
“เดี๋ยวกลับมานะครับ”
            เฟเรสกล่าวลาคนอื่นๆ ในครอบครัวที่กินข้าวเช้าอยู่ด้วยกันแล้วออกจากห้องอาหารไป
“เจอกันนะ”
            ข้าโบกมือให้ด้วยใบหน้ามีที่รอยยิ้ม
            หลังจากแน่ใจว่าเฟเรสห่างออกไปจนลับสายตา ข้าก็กำจัดรอยยิ้มบนใบหน้าทิ้งไป
            ข้ายกศอกขึ้นมาวางบนโต๊ะพลางไล่สายตามองคนอื่นๆ ในครอบครัว
            ท่านปู่ ท่านพ่อ ชานาเนส สองแฝด เครนีย์ รวมไปถึงเครย์ลีบัน
            เป็นกลุ่มคนที่ข้าจงใจเรียกมา
“ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้”
            ข้ากุมมือทั้งสองข้างแล้วค่อยๆ ประสานนิ้วอย่างเชื่องช้า
            “เรามาเริ่มการประชุมในครอบครัวของลอมบาร์เดียกันเลยดีไหมคะ”
            หัวไหล่ของสมาชิกในครอบครัวที่นั่งล้อมรอบโต๊ะพลันสะดุ้งเบาๆ
            “ข้ากินข้าวเสร็จแล้ว คงต้องขอตัวก่อนละ”
            ท่านปู่พยายามหลบหนี
            “นั่งลงค่ะท่านปู่ วันนี้ไม่ยอมให้หรอกนะคะ”
            “ไม่ ตอนนี้ปู่ก็อายุมากแล้วจะให้นั่งนานๆ ก็ไม่ง่าย…”
            “เพิ่งกลับมาเมื่อวานหลังจากออกไปเที่ยวล่าสัตว์มาสามวันสองคืนไม่ใช่เหรอคะ หยุดพูดอะไรแปลกๆ แล้วนั่งลงเลยค่ะ”
            วันนี้ข้าต้องพูดออกไปให้ได้ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ตาม
“อะแฮ่ม”
            เมื่อเห็นว่าความพยายามของท่านปู่จบลงด้วยความล้มเหลวเพราะการสกัดกั้นที่สมบูรณ์แบบของข้า คนอื่นๆ ที่หาโอกาสหลบหนีเช่นเดียวกันต่างก็ยอมแพ้ไปในทันที
            ข้าดื่มน้ำอึกหนึ่ง จากนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอีกครั้ง
            “การประชุมในวันนี้ เราจะหารือกันเรื่องสถานการณ์ของห้องทารกน้อยกันค่ะ”
            “เดี๋ยวสิ ถึงกับใช้คำว่าสถานการณ์เลยเหรอ”
            ท่านปู่หลบสายตาของข้าเล็กน้อยระหว่างพูด
            คิลลีวูกับเมโลนที่เล็งเห็นจังหวะนั้นก็กล่าวเสริมกันขึ้นมาคนละคำสองคน
            “ใช่แล้ว เทียพูดตรงเกินไปแล้ว”
            “มันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกครอบครัวนั่นแหละ ไม่ใช่เหรอ?”
“เรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกครอบครัวอย่างนั้นเหรอ?”
            อ่า กะว่าจะใจเย็นแล้วเชียวนะ
            “ครอบครัวไหนกันแน่ที่มีห้องนอนให้เด็กที่ยังไม่ทันได้เกิดมาถึงห้าห้องเนี่ย?”
            ข้าไม่ได้ใช้คำว่า ‘สถานการณ์’ อย่างไร้สาเหตุ
            “ถึงจะเป็นลอมบาร์เดียก็เถอะค่ะ นอกจากเปลนอนสี่อัน แล้วยังมีห้องหนึ่งห้องที่มีแต่ของเล่นอยู่เต็มห้องเนี่ยนะคะ!”
