เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 3
SPIN-OFF บทที่ 3
ไม่ต้องเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียและร้านค้าเพลเลสยกเลิกขบวนสินค้าไปทางใต้โดยสมบูรณ์
แม้เซอเชาว์จะขายธัญพืชผ่านหลายกลุ่มการค้า แต่คู่ค้ารายใหญ่ที่สุดในบรรดากลุ่มการค้าเหล่านั้น แน่นอนว่าเป็นทั้งสองกลุ่มการค้าของข้า
อธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้นก็คือ กลุ่มการค้าลอมบาร์เดียควบคุมการค้าทางตะวันตก ส่วนร้านค้าเพลเลสควบคุมการค้าทางตะวันออก
ต่อให้ไม่นำธัญพืชไปขายให้ตะวันตกและตะวันออกอย่างเช่นตอนนี้ เซอเชาว์ก็ไม่เป็นอะไร แค่กำไรโดยรวมของเขตแดนลดลงอย่างมากเท่านั้น แต่พลเมืองของเซอเชาว์ยังไม่อดตาย
ทว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ภาพที่ชานตั้น เซอเชาว์วาดฝันไว้
เช่นเดียวกับที่พ่อของข้าคาดหวังตอนสร้างท่าเรือเชซายู สิ่งที่ชานตั้น เซอเชาว์คาดหวังไม่ใช่เพียงแค่ให้พลเมืองได้กินอิ่มนอนหลับ แต่คือความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง
ลอมบาร์เดียและร้านค้าเพลเลสก็เช่นเดียวกัน
ต่อให้ตอนนี้ไม่ได้คบค้ากับภาคใต้ ตระกูลลอมบาร์เดียหรือร้านค้าเพลเลสก็ไม่ล่มสลาย
ต่อให้การค้าทางตะวันออกยากลำบาก แต่ก็กลับไปเดินทางทางบกเหมือนเมื่อก่อนได้
อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่าความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างลอมบาร์เดียและเซอเชาว์เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ต่อทั้งอาณาจักร
ยิ่งการต่อสู้ทางสายตาระหว่างข้าและชานตั้น เซอเชาว์ที่ยืนอยู่คนละฟากของห้องประชุมใหญ่นานเท่าไร ความเงียบก็ยิ่งดำเนินไปเท่านั้น
“พอแล้ว”
คำพูดสั้นๆ และเฉียบขาดของเฟเรสทำลายความตึงเครียดที่ปกคลุมออกไป
“หัวหน้ากลุ่มการค้าเพลเลส นำสิ่งนั้นมา”
สิ่งที่เฟเรสชี้พร้อมกับทำสัญญาณมือเบาๆ คือปึกเอกสารที่อยู่ในมือของข้า
รายการความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และสัญญาค่าผ่านทางที่ทำกับเซอเชาว์ถูกมัดไว้รวมกัน
ทันทีที่เครย์ลีบันยื่นสิ่งที่อยู่ในมือให้กับเฟเรส เขาก็กวาดสายตาอ่านเอกสารที่หนาพอสมควรอย่างไม่ลังเล
เฟเรสใช้เรียวนิ้วยาวถูหน้าผากสองครั้งจากนั้นก็เอ่ยขึ้น
“ผู้ละเมิดสัญญาคือเซอเชาว์ไม่ผิด”
กลุ่มที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับข้าเงียบสนิทอย่างกลัดกลุ้ม
ถึงอย่างไรก็ไม่อาจแสดงความไม่พอใจออกมาต่อหน้าเฟเรส ทำได้เพียงถอนหายใจเท่านั้น
“ตระกูลเซอเชาว์ จากนี้จงให้ความร่วมมือเปิดทางให้ขบวนสินค้าทันที และชดใช้ค่าเสียหายแก่ลอมบาร์เดียสองเท่าตามสัญญาเสีย”
“…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ชานตั้น เซอเชาว์ตอบกลับอย่างนอบน้อม
แต่ข้ายิ้มไม่ออก กลับยิ่งต้องพยายามเพื่อไม่แสดงสีหน้าเลวร้ายออกมาด้วยซ้ำ
‘น่าสงสัย’
ข้าหวังว่าจะได้เห็นชานตั้น เซอเชาว์ดิ้นพล่านตะโกนว่า ‘ทำแบบนั้นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นการตัดสินที่ไม่ยุติธรรม!’ มากกว่า
เพราะต่อให้กล่าวว่าเขาเป็นคนที่จงรักภักดีต่อเฟเรส แต่หากเขาบีบคั้นกลุ่มการค้าเพราะมีเหตุผลสำคัญจริงๆ ละก็ เขาก็ย่อมต้องคัดค้านอยู่แล้ว
แต่เขากลับทำตัวละมุนละม่อมเช่นนั้นเสียได้
นี่ราวกับว่า…
“เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
“…เพคะ”
แม้จะได้ยินเสียงเฟเรสเอ่ยเรียก แต่ข้าก็ไม่อาจละสายตาไปจากชานตั้น เซอเชาว์ได้อย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่าผู้ชนะในการประชุมใหญ่ครั้งนี้คือข้าแท้ๆ
แต่เพราะเหตุใด ลางสังหรณ์ของข้าถึงกำลังบอกว่าผู้ชนะคือฝ่ายนั้น
