เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 43
SPIN-OFF บทที่ 43
“ทะ ท่านแม่…” ชาห์นยิ้มแหยๆ โดยยังจับลูกบิดประตูห้องเอาไว้อย่างนั้น “กลับมาแล้วเหรอคะ”
นางพยายามทำตัวออดอ้อนสุดความสามารถ แต่ไม่ได้ผล
“ชาห์น”
“…ค่ะ ท่านแม่”
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามยุ่งกับคนจากภายนอกอีก”
“ก็…ใช่ค่ะ”
โซอูราไม่ได้สั่งห้ามชาห์นไม่ให้ไปพบอาวาเน่ตั้งแต่แรก
นางยังค่อนข้างภูมิใจในตัวชาห์นที่ให้ความสนใจคนภายนอกต่างจากคนอื่นในหมู่บ้านด้วยซ้ำ
ที่สำคัญ โซอูรายังเป็นคนแนะนำให้ชาห์นไปพูดคุยกับอาวาเน่
แต่เมื่อประมาณสามเดือนก่อน ท่าทางของนางก็เริ่มเปลี่ยนไป
จู่ๆ วันหนึ่งโซอูราก็เปลี่ยนท่าทีที่มีต่ออาวาเน่ โรพิลลี่ไปโดยสิ้นเชิง
“ข้าไม่เข้าใจเลยค่ะท่านแม่ ทำไมถึงได้เอาแต่ห้ามล่ะคะ”
ในที่สุดชาห์นก็บอกความคิดของตนเองออกไปตามตรง
“ตอนแรกข้าคิดว่าท่านแม่อาจจะเห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอาวาเน่ โรพิลลี่ อย่างเช่นภายนอกกับภายในของนางอาจจะเป็นคนละคนกันอะไรอย่างนั้นน่ะค่ะ”
ดังนั้นชาห์นจึงเฝ้าระวังนางอยู่ช่วงหนึ่ง
“แต่ว่าอาวาเน่ โรพิลลี่ เป็นคนดีค่ะ เป็นคนที่มีแต่ความคลั่งไคล้ในงานวิจัยจนไม่มีช่องว่างให้ความคิดอื่นแทรกเข้าไปได้เลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น…ถ้ามันจะมีปัญหาละก็ ปัญหานั้นคงจะไม่ได้อยู่ที่นาง แต่อยู่ที่ข้าใช่ไหมล่ะคะ”
ชาห์นจ้องใบหน้าของโซอูราตรงๆ พลางกล่าวขึ้น
“ท่านแม่มองเห็นอะไรกันแน่คะ”
จากนั้นชาห์นก็เห็น
เห็นว่าก่อนที่โซอูราที่มีสีหน้าไร้อารมณ์จะหันหน้าไปอีกทางคล้ายจะหลบสายตา นัยน์ตาของนางสั่นไหวรอบหนึ่ง
“อย่าพูดจาเหลวไหลชาห์น”
โซอูราเดาะลิ้นจิ๊จ๊ะแล้วกล่าวขึ้น
“เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าก็จริง แต่ก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของชนเผ่าชาราห์ด้วย เจ้าแค่เชื่อฟังคำพูดของข้าก็พอ”
“จะบอกให้ข้าทำตามคำสั่งของท่านแม่โดยที่ห้ามถามอะไรเลยอย่างนั้นเหรอคะ”
น้ำเสียงของชาห์นเริ่มแฝงไปด้วยความโกรธ
“ต้องทำตามโดยห้ามโต้แย้งเนี่ยนะ ช่างเป็นคำพูดที่ไม่สมกับที่เป็นโซอูรา ผู้นำที่เฉลียวฉลาดที่สุดในบรรดาผู้นำของเผ่าชาราห์เลยนะคะ”
ปึง!