“แต่ว่าเทีย”
คราวนี้เป็นท่านพ่อ
            “พอเทียบอกให้ลดลงหน่อยเราก็ลดลงไปเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ ยังมีของขวัญที่ไม่ได้เอามาจากเชซายูอีกตั้งเยอะแยะ น่าเสียดายนะ…”
“แม้แต่ท่านพ่อก็…”
            ลอมบาร์เดียที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมัธยัสถ์เมื่อเทียบกับชนชั้นสูงตระกูลอื่นๆ เพราะเกลียดความหรูหราและฟุ่มเฟือยหายไปไหนกันหมดแล้ว
            “ท่านปู่ ตอนนี้เลิกทำเปลได้แล้วนะคะ อย่าฝืนทั้งที่บอกว่าหัวไหล่ไม่ค่อยดีสิคะ แล้วก็ท่านพ่อ ถ้าไม่ได้ตั้งใจว่าจะเอาหนังสือนิทานทั้งหมดในทวีปมาเก็บไว้ในห้องทารกน้อยก็หยุดซื้อมาได้แล้วค่ะ เครนีย์ เจ้าก็ด้วยเหมือนกัน”
            ท่านพ่อกับเครนีย์เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยในเรื่องแปลกๆ
            ทั้งสองคนนำหนังสือทุกประเภทไปยัดไว้ในห้องของทารกน้อยอย่างสมกับเป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบหนังสือมากที่สุดในลอมบาร์เดีย
            “ถะ ถ้าอย่างนั้นรอบนี้มีหนังสือนิทานสำหรับเด็กเล็กที่สั่งมาจากทวีปทางตะวันออกอีกชุดหนึ่ง รับอันนี้ไว้อีกสักหน่อยไม่ได้เหรอ?”
            “ข้าด้วยครับ ท่านพี่ ข้าสั่งผลิตหนังสือนิทานแบบที่กางออกแล้วจะเป็นกล่องดนตรีที่หมุนได้ไปแล้ว ชะ ช่วยรับมันไปไม่ได้เหรอครับ…”
            “…เข้าใจแล้วค่ะ แค่อันนั้นนะคะ”
            คิวต่อมาเป็นชานาเนสกับสองแฝด
            “…ขอบคุณที่ช่วยเตรียมชุดนอนของเด็กแล้วก็ผ้าอ้อมอย่างเพียงพอนะคะ ท่านป้า”
            ว่าแล้วเชียว คนมีประสบการณ์น่ะต่างออกไป
            “แต่ว่าตอนนี้เสื้อมีเยอะพอแล้วค่ะ”
            “ได้สิ ข้าก็ว่าจะเลิกทำแล้วพอดี เอาไว้พอเด็กโตขึ้นแล้วค่อยเรียกดีไซเนอร์มาทำให้ก็ไม่สาย”
            …เอาเป็นว่าข้ามชานาเนสไปก่อนเถอะ
            ข้ามองไปที่สองแฝดที่นั่งอยู่ถัดไปด้านข้างอย่างตำหนิ
            “คิลลีวู เมโลน สำนึกแล้วหรือยังว่าพวกเจ้าสองคนเป็นคนทำให้ห้องห้องหนึ่งเต็มไปด้วยของเล่น?”
            “ทั้งหมดนี่ก็เพื่อทารกน้อยที่กำลังจะเกิดมานะ ยิ่งในคฤหาสน์ที่ไม่มีเด็กรุ่นเดียวกันอีก น่าเบื่อจะตายไป”
            “ใช่แล้ว ต้องมีของเล่นไว้เยอะๆ ให้เล่นสนุกสิ พวกเราคิดเพื่อทารกน้อยทั้งนั้นแหละนะ”
            “ทั้งสองคนทำเกินไปแล้วนะ”
            “พะ พวกเราทำเกินไป?”
            สองแฝดเบิกตาทั้งสองข้างราวกับไม่ได้รับความยุติธรรม
            “แล้วไม่ใช่เหรอ? พอในคฤหาสน์ไม่มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน พวกเจ้าก็แค่ชดเชยด้วยของเล่นนี่นา ไม่คิดจะเล่นกับเขาด้วยตนเองเลย”
“อ๊ะ….”
            “นะ นั่นสินะ”
            สองแฝดเกาแก้มอย่างเคอะเขิน
            “เพราะงั้นตอนนี้ก็เลิกซื้อของเล่น แล้วไปเรียนรู้วิธีการเล่นกับเด็กแรกเกิดจากเอสทีร่าเป็นไง”
            “ก็นะ พวกเรายังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของเด็กทารกเลย”
            “จะเล่นๆ อยู่แล้วเกิดร้องไห้หรือบาดเจ็บขึ้นมาก็ไม่ได้ด้วยสินะ”
            “ดีมาก คิดแบบนั้นถูกแล้ว แล้วก็ถ้าซื้อของเล่นมาเพิ่มอีกแม้แต่ชิ้นเดียวละก็ ข้าก็สั่งห้ามไม่ให้เข้าห้องทารกน้อยเลย”
“ใจร้าย!”