“…ในฐานะที่ท่านเป็นทั้งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย และเจ้าของกลุ่มการค้าทั้งสอง ในอนาคตก็หวังว่าจะช่วยให้ความสนใจต่อการรักษาความปลอดภัยของขบวนสินค้าให้มากขึ้นด้วยนะครับ”
“เข้าใจแล้วเพคะ”
อึดอัดใจเสียจริง
สถานการณ์ที่เหมือนกับมีคนกำลังเล่นตลกบนหลังของข้า แต่กลับมีเพียงข้าคนเดียวที่มองไม่ออกทำให้ข้าหรี่ตาลง
ใบหน้าของชานตั้น เซอเชาว์ที่ยังคงนิ่งสงบแม้จะต้องจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายจำนวนมหาศาลให้ข้าในทันที ทำให้รู้สึกไม่สบอารมณ์
“…การประชุมวันนี้จบลงเพียงเท่านี้”
หลังพูดสั้นๆ เฟเรสก็ขยับลุกขึ้นจากที่นั่งทันที
อ๊ะ กะว่าจะคุยด้วยสักหน่อยทีเดียว
หลังจากได้สติกลับมาจากการเอาแต่จ้องชานตั้น เซอเชาว์ ข้าหันไปมองเฟเรสแต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง สิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพด้านหลังของเหล่าผู้ช่วยที่เดินตามหลังจักรพรรดิไปเป็นแถวเท่านั้น
ตั้งใจจะถามว่าทำไมก่อนเริ่มประชุมถึงทำสีหน้าแบบนั้นสักหน่อย
สีหน้าบึ้งตึงนั้นมันกวนใจมากกว่าเรื่องไหนๆ
ข้ามองประตูห้องประชุมที่ปิดไปอย่างเสียดายครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
“สมแล้วครับที่เป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
“รีดไถค่าเสียหายจากชานตั้น เซอเชาว์ตัวเหม็นผู้นั้นมาได้ตั้งสองเท่า…ไม่สิ ทวงมาได้”
“ก็ชัดเจนมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าคนที่ละเมิดสัญญาคือฝ่ายนั้น”
“ใช่แล้ว อันที่จริงเรื่องนี้ไม่เห็นต้องถึงกับจัดประชุมใหญ่เลย”
เหล่าขุนนางกลุ่มพันธมิตรลอมบาร์เดียที่อยู่รอบข้างต่างก็พูดแสดงความยินดีเป็นเสียงเดียวกัน แต่เสียงเหล่านั้นกลับฟังไม่เข้าหูสักนิด
ตอนนั้นเอง เครย์ลีบันก็เดินเข้ามาหาแล้วพูดซุบซิบเสียงเบา
“ท่านเจ้าตระกูล ข้ารู้สึกว่า…”
“เครย์ลีบันก็คิดอย่างนั้นสินะ?”
ข้าเหลือบมองที่นั่งของชานตั้น เซอเชาว์ที่ว่างไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้พลางเอ่ยตอบ
“ถึงจะคิดไว้อยู่แล้วว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่ง่ายก็เถอะ” เสียงหัวเราะคิกคักปนออกมาด้วยโดยที่ข้าไม่รู้ตัว “คงต้องให้เบ็ตมาหาที่คฤหาสถ์พรุ่งนี้แล้วละค่ะ”
ต่างกับตอนที่เผชิญหน้ากับอังเกนัสอย่างสุดขั้ว
ครอบครัวอังเกนัสดูจะมีแผนการณ์ในใจอย่างเห็นได้ชัด และโวยวายเสียงดังทันทีแม้ถูกสะกิดเพียงเล็กน้อย
แม้กระทั่งอดีตจักรพรรดินีผู้เฉลียวฉลาด ก็ไม่อาจเปลี่ยนอุปนิสัยเลวร้ายพวกนั้นได้ จนทำให้มองไม่เห็นภาพรวมอยู่เสมอ
ทว่าชานตั้น เซอเชาว์ต่างออกไป
ใบหน้าที่แข็งทื่อคาดเดาไม่ได้แม้แต่น้อยว่ากำลังคิดสิ่งใด การกระทำที่เงียบ รวดเร็วและใจกล้า
หลังจากขึ้นเป็นเจ้าตระกูล ข้าเพลี่ยงพล้ำให้กับแผนการอันลึกล้ำเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังออกล่าเหยื่อของชานตั้น เซอเชาว์อยู่หลายครั้ง
“เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
อย่างเช่นในตอนนี้ ข้าหมุนตัวกลับไปทางเสียงเรียกที่ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ว่าไงคะ เจ้าตระกูลเซอเชาว์”
ชานตั้น เซอเชาว์ที่สูงกว่าข้าช่วงตัวหนึ่ง ก้าวเข้ามาครึ่งก้าว
ผมสีเข้ม ใบหน้าที่ดูบูดบึ้งแต่คาดเดาความคิดไม่ออก ไปจนถึงรูปร่างที่ให้ความรู้สึกกดดัน
เป็นรูปลักษณ์ที่ทำให้นึกถึงหมีดำยักษ์ยังไงก็ไม่รู้
“ข้ามาเพื่อขออภัยต่อเรื่องในคราวนี้”
จะชวนก่อสงครามรอบสองต่อจากการประชุมอย่างนั้นเหรอ
ข้าสัมผัสได้ว่าเหล่าขุนนางโดยรอบที่กำลังจะออกไปจากห้องประชุมหยุดฝีเท้ากันทีละคนและกำลังจ้องมาทางนี้
“เรื่องในคราวนี้?”