ในที่สุดโซอูราก็กระแทกไม้เท้าที่อยู่ในมือลงบนพื้นอย่างแรง
จากนั้นหันไปตะโกนใส่ชาห์นเสียงดังลั่น
“ในเมื่อเจ้าอยากรู้เหตุผล ข้าก็จะบอกให้! เจ้าคือคนที่จะนำพาเผ่านี้ต่อจากข้าในภายภาคหน้า เจ้ารู้บ้างไหมว่าคณะผู้อาวุโสพูดว่าอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าไปสนิทสนมกับคนภายนอก”
นัยน์ตาสีขาวขุ่นของโซอูราเบิกโพลงด้วยความโกรธ
“ขืนเจ้ายังทำเช่นนี้ต่อไป อนาคตของเจ้าจะต้องตกอยู่ในอันตราย!”
ความเงียบพลันปกคลุมลงมา
ชาห์นค่อยๆ ก้มหน้าลง
ท่าทางราวกับกำลังคิดทบทวน
แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง โซอูราก็ตระหนักได้ว่าการคาดเดาของตนเองผิดไปเมื่อได้เห็นใบหน้าหงุดหงิดของบุตรสาวที่เงยขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยนี่คะ” ชาห์นพูดขึ้นเงียบๆ “เดี๋ยวนี้รู้จักโกหกด้วยแล้วเหรอคะ”
โกหก
มือของโซอูราที่กำไม้เท้าอยู่พลันชะงักไปเมื่อได้ยินคำนั้น
“ตำแหน่งผู้นำเผ่า เป็นตำแหน่งที่ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งและโดดเด่นที่สุดในรุ่นนั้นเป็นผู้รับช่วงต่อ และไม่มีผู้ใดที่มีพลังโดดเด่นไปมากกว่าพลังในการมองเห็นอนาคตของข้าแล้ว ซึ่งคณะผู้อาวุโสก็รู้เรื่องนั้นดีกว่าใคร ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถต่อต้านได้อยู่แล้วนี่คะ เพราะผู้นำคนต่อไปของเผ่า ก็คือข้าที่เป็นบุตรสาวของท่านแม่ยังไงล่ะคะ”
ชาห์นจ้องไปยังโซอูราตรงๆ
“ก่อนที่ข้าจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเผ่านี้ ข้าเป็นลูกสาวของท่านแม่ค่ะ ข้ารู้จักท่านแม่ดีกว่าใครทั้งหมด”
“…ชาห์น”
“พูดมาเถอะค่ะ เหตุผลที่แท้จริง”
โซอูราเป็นคนที่หากตัดสินใจอะไรลงไปแล้วก็จะไม่มีวันก้มหัวลงเด็ดขาด
แต่ว่า ชาห์น หรือบุตรสาวของนางก็สืบทอดนิสัยอย่างนั้นของโซอูรามาเต็มๆ
“ถ้าท่านแม่ไปบอก ข้าก็ไม่ฟังคำพูดของท่านแม่หรอกนะคะ”
ชาห์นกล่าวอย่างดื้อรั้น
แต่ทว่าก็ไม่ได้รับคำตอบใดกลับมา
“…”
โซอูราสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำเพียงส่ายหน้าไปมา
ชาห์นที่มองภาพนั้นด้วยแววตาผิดหวังได้แต่หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องของตนเองเงียบๆ
***
รอบด้านเอะอะโวยวายไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้คนที่สวมเสื้อผ้าแปลกประหลาด
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางได้เห็นคนมากมายถึงเพียงนี้ในครั้งเดียว
ชาห์นหลุบตามองสถานที่ที่ตนเองยืนอยู่
มันไม่ใช่พื้นดินของหมู่บ้านที่บดอัดด้วยดินเหนียว
บนพื้นปูด้วยหินหยาบและแข็งโดยไม่เหลือแม้แต่ช่องว่าง ไม่มีทางที่ต้นหญ้าจะเติบโตขึ้นมาได้
คราวนี้นางเงยหน้าขึ้นและกวาดสายตามองไปรอบๆ
อาคารบ้านเรือนขนาดใหญ่ตั้งสูงตระหง่านแทนที่ต้นไม้ที่สามารถมองเห็นได้ในทุกที่ของหมู่บ้าน
นางเริ่มเดินไปตามถนนที่ทอดยาวออกไป
นี่คือโลกอันน่าอัศจรรย์ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งที่นางเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต
ถนนที่ปูด้วยหินไม่ใช่ดินนุ่มๆ ทำให้เท้าของนางรู้สึกเจ็บ
แต่กระนั้นชาห์นก็ทำเพียงมองตรงไปข้างหน้าและเดินต่อไป
ราวกับคนที่มีจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว
และปลายสุดของทางสายนั้น มีจัตุรัสอันโล่งโปร่งอยู่
นางมองเห็นอะไรบางอย่างขนาดใหญ่ที่มีน้ำพุ่งขึ้นด้านบนตั้งอยู่ตรงกลางนั้น
นั่นคือน้ำพุที่อาวาเน่พูดถึงหรือเปล่านะ
นางหยุดฝีเท้าลงชั่วขณะ
อาจเพราะต้องการดื่มด่ำกับทิวทัศน์ของจัตุรัสจากที่ไกลๆ
แต่สายตาของนางกลับไม่ได้จ้องไปที่น้ำพุ
นางกำลังมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างนั้น
ชายเสื้อยาวๆ ที่เขาสวมอยู่และเรือนผมสีน้ำตาลพลิ้วไหวทุกครั้งที่สายลมพัดผ่าน
เขากำลังวาดอะไรบางอย่างอย่างตั้งใจ แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นเพราะเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของเด็กๆ
แววตาที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ให้เด็กน้อยที่วิ่งเล่นกันอยู่ตรงหน้าแฝงไปด้วยความอบอุ่น
แล้วจู่ๆ สายตาของชายหนุ่มก็เบนมาทางนี้
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ชายหนุ่มที่เอาแต่มองไปบนถนนในตอนแรกกำลังจ้องมาที่ชาห์น
เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตาราวกับตัวแข็งไปแล้ว
แม้จะอยู่ห่างกันมาก แต่ทั้งสองคนก็พัวพันกันด้วยสายตาเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
ชาห์นเริ่มขยับฝีเท้าอีกครั้ง
นางมุ่งหน้าไปยังชายหนุ่มคนนั้น
และตอนที่หยุดยืนตรงหน้าของเขา ชายหนุ่มก็แหงนมองชาห์นอย่างเหม่อลอยพอดี
“สวัสดี”ชาห์นกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม “ชื่ออะไรเหรอคะ”
แววตาอ่อนโยนที่หางตาตกลงด้านล่างเล็กน้อยพลันกะพริบอย่างแรง
“…แคลอฮัน”
เขาตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นเทาเล็กน้อย
“ข้าชื่อแคลอฮันครับ”
ชาห์นลืมตาพรวด
“แคลอฮัน…”
หัวใจที่เพิ่งตื่นขึ้นจากฝันเต้นตึกตักเสียงดัง
นางค่อยๆ หยัดตัวขึ้น แล้วนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง
วันนี้ไม่จำเป็นต้องรีบเปิดสมุดบันทึกเพื่อจดเนื้อหาในความฝันอีกแล้ว
เพราะนางไม่มีทางลืมความฝันนี้ได้
“คนผู้นั้นชื่อแคลอฮันนี่เอง”
ชายหนุ่มที่นางฝันถึงมาหลายครั้ง และเพิ่งจะได้เห็นใบหน้าในช่วงนี้
ในที่สุดนางก็ได้รู้ชื่อของเขาเสียที
ยิ่งไปกว่านั้น
“ข้าได้คุยกับเขาด้วย”
สิ่งที่เห็นในความฝัน คือในอนาคตนางเดินทางออกจากหมู่บ้าน
แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าสถานที่ที่ได้พบกับชายผู้นั้นคือที่ไหน แต่พอลองนึกถึงลักษณะภูมิประเทศและสภาพอากาศ มันต้องเป็นสถานที่ที่อยู่ห่างไกลจากป่าทึบมากไม่ผิดแน่
เห็นได้ชัดว่าความฝันกำลังบอกอะไรอยู่
“นี่ข้า…จะออกไปจากที่แห่งนี้อย่างนั้นเหรอ”
ชาห์นคิดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่
มันเป็นเรื่องที่นางไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน
ออกจากเผ่าอย่างนั้นเหรอ
ชาห์นกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่
จากนั้นนางก็ประเมินเวลา
ยังเช้าอยู่ แต่ด้านนอก
ห้องกลับเงียบสงบแล้ว
เพราะวันนี้เป็นวันที่การประชุมผู้อาวุโสจะจัดขึ้นในทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้น
ชาห์นลุกขึ้นจากเตียงนอนอย่างรวดเร็ว จากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าและกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาจากบ้าน
เสียงเดินจ้ำอ้าวดังสะท้อนไปทั่วทางเดินในหมู่บ้านอันเงียบสงบ
“อ้าว ชาห์น! ท่างพี่ชาห์น!”
