เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 46
SPIN-OFF บทที่ 46
สิบวัน
เป็นเวลาที่ท่านแม่กำหนดไว้ก่อนออกเดินทางจากหมู่บ้าน
“เตรียมทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลานั้นเสียละ ไปบอกอาวาเน่ โรพิลลี่ด้วย”
ในวันที่ตื่นขึ้นมาจากห้วงฝันอันยาวนาน หลังจากความเงียบสงัด โซอูราก็ทิ้งคำพูดนั้นไว้และหมุนตัวจากไป
แม้จะเป็นระยะเวลาที่สั้นเกินไปสำหรับการพักฟื้นร่างกายและเตรียมพร้อมเพื่อเดินทางไกล แต่ชาห์นก็ทำเพียงพยักหน้ารับ
นางแค่รู้สึกผิดต่ออาวาเน่ที่ต้องสะสางงานวิจัยให้เสร็จสิ้นภายในสิบวันอย่างกะทันหันก็เท่านั้น
ดังนั้นหลังจากที่ร่างกายฟื้นตัวจนพอจะลุกขึ้นมาเดินได้ ชาห์นจึงไปบ้านของอาวาเน่อยู่บ่อยครั้งเพื่อช่วยเรียบเรียงเอกสาร
“เฮ้อ นี่ก็ใกล้จะเสร็จหมดแล้วละค่ะ ต้องขอบคุณชาห์นเลยนะคะ”
อาวาเน่เช็ดเหงื่อพลางกล่าวขึ้น
เหลือเวลาอีกเพียงสามวันก่อนจะถึงเส้นตายที่โซอูรากำหนดไว้
“ที่อาจารย์ต้องรีบจากไปแบบนี้ก็เป็นเพราะข้าอยู่แล้ว ข้าจะไม่ช่วยได้ยังไงกันคะ”
ชาห์นยิ้มขณะปัดสองมือที่เลอะฝุ่น
พอสะสางงานที่กวนใจมาตลอดหลายวันเสร็จไปเปลาะหนึ่ง ใบหน้าก็แจ่มใสขึ้น
“ว่าแต่ชาห์นเป็นยังไงบ้างคะ? เตรียมตัวพร้อม…สำหรับการเดินทางหรือยัง?”
คำถามของอาวาเน่ฟังดูระมัดระวัง
“อืม…”
ชาห์นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าลงในไม่ช้า
“ถึงยังไงข้าก็ไม่มีอะไรให้เอาติดตัวไปด้วยเท่าไรอยู่แล้วค่ะ”
“…ท่านหัวหน้าเผ่าล่ะคะ?”
ทันทีที่กล่าวถึงโซอูรา ใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มอยู่ของชาห์นก็มีเงาหม่นทอดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ดูเหมือนท่านแม่จะโมโหมากเลยค่ะ”
โซอูราทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
นางทำงานไม่ต่างจากเมื่อก่อน และเมื่อถึงตอนเย็นก็ยังมานั่งกินข้าวด้วยกัน
แต่ใช่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ
“ท่านแม่ไม่สบตากับข้าเลยค่ะ”
โซอูราหลบสายตาของชาห์นตลอดเวลา
ราวกับว่านางไม่อยากอ่านสิ่งที่ชาห์นกำลังคิดอยู่โดยไม่ตั้งใจ
“คนที่กำลังจะจากไปกับคนที่ต้องส่งคนที่กำลังจะจากไป ยังไงก็ต้องต่างกันอยู่แล้วค่ะ เพราะตราบใดที่ยังไม่ปรับเปลี่ยนกฎระเบียบภายในเผ่า ทั้งสองคนก็คงจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลยนี่คะ ชาห์นก็ต้องเข้าใจท่านหน่อยนะคะ”
“นั่นสินะคะ คงไม่ได้เจอกัน…อีกนานเลยละค่ะ”
ความหมายที่แท้จริงของการออกจากหมู่บ้าน มีเพียงชาห์นและโซอูราเท่านั้นที่รู้
ชาห์นที่นับวันที่จะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับมารดาขึ้นมาพลันผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่กำลังนั่งพักอยู่