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ข้าก็กลายเป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อนนี่นะ”
ถึงแม้จะเป็นน้ำเสียงและท่าทางที่สงบนิ่งเช่นเคย แต่ข้ารู้ได้อย่างชัดเจน
เจ้าหมีดำนี่ กำลังปั่นหัวข้าเล่นอยู่
“มาพูดกันตรงๆ ดีกว่าค่ะเจ้าตระกูลเซอเชาว์ ไม่ใช่ ‘กลายเป็นฝ่ายผิดสัญญา’แต่คือทำผิดสัญญาค่ะ ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจสินะคะว่าค่าเสียหายสองเท่าคืออะไร?”
“…”
ชานตั้น เซอเชาว์ได้แต่มองมาที่ข้าอย่างกล้ำกลืนโดยไม่กล่าววาจาไปชั่วครู่
ข้าสบสายตานั้นตรงๆ ขณะยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง
“และถึงเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ลดค่าเสียหายให้แม้แต่สตางค์เดียวหรอกนะคะ”
“อ่า ตายจริง” ชานตั้น เซอเชาว์กล่าวด้วยโทนเสียงไร้ความจริงใจราวกับกำลังอ่านหนังสือที่คนอื่นเขียนขึ้น “แม้ว่าข้าจะมาขอโทษด้วยตนเองแบบนี้แล้วงั้นเหรอ?”
ฉับพลัน คำพูดของเจ้าตระกูลเบิร์นที่เปรียบชานตั้น เซอเชาว์เหมือนงูพลันผุดขึ้นมา
ไม่ใช่งูธรรมดาแต่เป็นงูเห่าต่างหาก งูเห่ายักษ์
ชั่วขณะนั้น ข้าพลันอยากกระชากหน้ากากไร้อารมณ์ที่ทำราวกับเรื่องทุกอย่างมันไม่สนุกเอาเสียเลยออกมา
“นี่ก็เป็นแค่คำขอโทษที่ออกมาง่ายๆ เพราะท่านไม่ได้เสียดายถึงขนาดนั้นแต่แรกอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องทำแบบนั้นด้วย”
ข้ากล่าวต่อขณะจ้องตาของชานตั้น เซอเชาว์ที่หรี่ลงในชั่วพริบตา
“ท่านก็แค่พัดควันให้ลอยออกไปทั้งที่เป็นคนจุดไฟขึ้นมาแต่แรกไม่ใช่หรือไง ขอโทษอะไรกัน”
ทันใดนั้น ใบหน้าของเจ้าหมีดำก็เคร่งขรึมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
และข้าก็มั่นใจได้ทันทีที่เห็นการตอบสนองนั้น
ทั้งที่เขารู้ว่าถ้าบีบคั้นกลุ่มการค้าของข้า ข้าจะต้องเรียกร้องให้จัดการประชุมใหญ่ แต่ชานตั้น เซอเชาว์ก็ยังจงใจทำมัน
ราวกับพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของข้าเพื่อไม่ให้เห็นอะไรบางอย่าง
เหมือนอย่างที่ชานตั้น เซอเชาว์ทำ ข้าก้าวเข้าไปครึ่งก้าวแล้วฉีกยิ้ม
“เจ้าตระกูลเซอเชาว์ ข้าขอเตือนท่านแค่สองข้อ”
ข้ายกนิ้วชี้ขึ้น
“หนึ่ง อย่าลืมว่าการทำเกษตรคือเจตจำนงของฟ้านะคะ ถ้ามัวแต่ทำนิสัยแย่ๆ แบบนั้นบ่อยๆ แล้วถูกลงโทษขึ้นมาจะทำยังไง?”