อนทาร์เด็กน้อยวัยสี่ขวบที่ออกมาเล่นดินหน้าบ้านตั้งแต่เช้าโบกมือให้ชาห์นอย่างยินดีเมื่อได้เห็นนาง
“สวัสดีอนทาร์ อรุณสวัสดิ์นะ”
“ฮิฮิ อารุนฉะหวัด!”
อนทาร์เป็นเด็กที่ยิ้มง่ายเป็นพิเศษและยังขี้อ้อนไม่น้อย
คิดดูว่าเขาน่ารักขนาดไหน แม้จะยังเป็นแค่เด็กตัวน้อยที่พลังยังไม่ตื่นขึ้น แต่ก็มีหลายครอบครัวหมายตาให้เขามาเป็นลูกเขยในอนาคตแล้ว
“วิ่งไม่ได้นะ! ถ้าล้มตึงขึ้นมาจะร้องโอ๊ยนะ!”
ชาห์นโบกมือแรงๆ ให้อนทาร์ที่เป็นห่วงว่านางจะหกล้ม
“พี่แข็งแรงไม่เป็นอะไรหรอก เล่นให้สนุกนะอนทาร์!”
“อื้อ!” อนทาร์ฉีกยิ้มกว้างจนเต็มใบหน้าน้อยๆ ขณะโบกมือตอบกลับ
ในที่สุดชาห์นก็มาถึงหน้าบ้านของอาวาเน่โดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งของเวลาปกติด้วยซ้ำ
“แฮ่ก แฮ่ก อาจารย์อาวาเน่! ตื่นหรือยังคะ”
“เอ๋? ทำไมมาแต่เช้าเลยล่ะชาห์น รีบเข้ามาก่อน”
อาวาเน่ที่กำลังกินอาหารเช้าอยู่พอดีต้อนรับชาห์นอย่างยินดี
“ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม ข้ากินคนเดียวเหงามาก มานั่งตรงนี้สิคะ”
ในที่สุดข้าวต้มขาวรสหวานส่วนของชาห์นก็ถูกนำมาวางถ้วยหนึ่ง
สุดท้ายอาวาเน่ก็ต้องหัวเราะออกมา หลังจากที่แสร้งทำเป็นไม่เห็นชาห์นที่ทำท่าจะกินไม่กินแม้ว่าจะถือช้อนขึ้นมาตามมารยาทแล้ว
“ดูเหมือนจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นสินะ มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“คือว่า…ข้าฝันน่ะค่ะ ฝันถึง…ผู้ชายคนหนึ่ง”
“ตายจริง ผู้ชายงั้นเหรอคะ”
อาวาเน่ถึงกับวางช้อนที่ถืออยู่ในมือลง ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายวิบวับ
“หรือว่าฝันเกี่ยวกับสามีในอนาคตเหรอคะ ชาห์นบอกว่าฝันของชาห์นไม่เคยผิดพลาดเลยนี่นา!”