            แม้หลังจากนั้นจะได้ยินสองแฝดบ่นอะไรบางอย่าง แต่ข้าก็ฟังเข้าหูสายทะลุหูขวาไป
            เพราะข้ายังเหลือเป้าหมายอยู่อีกยังไงล่ะ
“เครย์ลีบัน”
“ครับ ท่านเจ้าตระกูล”
            “รู้ใช่ไหมคะว่าเด็กที่เพิ่งเกิดยังทำไม่ได้แม้แต่ลืมตา?”
“ครับ รู้ครับ”
            “แล้วทำไมถึงได้เริ่มเขียนแผนการเรียน ทำสื่อการสอนด้วยตนเอง แถมยังถึงกับตกแต่งห้องเรียนรอตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะคะ?”
            ที่จริงแล้ว ในบรรดาคนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ เครย์ลีบันเป็นคนที่อาการหนักที่สุด
            เพราะคนที่ยุ่งอยู่กับการบริหารกลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย ยอมลดเวลานอนเพื่อเตรียมตัวเป็นคุณครูให้กับเด็กน้อยตั้งแต่ตอนนี้
            “กรณีของท่านเจ้าตระกูลเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะข้าได้พบท่านสายเกินไป แต่สำหรับทารกน้อยที่กำลังจะเกิดมา ข้าจะเป็นคนให้ความรู้ด้วยตนเองตั้งแต่ยังแบเบาะ…”
“เครย์ลีบัน”
“ครับ ท่านเจ้าตระกูล”
            “ช่วงนี้คงจะมีเวลาเหลือมากเลยสินะคะ”
            พอได้ยินคำพูดอันเย็นยะเยือกของข้า นัยน์ตาสีฟ้าก็เริ่มสั่นเทาขึ้นมาในทันที
            “คือ…แทนที่จะบอกว่ามีเวลาเหลือ เรียกว่าข้าให้ความสำคัญกับการศึกษา…”
            “ดูเหมือนจะเบื่อเพราะงานน้อยเกินไปสินะคะ ช่วยไม่ได้ ในระหว่างที่ข้าลาคลอดก็มารับหน้าที่รักษาการณ์เจ้าตระกูลแทนแล้วกันค่ะ”
            “ขอโท…เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ”
            “รักษาการณ์เจ้าตระกูล ข้าบอกให้เครย์ลีบันมารับหน้าที่นั้นค่ะ แบบนั้นก็จะได้ไม่มีเวลามาพูดเรื่องการศึกษาสำหรับเด็กอัจฉริยะกับเด็กที่ยังไม่เกิดอีกยังไงล่ะคะ”
“…ท่านเจ้าตระกูล”
            ข้าวาดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าที่จงใจทำเป็นไร้อารมณ์ในที่สุด แล้วพยักหน้าลง
ท่านปู่มีข้า
ส่วนข้าก็มีเครย์ลีบัน
            “…ขอบคุณที่มอบหมายหน้าที่นี้ให้ข้าครับ ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
            ข้ายิ้มอย่างเบาใจให้เครย์ลีบัน จากนั้นหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก
            ในเมื่อมอบหมายตำแหน่งรักษาการณ์ให้เครย์ลีบันแล้ว การเตรียมการเพื่อเข้าสู่การลาคลอดก็เป็นอันเสร็จสิ้นด้วยประการฉะนี้
            ตอนนี้ก็เหลือแค่การพักผ่อนอย่างสบายใจ แล้วรอคอยเด็กน้อยเท่านั้น
“ถ้างั้นข้าขอตัว…”
            ขณะที่กำลังลุกจากที่นั่ง ข้าก็หยุดชะงักไปในท่าทางที่ยันโต๊ะไว้อย่างนั้น
“…เทีย?”
            ก็รู้สึกว่าท้องมันเจ็บแปล๊บๆ มาตั้งแต่เช้าแล้วอยู่หรอก
“ฮูว”
            ข้าสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นร้องขอกับชานาเนส
            “ท่านป่า ช่วยเรียกเอสทีร่าให้หน่อยได้ไหมคะ”
“หรือว่า…”
“ค่ะ ดูเหมือนข้าจะเริ่มเจ็บท้องคลอดแล้วละค่ะ”
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		