“ข้าขอตัวกลับก่อนนะคะ อาจารย์อาวาเน่ ดูเหมือนวันนี้น่าจะต้องกลับเร็วหน่อยค่ะ”
“ได้เลยค่ะ ไว้เจอกันนะคะชาห์น”
หลังจากออกมาจากบ้านของอาวาเน่ โรพิลลี่ นางก็มุ่งหน้ากลับบ้านทันทีโดยไม่แวะที่ใดเลย
เหลือเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันอีกไม่มากแล้ว จะปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเสียเปล่าแบบนี้ไม่ได้
บางทีโซอูราอาจจะไม่ให้อภัยนางไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่อยากจากไปโดยที่เอาแต่สังเกตท่าทางของมารดาอยู่แบบนี้
“ทำมื้อเย็นสักหน่อยก่อนที่ท่านแม่จะกลับมาดีกว่า”
ถึงอย่างไรก็ควรใช้เวลากับท่านแม่หน่อยละนะ
ในตอนที่ยังเจอหน้าท่านแม่ได้ ก็เจอกันให้มากหน่อยแล้วกัน
แต่แผนการนั้นกลับพังไม่เป็นท่าก่อนที่จะได้เริ่มต้นขึ้นเสียอีก
“กลับมาแล้วเหรอ” โซอูรากำลังรอคอยชาห์นอยู่ก่อนแล้ว
“ทะ ท่านแม่?”
ชาห์นนึกไม่ถึงเลยว่าโซอูราจะอยู่บ้านในเวลานี้ นางรู้สึกสับสนไม่น้อย
โซอูราทำไม้ทำมือไปทางลูกสาวที่ตกใจจนยืนหยุดอยู่หน้าประตูและไม่ยอมเดินเข้ามา
“ข้ามีอะไรจะให้ เจ้ารีบเข้ามานั่งข้างในสิ”
ชาห์นรีบเดินเข้าไปนั่งตรงตำแหน่งที่โซอูราชี้
บนโต๊ะที่ตั้งอยู่กลางบ้านมีห่อผ้าหลายห่อวางอยู่
โซอูราเอ่ยถามชาห์นที่ไม่กล้าถามว่ามันคืออะไรและทำเพียงพิจารณาด้วยสายตาอย่างตั้งใจ
“เตรียมตัวเดินทางไปถึงไหนแล้วล่ะ”
“เก็บของที่บ้านของอาจารย์อาวาเน่เสร็จเรียบร้อยหมดแล้วค่ะ คิดว่าสามารถจากไป…ตามเวลาที่ท่านแม่กำหนดไว้ได้ค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” โซอูราพยักหน้า จากนั้นกล่าวต่อไป
“นำของพวกนี้ติดตัวไปด้วยสิ”
“พวกนี้คืออะไรเหรอคะ ท่านแม่?”
เสียงกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นทันทีที่นางยกกระเป๋าที่หนักอึ้งใบแรกขึ้นมา
ดวงตาทั้งสองข้างของชาห์นที่เอียงศีรษะแอบมองด้านในพลันเบิกกว้าง
“นี่มัน…เงินที่ใช้กันด้านนอกนี่คะ”
ในหมู่บ้านที่ใช้การแลกเปลี่ยนสิ่งของและแบ่งปันสิ่งของส่วนใหญ่ร่วมกันนั้น ของเหล่านี้ถือว่าไม่มีความจำเป็นอะไรเลย
“เขาบอกว่าสิ่งที่จำเป็นที่สุดข้างนอกก็คือเงินนี่นะ ดอกเตอร์อาวาเน่ โรพิลลี่ไม่ใช่คนอ่อนต่อโลก ต้องให้นางรับความช่วยเหลือให้ได้ละ”
“…ค่ะ”
หลังจากพยักหน้า ชาห์นก็แกะห่อผ้าห่อที่สอง
มีเสื้อผ้าตัวหนาใส่ไว้อยู่หลายตัวในห่อผ้าที่มีขนาดใหญ่กว่าห่อแรก
เป็นเสื้อผ้าที่หนาเตอะ ซึ่งในป่าที่มีอากาศร้อนตลอดทั้งปีไม่มีวันได้สวมใส่
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังไม่ใช่เครื่องแต่งกายแบบที่ใส่กันในเผ่าชาราห์ด้วย
เป็นชุดเดรส หรือไม่ก็เสื้อคลุมเหมือนอย่างที่อาวาเน่ โรพิลลี่สวมใส่