“มะ ไม่ใช่ค่ะ! สามีอะไรกัน…”
ใบหน้าของชาห์นร้อนผ่าวจนแดงก่ำ
“ข้าก็แค่ฝันว่าได้เจอผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้นเองค่ะ”
อาวาเน่ โรฟิลลี่จงใจยิ้มกว้างกว่าเดิมพลางเอ่ยถาม
“แล้วเป็นยังไงบ้างคะ ได้เห็นหน้าหรือเปล่า”
“เห็นค่ะ”
“หล่อไหมคะ”
“…ค่ะ” โกหกไม่ได้อยู่แล้วนี่นา
ชาห์นปลอบใจตนเอง
“หน้าตาใจดีแล้วก็ นะ…น่ารักเลยค่ะ โอ๊ย ข้าไม่รู้แล้ว!”
สุดท้าย แม้แต่อาวาเน่ก็ยังสะบัดขาไปมา
“ในเมื่อตอนนี้ได้เห็นหน้าเขาแล้ว แสดงว่าอีกไม่นานก็จะได้เจอกันแล้วสิคะ ใช่ไหมคะ?”
“เอ่อ…”
สีหน้าของชาห์นหม่นหมองลงในชั่วพริบตา
“บางทีคงไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะคะ?”
“เพราะว่า” เสียงถอนหายใจปะปนมากับคำพูดของชาห์น “เขาไม่ใช่คนในเผ่าของเราค่ะ เขาดูเหมือนคนที่อยู่ข้างนอก”
“คน…ที่อยู่ข้างนอกเหรอคะ”
อาวาเน่ โรพิลลี่ถามกลับอย่างตกใจ
“เป็นเมืองเมืองหนึ่งที่มีขนาดใหญ่มากเลยค่ะ มีน้ำพุด้วย แล้วข้าก็ได้พบชายผู้นั้นที่น้ำพุนั้นค่ะ”
ความทรงจำนั้นชัดเจนถึงขนาดที่แม้ตอนนี้เวลาจะผ่านไปพอสมควรแล้วหลังจากตื่นขึ้น แต่นางก็ยังสามารถอธิบายเนื้อหาในความฝันได้เป็นฉากฉาก
“แต่ว่าข้าไม่มีทางออกไปจากป่าแห่งนี้ เพราะงั้นก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกันหรอกค่ะ”
“อ่า นั่น…”
หลังจากสังเกตท่าทีของชาห์นครู่หนึ่ง อาวาเน่ก็เอ่ยปากอย่างระวัง
“ข้าก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะคะ แต่ว่าดูเหมือนการที่คนในเผ่าจะออกไปนอกป่า จะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ ไม่ว่ายังไงก็ตาม”
“แต่ถ้าคนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มในโชคชะตาของชาห์นขึ้นมาจริงๆ ละก็…”
บทสนทนาระหว่างทั้งสองคนพลันขาดหายไปครู่หนึ่ง
ชาห์นถามคำถามกับอาวาเน่เป็นการจบความเงียบอันน่าอึดอัด
“ไม่ทราบว่าชื่อ ‘แคลอฮัน’ เป็นชื่อที่พบได้บ่อยทางด้านนอกไหมคะ”
“แคลอฮันเหรอคะ หืมม”
อาวาเน่โคลงศีรษะไปมา
“เป็นชื่อที่พบได้ยากเสียอีกค่ะ ในบรรดาคนที่ข้ารู้จักไม่มีสักคนเลยที่มีชื่อว่า ‘แคลอฮัน’”
สิ่งที่นางรู้มีแค่ภาพของจัตุรัสที่ได้พบกับเขาคนนั้นและชื่อ ‘แคลอฮัน’ เท่านั้น
นางจะสามารถตามหาคนคนนั้นได้พบเพียงแค่ของเหล่านี้ไหมนะ?
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้หากนางสามารถออกไปจากป่าแห่งนี้ได้
“เฮ้อ”
แต่อย่างไรก็คงไม่มีวันเป็นไปได้หรอก
ขณะที่ชาห์นคิดเช่นนั้นพลางถอนหายใจนั่นเอง
อาวาเน่ร้อง ‘อ๊ะ!’ ขึ้นมา ก่อนจะปรบมือทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า
“จะว่าไปแล้ว ชื่อของบุตรชายคนที่สามของตระกูลลอมบาร์เดียก็คือ ‘แคลอฮัน’ นี่นา!”