เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 42
SPIN-OFF บทที่ 42
ชาห์นค่อยๆ ลืมตาขึ้น
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาจากหางตาที่เปียกชื้น
“อา…”
เสียงอุทานอย่างเหม่อลอยดังขึ้นภายในห้องที่มีแสงแดดอันอบอุ่นลอดผ่านเข้ามา
ชาห์นแหงนมองเพดานที่คุ้นเคยก่อนทำหน้ายู่
“เฮ้อ ฝันแบบนั้นอีกแล้ว”
นางพึมพำพร้อมกับเช็ดน้ำตาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“ถ้าจะจำได้ทั้งที ก็ช่วยจำให้ชัดเจนหน่อยไม่ได้หรือไงนะ”
นางบ่นงึมงำพลางลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นควานหาสมุดบันทึกเล่มหนึ่งในลิ้นชักอย่างคุ้นเคย
นางเขียนวันที่ของวันนี้ไว้ด้านบนสุด แล้วจดเนื้อหาในความฝันที่นึกออกลงข้างใต้นั้น
นี่คือกิจวัตรประจำวันที่นางทำซ้ำๆ ทุกเช้า หลังจากพลังฝันบอกเหตุได้ตื่นขึ้น
หากเป็นปกติ นางคงต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการจดเนื้อหาของความฝันลงไป แต่ในวันนี้ชาห์นกลับทำเพียงขีดเขียนคำศัพท์ไม่กี่คำลงข้างใต้วันที่นั้น
ฟีเรนเทีย, ลอมบาร์เดีย, และชายหนุ่มที่มีนัยน์ตาสีเขียว
หลังจากเขียนถึงตรงนั้น ปากกาขนนกที่เคลื่อนไหวอย่างลวกๆ ก็หยุดชะงักลง
จากนั้นนางก็เขียนเพิ่มลงไปอีกคำหนึ่งอย่างระวัง
ฟีเรนเทีย, ลอมบาร์เดีย, และชายหนุ่มที่มีนัยน์ตาสีเขียว – หน้าตาดี
นางมองข้อความนั้นด้วยแววตาพึงพอใจครู่หนึ่ง
ชาห์นวางปากกาขนนกลง แล้วขยี้ผมของตนเองพลางพึมพำอย่างหงุดหงิด
“โอ๊ย…เหมือนจะมีอะไรมากกว่านี้นะ!”
พลังของนางนั้นเหนือกว่าใคร
นางมักจะมองเห็นอนาคตอย่างละเอียดและแม่นยำผ่านความฝันอยู่เสมอ และสิ่งนั้นก็ไม่เคยผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ทว่าก็จะมีบางครั้งจริงๆ ที่เรื่องราวอื่นๆ ในความฝันจะถูกลบเลือนหายออกไปจนเกลี้ยงยกเว้นคำศัพท์เพียงไม่กี่คำเช่นนี้
“แปลกจัง หลังจากผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะมา ข้าก็ยิ่งฝันบ่อยขึ้น”
ชาห์นหรี่ตาจ้องเขม็งไปยังตัวอักษรที่ตนเป็นคนเขียนขึ้น
“มันคืออะไรกันแน่ ข้าถึงได้ฝันถึงบ่อยแบบนี้”
ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย
เหมือนจะเป็นชื่อคนเลยนะ
“แต่ต่อให้ค้นทั้งหมู่บ้านแล้วก็ไม่มีคนชื่อนี้เลยนะ”
นั่นแหละคือปัญหา
เรื่องที่ชาห์นฝันถึงมักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนในหมู่บ้านอยู่เสมอ