“หมายความว่าอะไร…”
“ข้อสอง” ข้าตัดบทชานตั้น เซอเชาว์ที่พยายามจะโต้ตอบบางอย่างแล้วยกนิ้วขึ้นมาเป็นสองนิ้ว “เหมือนกับที่พลเมืองในเขตแดนสำคัญกับเจ้าตระกูลเซอเชาว์ สำหรับข้า คนของข้าก็สำคัญเช่นกัน”
ความรักอันลึกซึ้งที่ชานตั้น เซอเชาว์มีต่อพลเมืองนั้น ข้าเองก็รู้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะเรื่องที่เขาห่วงใยเหล่าเกษตรกรที่เป็นกระดูกสันหลังของเซอเชาว์อย่างลึกซึ้งด้วย
ดังนั้นถึงแม้ข้าจะคิดว่าเขาน่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชิงชัง
ทว่า
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อของข้าเป็นคนที่สำคัญที่สุดแม้แต่ในบรรดาคนของข้า ดังนั้นอย่าแตะต้องจะดีกว่านะคะ อีกอย่าง…”
ข้าหุบยิ้มที่ยิ้มอยู่อย่างคลุมเครือ แล้วจ้องชานตั้น เซอร์เชาว์ตรงๆ
“ถูกแล้วค่ะ นี่คือคำเตือน” เพราะงั้นอย่าได้มาแหย่ข้าบ่อยๆ
ข้าที่ยกมุมปากขึ้นอีกครั้งหันไปเอ่ยกับเครย์ลีบัน
“หัวหน้ากลุ่มการค้าเพลเลส ช่วยอธิบายเกี่ยวกับรายการค่าเสียหายให้เจ้าตระกูลเซอเชาว์รับทราบอย่างละเอียด และนัดหมายวันจ่ายเงินมาให้หน่อยนะคะ แน่นอนว่าต้องเป็นลายลักษณ์อักษร”
พูดจบ ข้าก็หมุนตัวกลับแล้วออกจากห้องประชุมไป
ข้าเตือนแล้วนะ เจ้าหมีดำเอ๊ย
ถึงจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าแผนการณ์ในใจของชานตั้น เซอเชาว์คืออะไรก็เถอะ แต่พอได้ข่มขู่ออกไปก่อน ก็ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งขึ้น
เอาไว้เรียกเบ็ตมาช่วยกันคิดกันพรุ่งนี้ก็คงรู้คำตอบ
เสียงฝีเท้าของข้าที่เดินบนโถงทางเดินในพระราชวังอยู่คนเดียวแผ่วเบา
“กำหนดการวันนี้จบไวแฮะ”
การประชุมใหญ่วันนี้จบลงอย่างจืดชืดกว่าที่คิด
อุตส่าห์พาเครย์ลีบันมาด้วยเพราะอยากถลกแขนเสื้อสู้กันสักตั้ง
พอนึกถึงใบหน้าของชานตั้น เซอเชาว์ที่นั่งจ้องข้าอย่างไม่สะทกสะท้านอยู่ฝั่งตรงข้ามในห้องประชุมใหญ่ ข้าก็นิ่วหน้าโดยไม่รู้ตัว
“เป็นหมีก็ควรหาน้ำผึ้งกินอยู่ทางใต้อันแสนอบอุ่นอย่างหมีสิ…อ๊ะ!”
มีอะไรบางอย่างเข้ามากอดและดึงข้าที่กำลังเดินพึมพำอยู่จากด้านหลัง
ข้าเข้ามายืนอยู่ในห้องโดยไม่มีแม้แต่โอกาสให้กรีดร้องโวยวาย ประตูห้องปิดลงต่อหน้าต่อหน้า
สัมผัสได้ถึงร่างกายแข็งแกร่งของใครบางคนที่อยู่ด้านหลัง
ขณะที่ข้ากำลังกะพริบตาเพราะกลิ่นกายอันคุ้นเคยที่โถมเข้ามาในฉับพลัน ก็มองเห็นแหวนมรกตสีเขียวที่สวมอยู่บนนิ้วนางของมือที่โอบกอดข้าอยู่
ในคราวนี้ ข้ารู้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องหมุนตัวกลับไป
ข้าถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับตีมือคู่นั้นแล้วกล่าว
“เฟเรส ตกใจหมด”
ทันใดนั้น มือใหญ่ก็สวมกอดข้าแน่นขึ้นอย่างละโมบ สัมผัสได้ถึงหน้าผากอันเกลี้ยงเกลาที่กำลังถูไถต้นคอกับหัวไหล่
“ข้าคิดถึงเจ้า เทีย”