“ตอนนี้ข้างนอกเป็นฤดูหนาวแล้ว ชาห์น ถ้าเจ้าเริ่มออกไปนอกป่าแล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนเสื้อเสียด้วยละ”
นอกเหนือจากของเหล่านั้น โซอูรายังเตรียมถุงเท้าและรองเท้าที่ดูแข็งแรงซึ่งหุ้มไปจนถึงหัวเท้าด้วย
“แล้วก็นี่”
โซอูรายื่นห่อผ้าใบที่สามให้แก่ชาห์น
มันมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบากว่าสองใบก่อนหน้านี้มาก
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ชาห์นสามารถคาดเดาได้ทันทีว่าของสิ่งสุดท้ายนี้จะต้องมีความสำคัญและมีคุณค่ามากที่สุด
ชาห์นเม้มปากแน่นพลางแกะห่อผ้าใบที่สามด้วยท่าทางระมัดระมัง
“ท่านแม่ นี่มัน…”
นัยน์ตาสีเขียวของชาห์นที่จับจ้องไปยังโซอูราพลันสั่นไหว
“แผนที่…นี่คะ”
ตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านเผ่าชาราห์ที่อยู่ท่ามกลางป่าขนาดใหญ่ทางภาคใต้นั้น ถูกเก็บเป็นความลับอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด
มันเป็นวิธีปกป้องชนเผ่าจากผู้คนที่โลภในพลังวิเศษเมื่อนานแสนนานมาแล้ว
แต่แผนที่ที่โซอูรามอบให้ชาห์นในตอนนี้ จดบันทึกเส้นทางการเดินทางออกจากป่าไปจนถึงด้านนอกทั้งหมดเอาไว้อย่างละเอียด
“รู้ไหมว่าข้าต้องยืนกรานกับคณะผู้อาวุโสที่ดื้อดึงไม่ยอมให้วาดมันขึ้นมาเพียงใด มันก็เป็นแค่ฉบับคัดลอกที่วาดมาตามฉบับจริงเท่านั้นเองแท้ๆ”
โซอูราบ่นพึมพำอย่างคับข้องใจ
“หรือว่าที่ท่านแม่ยุ่งมาตลอดก็เพราะแผนที่นี่เหรอคะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ต้องมีมันเจ้าถึงจะออกจากป่าไปได้อย่างปลอดภัยไม่ใช่หรือไง อีกอย่าง”
คำพูดขาดตอนไปครู่หนึ่งก่อนจะดำเนินต่อไป
“เจ้าก็ต้องรู้เส้นทางกลับมาเผื่อไว้ด้วยสิ”
ฮึก
ชาห์นเม้มปากแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นก็เปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
“ข้า…ข้าคิดว่าท่านแม่โกรธข้าเสียอีกค่ะ เพราะงั้นข้าก็เลยคิดว่าท่านแม่ไม่อยากเห็นหน้าข้า”
“พูดอะไรไร้สาระ”
โซอูราเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ
“คิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าไปมือเปล่าอย่างนั้นหรือ?”
“…ขอบคุณนะคะ”
“เก็บรักษาให้ดีละ”
ชาห์นพับเสื้อผ้าและแผนที่เก็บด้วยท่าทางระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งราวกับกลัวว่ามันจะขาด
“เจ้าตั้งใจจะไปที่ไหนล่ะ”
“…ไปยังสถานที่ที่ชื่อว่าลอมบาร์เดียค่ะ” ชาห์นชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยต่อ “เห็นว่าอยู่ใจกลางอาณาจักรเลย อาจจะต้องใช้เวลาเดินทางนานหน่อยค่ะ”
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วละ”
“อะไรนะคะ?”