แต่ความฝันอันคลุมเครือที่ทิ้งความอึดอัดใจไว้ทุกครั้งนี้ ไม่ว่าจะลองคิดอย่างไรก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้าน
และยังมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้นางมั่นใจยิ่งขึ้น
“ในหมู่บ้านนี้ไม่มีผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาขนาดนั้นด้วย”
ต่างจากเนื้อหาอื่นๆ ในความฝันที่เหลือทิ้งไว้แต่ภาพอันรางเลือนและจางหายไป ใบหน้าของชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีเขียวที่แลดูเศร้าสร้อยกลับทิ้งภาพจำไว้อย่างชัดเจน
“โอ๊ย ไม่รู้แล้ว เดี๋ยวถึงเวลาก็คงนึกออกเองนั่นแหละ”
ถ้าจะมีสิ่งที่ชาห์นผู้เริ่มมองเห็นเรื่องราวในอนาคตอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อเติบโตขึ้นเชื่อถือเป็นคติประจำใจละก็ สิ่งนั้นก็คือ ‘อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด’
และเมื่อใดที่ถึงเวลา โชคชะตาก็จะชักนำนางให้เดินไปตามความฝันเสมอ
ชาห์นบิดขี้เกียจอย่างเต็มที่ ก่อนจะไปล้างตัวด้วยน้ำที่ตักทิ้งไว้ตั้งแต่คืนก่อนแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่
จากนั้นก็เปิดประตูแล้วชะโงกศีรษะออกไปสอดส่องด้านนอก
รอยยิ้มซุกซนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชาห์นที่กำลังตรวจสอบห้องนั่งเล่นอันเงียบสงัด
“ออกไปแล้วสินะ”
โซอูรา มารดาของชาห์นเป็นหัวหน้าของเผ่าชาราห์
พูดได้คำเดียวว่ายุ่งจนหัวหมุน
โซอูราเป็นหัวหน้าเผ่าที่เข้มงวด แต่ขณะเดียวกันก็เป็นมารดาที่เข้มงวดยิ่งกว่า
แต่ไม่ว่านางจะนั่งอยู่บนตำแหน่งและมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งมากเพียงใด ก็ไม่มีทางควบคุมบุตรสาวผู้แก่นแก้วได้ทั้งวันอยู่ดี
ชาห์นก้าวออกจากบ้านอย่างตื่นเต้น
เผ่าชาราห์ที่ตั้งอยู่กลางป่าทึบทางภาคใต้และตัดขาดจากโลกภายนอกนั้น เน้นการใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนไปกับธรรมชาติ
ดังนั้นพวกเขาจะไม่มีทางตัดต้นไม้ตามอำเภอใจแม้แต่ต้นเดียว และยังไม่ล่าสัตว์หากไม่ใช่กรณีที่จำเป็นจริงๆ
และชาห์นก็รักความสงบสุขเช่นนั้นของเผ่าชาราห์
“สวัสดี ชาห์น!”
“อรุณสวัสดิ์!”
หลังจากที่เห็นนาง ผู้คนในเผ่าที่กระจัดกระจายกันเก็บผลไม้อยู่ทั่วป่าตั้งแต่เช้าตรู่ก็เอ่ยทักทายอย่างยินดี
“วันนี้ก็จะไปที่นั่นอีกแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะ! อย่าบอกท่านแม่นะคะ คุณป้า!”
เสียงหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ดังตามหลังชาห์นที่กระโลดเต้นอย่างอารมณ์ดี
สถานที่ที่นางกำลังมุ่งหน้าไปคือบ้านหลังเล็กที่อยู่รอบนอกของหมู่บ้าน
เดิมทีมันคือสถานที่ที่คุณย่านิวโบ บุคคลที่เก่าแก่ที่สุดในหมู่บ้านเคยอาศัยอยู่ แต่หลังจากที่หญิงชราเสียชีวิตไป บ้านก็ปล่อยว่างมาตลอดหลายปี
จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีคนจากภายนอกปรากฏตัวขึ้นและเข้าไปอาศัยอยู่ หลังจากได้รับคำอนุญาตจากโซอูราด้วยความอย่างยากลำบาก
ชาห์นที่เดินทางมาถึงหน้าบ้านหลังเก่าเคาะประตูอย่างคุ้นเคย
ก๊อกก๊อก
“อาจารย์อาวาเน่ ข้าเข้าไปได้ไหมคะ”
“ชาห์นเหรอ รีบเข้ามาสิ”
เจ้าของเสียงที่เอ่ยต้อนรับอย่างรวดเร็วคืออาวาเน่ โรพิลลี่ นางมาเยือนหน้าหมู่บ้านอย่างกะทันหันเมื่อประมาณสองปีก่อน
นางที่แนะนำตัวว่าตนเองเป็นนักวิชาการได้ขออนุญาตทำการวิจัยเกี่ยวกับชนเผ่าชาราห์และขอนำไปจัดพิมพ์เป็นหนังสือ
คนในหมู่บ้านต่างก็คิดว่าโซอูราจะปฏิเสธคำขอนั้นอย่างเด็ดขาด และขับไล่คนภายนอกคนนั้นออกไปจากป่า
แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่หลายวัน โซอูราก็ตัดสินใจรับคนภายนอกเข้ามาในหมู่บ้าน
แต่กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดที่คัดค้านหรือกังขาต่อการตัดสินใจของหัวหน้าเผ่า
พวกเขาแค่คิดกันว่าโซอูราคงจะมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นๆ มองไม่เห็นเท่านั้น
“ขอบใจนะชาห์นที่วันนี้ก็มาตามสัญญาอีกแล้ว”
อาวาเน่ โรพิลลี่ วางถ้วยชาลงตรงหน้าชาห์นพลางกล่าวขึ้น
น้ำชาสีแดงที่มีสีสันสดใสต่างจากน้ำชาที่เผ่าชาราห์ดื่มกันโดยสิ้นเชิงนั้น เป็นของเพียงไม่กี่อย่างอาวาเน่ โรพิลลี่ นำเข้ามาจากภายนอก
“ข้าสนุกที่ได้พูดคุยกับอาจารย์อาวาเน่ค่ะ ไม่มีอะไรยากในการมาหาเพื่อนหรอกค่ะ”
“…ชาห์น”
แม้ว่าคนในหมู่บ้านจะยอมรับอาวาเน่ตามการตัดสินใจของหัวหน้าเผ่า แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังหวาดกลัวนางที่มาจากภายนอกหมู่บ้านอยู่ดี
และชาห์นก็เป็นคนแรกที่เข้าหานาง
นับจากนั้นมา ชาห์นก็กลายเป็นผู้ช่วยที่มีส่วนช่วยเหลือในงานวิจัยของอาวาเน่มากที่สุด
“เมื่อวานข้าเล่าถึงตรงไหนแล้วนะคะ”
ชาห์นถามขึ้นหลังจากดื่มชาอึกหนึ่ง
“เล่าถึง ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ชาห์นเห็นมานิดหน่อยแล้วละ”
“อ๋อ จริงสิ ใช่แล้ว แล้วอาจารย์อาวาเน่อยากรู้เรื่องไหนอีกคะ”
“ถ้าเป็นไปได้ละก็…”
อาวาเน่ โรพิลลี่จ้องนัยน์ตาใสกระจ่างของชาห์นรอบหนึ่งแล้วกล่าวต่ออย่างระมัดระวัง
“ช่วยเล่าเกี่ยวกับเนื้อหาของความฝันให้ข้าฟังด้วยได้ไหม อย่างเช่นฝันบอกเหตุที่จำได้แม่นยำที่สุด หรือไม่ก็ฝันที่เจ้าฝันในช่วงนี้น่ะ”
“อืม ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรค่ะแต่ว่า…”
ชาห์นขมวดคิ้วอย่างพบเห็นได้ยาก
“ที่จริงแล้วช่วงนี้ข้าฝันอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีนิดหน่อยค่ะ ไม่สิ มันเลือนรางเกินกว่าจะเรียกว่าความฝันอีก”
“หมายความว่ายังไงเหรอ”
“ข้ามองเห็นอนาคตที่คล้ายกันซ้ำไปซ้ำมา แต่พอตื่นขึ้นมากลับจำเนื้อหาเหล่านั้นไม่ได้ค่ะ อย่างกับว่ามีใครบางคนจงใจลบมันออกไป จำได้แค่คำสำคัญๆ เพียงไม่กี่คำเท่านั้นเองค่ะ”
“ข้าเคยได้ยินมาว่าแม้แต่ในเผ่าเอง พลังของชาห์นก็ยังแกร่งกล้าเป็นพิเศษ แสดงว่าการฝันอย่างเลือนรางเช่นนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยสินะ”
“ใช่ค่ะ ปกติอนาคตจะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว กำหนดไว้อย่างแม่นยำมากด้วย”
“หืม”
หลังจากได้ฟังเรื่องราวของชาห์น อาวาเน่ โรพิลลี่ก็จดอะไรบางอย่างลงในสมุดบันทึก
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อก่อนที่หมู่บ้านเคยเกือบจะเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่แต่ชาห์นเป็นคนหยุดมันไว้ได้ เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ อนาคตที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วที่ข้าพูดถึงเมื่อครู่นี้ก็คือแบบนั้นค่ะ แต่ความฝันนั้นของข้า…”
“มันอาจจะไม่ใช่ฝันบอกเหตุ แต่เป็นแค่ความฝันทั่วไปหรือเปล่าคะ ปกติเวลาข้าตื่นขึ้นมาก็มีหลายครั้งที่จำความฝันไม่ค่อยได้เหมือนกัน”
“อืม ไม่ใช่ค่ะ” ชาห์นปฏิเสธอย่างมั่นใจ
“ฝันทั่วไปกับฝันบอกเหตุจะไม่เหมือนกันค่ะ จะว่ายังไงดี ฝันบอกเหตุจะให้ความรู้สึกเหมือนเราเข้าไปข้างในบ่อน้ำค่ะ”
“ข้างในบ่อน้ำ…”
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็แลกเปลี่ยนบทสนทนากันจนกระทั่งถ้วยชาว่างเปล่าไปหลายรอบ
และอาวาเน่ โรพิลลี่ก็ปิดสมุดบันทึกเป็นการปิดท้าย
“ตอนนี้ถึงคิวของข้าแล้วใช่ไหมคะ”
การผลัดกันถามคำถามเป็นข้อตกลงระหว่างชาห์นกับอาวาเน่
ถึงแม้ชาห์นจะถามเพียงหนึ่งหรือสองคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่นางอยากรู้ต่างจากอาวาเน่ โรพิลลี่ ที่ตั้งคำถามอย่างละเอียดเพื่อทำการวิจัยก็ตามที
ชาห์นร้องหืมขณะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ข้าได้ยินมาว่าโลกภายนอกมีสิ่งที่เรียกว่าระบบชนชั้นอยู่ใช่ไหมคะ โดยเฉพาะพวกขุนนางที่จะมีอำนาจมากกว่าคนอื่น อ๊ะ แล้วก็ยังมีราชวงศ์ที่มีอำนาจมากกว่าพวกเขาด้วย”
“ใช่แล้วละ”
“ถ้าอย่างนั้น ราชวงศ์ก็ได้รับทุกสิ่งที่ต้องการเลยหรือเปล่าคะ”
“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก”
ชาห์นโคลงศีรษะไปมาเมื่อได้ยินคำตอบของอาวาเน่
“แต่ข้าได้ยินมาว่าพวกขุนนางต้องทำตามคำสั่งของราชวงศ์นี่คะ”
“ใช่แล้ว อันที่จริงขุนนางส่วนใหญ่ต้องเชื่อฟังคำสั่งของราชวงศ์อย่างเด็ดขาด แต่มีอยู่ตระกูลหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น”
อาวาเน่ โรพิลลี่ยกนิ้วมือขึ้นมานิ้วหนึ่งพลางกล่าวขึ้น
“นั่นก็คือตระกูลลอมบาร์เดีย”
“เอ๊ะ…ลอมบาร์เดีย”
รู้สึกคุ้นจัง
เวลาเดียวกับที่หัวใจของชาห์นเริ่มเต้นระรัว ในที่สุดนางก็เจอเบาะแสของความฝันนั้นแล้ว
“เป็นตระกูลที่ทำให้อาณาจักรแลมบลูมีวันนี้และเป็นตระกูลที่มีอำนาจอันแข็งแกร่งค่ะ แม้แต่จักรพรรดิก็ยังไม่สามารถปฏิบัติกับพวกเขาอย่างไม่เกรงใจได้”
“ทำไมล่ะคะ”
“อืม ข้าได้ยินมาว่ามีคำสัญญาระหว่างลอมบาร์เดียและราชวงศ์อยู่ ตอนที่อาณาจักรก่อตั้งขึ้น ตระกูลที่สนับสนุนให้คนจากตระกูลดิวเรลลี่ขึ้นเป็นจักรพรรดิก็คือลอมบาร์เดียนี่แหละค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง…”
“อีกอย่าง เรียกได้ว่าอาณาจักรไม่อาจเดินต่อไปโดยปราศจากลอมบาร์เดียก็ได้ค่ะ มันค่อนข้างยากที่จะอธิบายทีละเรื่องอย่างละเอียด แต่ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ”
“แล้วที่ตระกูลลอมบาร์เดียที่ว่านั่น มีคนที่ชื่อว่า ‘ฟีเรนเทีย’ อยู่หรือเปล่าคะ”
“ไม่แน่ใจสิคะ พอดีว่าข้าไม่ทราบชื่อสมาชิกทุกคนในตระกูลลอมบาร์เดียน่ะค่ะ…ว่าแต่ทำไมถึงถามถึงเรื่องนั้นล่ะคะ”
“ฝันที่ข้าพูดถึงเมื่อครู่ก่อนน่ะค่ะ มีคนที่ชื่อว่าฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียออกมาอยู่เรื่อยเลย”
“…จะบอกว่าชาห์นฝันบอกเหตุเกี่ยวกับตระกูลลอมบาร์เดียอย่างนั้นเหรอ”
ชาห์นยิ้มพลางผงกศีรษะให้กับคำถามของอาวาเน่ โรพิลลี่ที่ตื่นตระหนก
แต่นั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น
หลังจากประเมินเวลาจากการดูดวงอาทิตย์นอกหน้าต่าง ชาห์นก็รีบดื่มชาให้หมดแล้วลุกขึ้น
“เรื่องราวอย่างละเอียดไว้คราวหน้าข้าจะนำสมุดบันทึกมาด้วยนะคะ วันนี้ข้าต้องกลับก่อนแล้ว”
“อ๊ะ ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย ไว้เจอกันคราวหน้านะชาห์น”
นางเร่งฝีเท้ากลับบ้านอย่างฉุกละหุก
เพราะมัวแต่ตกใจกับคำว่าลอมบาร์เดีย จึงทำให้เผลอเลื่อนเวลาออกไปนานกว่าปกติ
ชาห์นที่วิ่งมาจนหอบเหนื่อยรีบเก็บงำเสียงฝีเท้าทันทีที่มาถึงบริเวณใกล้ๆ บ้าน
จากนั้นหมุนลูกบิดประตูอย่างระมัดระวังที่สุด
โชคดีที่บ้านยังว่างเปล่าเหมือนกับตอนที่นางออกไป
“เฮ้อ ค่อยยังชั่ว”
ขอแค่รีบกลับเข้าไปในห้องก็จะรอดแล้ว…
“เจ้าไปบ้านของนักวิชาการคนนั้นมาอีกแล้วสินะ”
ชาห์นพลันสะดุ้งเฮือก ไหล่กระตุกอย่างแรง
ชาห์นหันหลังกลับไปช้าๆ โซอูราที่โกรธจัดกำลังจ้องเขม็งมาที่นาง