โซอูรากล่าวกับชาห์นที่โคลงศีรษะไปมา
“ระหว่างเดินทาง เจ้าก็ขอให้ดอกเดอร์โรฟิลลี่ช่วยสอนอักษรของโลกภายนอกให้เสีย จะไม่รู้อักษรไม่ได้”
“ค่ะ ท่านแม่”
“แล้วข้าก็จะเขียนจดหมายหาเจ้าด้วย หากเจ้าออกไปนอกป่าแล้วให้ไปยังตระกูลเซกเตอร์นะ ที่นั่นแลกเปลี่ยนกับชนเผ่าของพวกเรามาช้านาน พวกเขาจะให้การช่วยเหลือเอง อีกอย่าง…”
โซอูราเป็นคนพูดไม่มากนัก
ตัวนางที่ชาห์นเฝ้ามองมาตลอดการเติบโตเป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยพูดด้วยซ้ำ
ภาพที่ท่านแม่คนนั้นพูดออกมาไม่หยุดช่างทำให้รู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
“แล้วก็ชาห์น เจ้ามักจะป่วยหนักปีละครั้ง ระวังตัวด้วยล่ะ”
สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นก็คือความกังวลที่โซอูรามีต่อบุตรสาวที่จะเดินทางไปคนเดียว
“ท่านแม่…”
ชาห์นพุ่งตัวไปสวมกอดโซอูรา
โซอูราชะงักไปด้วยความตกใจครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลูบแผ่นหลังของชาห์น
“ข้าขอให้ทางเลือกที่เจ้าเลือก พาเจ้าไปพบกับความสุขของตัวเองนะ ชาห์น”
แม่ลูกสวมกอดกันอยู่อย่างนั้นโดยไม่แยกจากกันเป็นเวลานาน
***
วันที่ชาห์นและอาวาเน่ โรพิลลี่จะเดินทางออกจากป่า
ในเวลาที่ตะวันเพิ่งทอแสง ชาห์นและโซอูราก็ออกจากบ้านและมุ่งหน้าไปยังปากทางเข้าของหมู่บ้านที่อาวาเน่กำลังรออยู่แล้ว
เสียงเดินตึกตึกของทั้งสองคนดังก้องเป็นพิเศษ
ทั้งโซอูรา ทั้งชาห์น ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร
ทางเดินที่ทั้งยาวแต่ขณะเดียวกันก็สั้น สิ้นสุดลงตรงปากทางเข้าของหมู่บ้าน
อาวาเน่ทำความเคารพโซอูราที่ยืนห่างออกไปเล็กน้อยเงียบๆ นางไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้
เพื่อให้เวลาให้สองแม่ลูกได้ร่ำลากัน
หลังจากมองทางเดินที่เชื่อมออกไปนอกหมู่บ้านราวกับประเมิน ชาห์นก็หมุนตัวกลับมาหาโซอูรา
“ท่านแม่คะ”
“ชาห์น”
แต่ทั้งคู่กลับไม่สามารถพูดอะไรต่อได้
ขอโทษนะคะ
ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ
ข้ารักท่านแม่นะคะ
บุตรสาวที่มีคำพูดมากมายวนเวียนอยู่ในปาก แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาใดออกไป นางได้แต่สวมกอดมารดาอย่างเต็มแรงเป็นครั้งสุดท้าย
“…อืม”
มารดาที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้นบีบไหล่ของบุตรสาวที่รู้สึกว่ายังเป็นเด็กน้อยแน่น พลางกล่าวอย่างเฉียบขาด
“ไปเสีย ไปแล้วไม่ต้องหันกลับมามอง”
ชาห์นตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดของโซอูรา
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าไกลห่างออกไปเรื่อยๆ
นางรู้ว่าดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าลงมาจนแสบตาแล้ว แต่บุตรสาวกลับก้าวออกไปบนเส้นทางที่ยังมีแต่ความมืดมิด
โซอูราเฝ้ามองภาพด้านหลังนั้นโดยที่ใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอาไว้
จนกระทั่งนางไม่ได้ยินเสียงฝีเท้านั้นอีกต่อไป
“ระวังตัวด้วยนะ ระวังตัวด้วย…”
ท้ายที่สุด บริเวณปากทางเข้าของหมู่บ้านก็เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงพูดของโซอูรา