เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 47
SPIN-OFF บทที่ 47
กึกกัก!
ไม่รู้เพราะพลาดเหยียบก้อนหินบนถนนหรืออย่างไร รถม้าจึงสั่นโคลงเคลงอย่างรุนแรง
“อ๊ะ!”
“กรี๊ด!”
ภายในรถม้าโดยสารที่เต็มไปด้วยสัมภาระและผู้โดยสารสี่คนพลันมีเสียงเอะอะดังขึ้นรอบหนึ่ง
“โอ๊ย ให้ตายเถอะ! บังคับรถระวังๆ หน่อย!”
ชายหนุ่มที่น้ำกระเด็นโดนเสื้อจนเปียกชุ่มขณะที่กำลังจะดื่มน้ำตะโกนด่าคนขับเสียงดังลั่น
อาวาเน่ โรพิลลี่ปรับแว่นสายตาให้เข้าที่พลางเอ่ยถามฝั่งตรงข้าม หลังจากตื่นขึ้นอย่างกะทันหันเพราะแรงสั่นสะเทือนขณะที่นอนพิงผนังรถม้า
“ชาห์น เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“…คะ?”
ชาห์นที่กำลังมองไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยขานตอบช้าไปจังหวะหนึ่ง
จากนั้นก็พิจารณากระถางดอกไม้ที่กอดอย่างหวงแหนอยู่ในอ้อมแขนจนครบทุกซอกทุกมุม แล้วจึงพยักหน้าลงและตอบกลับว่า
“อ๋อ ไม่เป็นอะไรค่ะ ใบไม้ไม่ได้เสียหายอะไรค่ะ”
ที่ข้าถามไม่ได้หมายถึงพืชต้นนั้น แต่หมายถึงชาห์นต่างหาก
อาวาเน่ลังเลว่าควรจะถามอีกรอบดีหรือไม่ แต่ก็ส่ายหน้า
หลังจากที่ออกมาจากหมู่บ้านของเผ่าชาราห์จนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็ใกล้ถึงลอมบาร์เดียแล้ว
ระหว่างที่เดินทางด้วยกัน ทั้งสองคนสนิทสนมกันมากขึ้นและได้เรียนรู้เกี่ยวกับกันและกันมากมาย
แต่ชาห์นก็ยังมีบางมุมที่ทำให้อาวาเน่ต้องเอียงคอสงสัย
ไม่ว่าจะเรื่องที่นางรู้อะไรหลายๆ อย่างราวกับอาศัยอยู่ที่นั่นมาหลายปีแล้ว ทั้งที่เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางออกมาจากป่า หรือเรื่องที่นางไม่ปล่อยให้กระถางดอกไม้ที่นำติดตัวมาจากหมู่บ้านหลุดออกจากอ้อมแขนเลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
‘คงเป็นเพราะพลังนั่นสินะ?’
สำหรับคนธรรมดาที่ไม่อาจมองเห็นอนาคต ชาห์นก็ไม่ต่างไปจากเรื่องอัศจรรย์
อาวาเน่กระเถิบเข้าไปสะกิดเข่าของชาห์นที่อยู่ใกล้จนแทบชิดกันพลางกล่าว
“กระถางดอกไม้นี่ ชาห์นบอกว่ามันคือดอกบอมเนียใช่ไหมคะ? ดูหนักจังเลย เดี๋ยวข้าช่วยถือให้เองค่ะ ชาห์นนอนหลับให้สบายสักหน่อยเถอะนะคะ”
รถม้าโดยสารที่บรรทุกผู้คนที่มีจุดหมายปลายทางเดียวกันนั้นทั้งคับแคบและแออัด
การที่นางกอดต้นไม้นั้นไว้อย่างหวงแหนขณะที่เดินทางท่ามกลางความวุ่นวายอยู่ตลอดหลายวัน เป็นเรื่องที่ต้องใช้สมาธิและเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง
“อืม”
ชาห์นไตร่ตรองข้อเสนอของอาวาเน่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธในทันที
“ไม่เป็นไรค่ะ ใกล้จะถึงลอมบาร์เดียอยู่แล้วด้วย ข้าอดทนได้ค่ะ ขอบคุณที่ถามไถ่กันนะคะ อาจารย์อาวาเน่”
ชาห์นตอบกลับด้วยรอยยิ้ม กระชับอ้อมแขนที่โอบกระถางรอบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
‘มองอะไรถึงขนาดนั้นกันนะ’
แม้อากาศจะแจ่มใส แต่รถม้าก็วิ่งอยู่ในทุ่งที่รอบด้านไม่มีอะไรเลยนอกจากไร่นา
ทว่าดวงตาของชาห์นกลับขยับอย่างรวดเร็วราวกับกำลังมองอะไรบางอย่างเหนือทุ่งราบนั้น
อาวาเน่สงสัยจนทนไม่ไหวตามฉบับนักวิชาการจึงสะกิดหัวเข่าของชาห์นอีกครั้ง แล้วเอ่ยถามเสียงเบา
“มองอะไรถึงขนาดนั้นน่ะคะชาห์น”
“อืม ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกันค่ะ”
ชาห์นตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างเขินๆ
“ข้าก็แค่มองดูตึกสูงทางด้านนั้นน่ะค่ะ เป็นตึกที่มีคนเยอะมากเลย”
แต่อย่างไรก็ตาม สถานที่ที่ชาห์นชี้ไปก็มีแค่ทุ่งข้าวสาลีอันกว้างขวางที่ทอดยาวออกไปเท่านั้น
“คราวก่อนที่ผ่านเชซายู ชาห์นก็พูดอย่างนี้เหมือนกันเลย”
เชซายูเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่เดินทางผ่านในตอนที่เดินทางจากภาคใต้ขึ้นมาภาคกลางเท่านั้น
แต่ในขณะที่คนอื่นบนรถม้านอนกรนเสียงดังเพราะไม่มีอะไรให้ดูนอกจากแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ไหลผ่านบริเวณนั้น ชาห์นก็ยังไม่อาจละสายตาไปจากทิวทัศน์นอกหน้าต่างได้เลย
“อ่า คือเรื่องนั้น…”
ขณะที่ชาห์นยิ้มน้อยๆ และกำลังจะพูดอะไรบางอย่างนั่นเอง
เสียงหยุดม้าของคนขับดังขึ้นทางด้านนอก เวลาเดียวกับที่รถม้าค่อยๆ หยุดนิ่ง
“ทำไมรถม้า…ถึงหยุดวิ่งล่ะคะ? อาจารย์อาวาเน่”
ไหนว่าต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะถึงลอมบาร์เดียไงล่ะ
“น่าจะเป็นเพราะคนที่ยืนต่อแถวกันเพื่อจะเข้าไปข้างในนะคะ สงสัยพวกเราคงได้เข้าไปข้างในช่วงพระอาทิตย์ตกดินแน่เลย”
“นะ นานถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
“ก็ที่นี่เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในอาณาจักรนี่คะ ถ้าชาห์นสงสัยจะลองลงไปเดินดูก็ได้นะคะ”
อาวาเน่ยังกล่าวเสริมต่อว่า ‘ถึงยังไงก็ขยับไปไหนไม่ได้อีกพักใหญ่อยู่แล้ว’
“ถ้างั้น…เดี๋ยวข้ากลับมานะคะ”
ชาห์นเปิดประตูรถม้าอย่างระวังและออกมาด้านนอก
มันคือพื้นดินที่ได้เหยียบในรอบหลายชั่วโมง แต่นางไม่มีเวลาว่างมาสนใจเรื่องนั้น
“ว้าว”
ภาพที่รถม้าทุกประเภทและคนมากมายกำลังยืนต่อแถวกันยาวเหยียดช่างงดงามยิ่ง
และที่ปลายสุดของแถวนั้นก็มีเมืองขนาดใหญ่อยู่
แม้จะไม่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างทั่วถึงเพราะมีกำแพงสูงตระหง่านและทนทานบังอยู่
แต่แค่นั้นก็ทำให้ชาห์นพอใจแล้ว
เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้ นางก็สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามที่กระจายออกมาจากเมืองนี้แล้ว
“ที่นั่นน่ะเหรอ ลอมบาร์เดีย”
ชาห์นพึมพำพร้อมกับที่เกือบจะก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
เมืองที่เจริญรุ่งเรื่องที่สุดในอาณาจักร
ประจวบเหมาะกับที่มีสายลมเบาๆ พัดมาจากทางลอมบาร์เดียจนทำให้ใบของต้นบอมเนียสั่นพรึ่บพรั่บ แขนของชาห์นพลันขนลุกเบาๆ
จู่ๆ นางก็รู้สึกคิดถึงบ้านเกิดจนแทบทนไม่ไหว
อยากจะหมุนตัวจากไปทั้งอย่างนี้แล้วกลับไปยังสถานที่อันคุ้นเคย
แต่ชาห์นก็กำหมัดแน่น และพูดชื่อของคนผู้นั้นที่มอบความกล้าให้นาง
“…แคลอฮัน”
เขาอยู่ด้านในเมืองใหญ่ตรงนั้น
ชาห์นกอดกระถางดอกบอมเนียที่ตอนนี้เริ่มผลิดอกแล้วอย่างแนบแน่น
“ไม่ต้องกลัวนะ ชาห์น”
หลังจากให้กำลังใจตนเอง นางก็มองลอมบาร์เดียต่ออีกสักพัก ก่อนจะกลับขึ้นรถม้าไปอย่างเงียบๆ
***
ร้านอาหาร ‘คลื่นน้ำสีคราม’ ที่เป็นโรงแรมขนาดเล็กด้วยตั้งอยู่ในเมืองลอมบาร์เดีย เป็นที่ทราบกันดีของสามัญชนในละแวกนี้ว่าอาหารอร่อย
เมนูแนะนำอย่าง ‘อาหารเช้าสไตล์ครอบครัว’ เป็นเมนูที่ทำให้ช่วงเวลาตั้งแต่ฟ้าสางจนถึงเที่ยงวันเป็นช่วงเวลาที่ลูกค้าคึกคักมากที่สุด
“ชาห์น! ช่วยเอาขนมปังอันนี้ไปเสิร์ฟให้ลูกค้าโต๊ะนั้นหน่อยได้ไหม?”
มาจี เจ้าของร้านอาหารตะโกนพลางยื่นตระกร้าที่ใส่ขนมปังให้ ชาห์นที่รวบผมสีแดงไว้อย่างแน่นหนารีบรับมันมาทันทีแล้วกล่าวตอบ
“ได้เลยค่ะคุณป้า!”
‘คลื่นน้ำสีคราม’ เป็นที่พักแรมที่แรกที่ชาห์นเข้าพักหลังจากมาถึงลอมบาร์เดียเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
หลังจากอาวาเน่ที่อยู่เป็นเพื่อนประมาณหนึ่งสัปดาห์เดินทางออกจากลอมบาร์เดีย ชาห์นที่เหลือตัวคนเดียวก็เริ่มหางานและที่พักแรม
และมาจีที่ได้ฟังเรื่องราวนั้นก็เสนองานพร้อมที่พักให้อย่างยินดี
ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นโรงแรมที่ต้องตื่นนอนตั้งแต่ฟ้าสางและยุ่งจนหัวหมุนจนถึงช่วงบ่าย แต่ชาห์นก็พึงพอใจมาก
เพราะการต้องตื่นนอนตั้งแต่รุ่งสางเป็นความเคยชินที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ที่หมู่บ้าน และชาห์นยังสนุกกับการได้ทำงานที่ ‘คลื่นน้ำสีคราม’ ซึ่งทำให้นางได้พบเจอคนหลากหลายรูปแบบ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด นางยังได้รู้อะไรหลายเรื่องในระหว่างที่เดินไปมาผ่านกลุ่มคนด้วย
“ได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง? ได้ยินว่าเฮลเรน ลูกสาวของมาร์กเน่ได้เป็นนักเรียนทุนของลอมบาร์เดียแล้วนะ”
“จริงเหรอ? ไอ้ทุนที่ส่งเด็กฉลาดๆ ไปเรียนที่อคาเดมี่โดยไม่ต้องเสียเงินนั่นน่ะนะ?”
ต้องขอบคุณที่นั่นที่ทำให้ชาห์นได้เรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับเมืองนี้และตระกูลลอมบาร์เดีย เมื่อเทียบกับการที่ชาห์นเป็นคนต่างถิ่นที่มาถึงลอมบาร์เดียได้ราวๆ หนึ่งเดือน
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นมาจากโต๊ะที่มีหญิงสาวสองคนซึ่งดูเหมือนเป็นเพื่อนกันนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่
“รีบกินหน่อยสิ เร็วๆ!”
“เลิกเร่งข้าได้แล้ว! กินเร็วกว่านี้ข้าคงได้กัดลิ้นตัวเองพอดี!”
“ก็เมื่อกี้ข้าเห็นผู้ชายคนนั้นที่ริมแม่น้ำนี่นา! เราต้องรีบไปดูก่อนที่เขาจะลุกไปนะ!”
“รู้แล้วน่า รู้แล้ว! เฮ้อ ไปก็ไป!”
สุดท้ายหญิงสาวก็ทนคำรบเร้าของเพื่อนไม่ไหว และลุกออกไปโดยที่ยังเหลืออาหารอีกครึ่งหนึ่ง
ชาห์นเก็บเงินและถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
นางเพิ่งได้รู้ข้อมูลใหม่มาเมื่อเร็วๆ นี้
“คนที่ดูดีในสายตาข้า ก็คงดูดีในสายตาคนอื่นเหมือนกันนั่นแหละ”
นั่นก็คือ แคลอฮันเป็นบุคคลที่โด่งดังในหมู่หญิงสาววัยรุ่นของเมืองลอมบาร์เดียมาก
แน่นอนว่าคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นบุตรหลานของลอมบาร์เดีย
แต่ดูเหมือนแค่ความจริงที่ว่า ‘มีชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อมาก หล่อแบบสุดๆ โผล่มาวาดรูปในเมืองนานๆ ครั้ง’ ก็สั่นคลอนจิตใจของหญิงสาวหลายคนได้แล้ว
“ก็พอจะเข้าใจได้ละนะ”
ชาห์นย้อนนึกถึงภาพของแคลอฮันที่อยู่ในความทรงจำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
แคลอฮันทั้งหล่อเหล่าและรูปงาม
ผิวพรรณที่ขาวผ่องดูเปล่งประกายเจิดจ้า ดวงตาที่หางตาตกลงด้านล่างเล็กน้อยก็ทำให้เขาดูอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง
เหนือสิ่งอื่นใด แคลอฮันแสนจะน่ารัก
เขาคนนั้นที่ชาห์นเห็นในความฝัน เป็นชายหนุ่มที่น่ารักเหมือนลูกสุนัขขนปุยหรือไม่ก็กระรอกที่กำลังล้างหน้า
“ตาถึงกันจริงๆ นะ”
ชาห์นเบ้ปากพลางบ่นพึมพำ
แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นของข้าย่ะ
ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้นอยู่นั่นเอง
มาจีเจ้าของร้านอาหารตบไหล่ชาห์นแล้วกล่าวขึ้น
“ชาห์น งานเสร็จหมดแล้วละ กลับไปพักเถอะ”
“ป่านนี้แล้วเหรอคะเนี่ย? ถ้างั้นข้ากลับก่อนนะคะคุณป้า!”
“ได้สิ ระวังล้มล่ะ!”
ชาห์นวางผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่ไว้ด้านหนึ่งอย่างเป็นระเบียบ ก่อนเดินไปช้าๆ เพลิดเพลินกับสายลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิ
ทันทีที่รับรู้ได้ผ่านผิวหนังว่าฤดูใบไม้ผลิได้มาถึงแล้ว หัวใจก็เริ่มเต้นแรงขึ้นมา
“ใกล้จะได้เจอกันแล้วสินะ”
ชาห์นมักจะเดินไปจัตุรัสในทุกครั้งที่มีเวลาว่าง
เพื่อไปตรวจสอบว่าดอกไม้บนต้นไม้บานสะพรั่งเหมือนที่เห็นในความฝันแล้วหรือยัง
เมื่อหลายวันก่อน ชาห์นลองแอบถามคุณป้ามาจี และได้รับคำตอบกลับมาว่าดอกของต้นไม้ต้นนั้นจะบานช้ากว่าต้นไม้ต้นอื่นเล็กน้อย
เพราะงั้นน่าจะยังต้องรออีกหลายวัน
แต่แล้ว
“เอ๋…?”
ชาห์นก็ต้องกะพริบตาอย่างแรงเมื่อเดินมาถึงใต้ต้นไม้ที่อยู่ตรงทางผ่านไปจัตุรัส
“ดอกไม้…บานแล้วนี่นา”
เมื่อวานยังเป็นแค่ดอกตูมอยู่เลยนะ
ซ่า
กลีบดอกไม้ปลิวว่อนลงมาราวกับสายฝนทันทีที่ลมพัดผ่าน
นางสติหลุดไปครู่หนึ่งกับภาพทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน
ชาห์นค่อยๆ ลดศีรษะลงและจ้องไปยังภาพตรงหน้า
สายตาจับจ้องไปยังลานน้ำพุที่อยู่ใจกลางจัตุรัส
“ยะ อยู่ตรงนั้นด้วย!”
แม้จะอยู่ห่างไกล แต่นางก็มั่นใจว่าคนที่นั่งวาดอะไรบางอย่างอยู่ตรงลานน้ำพุก็คือแคลอฮัน
“เป็นวันนี้…สินะ”
วันนั้นที่นางเห็นในห้วงฝันไม่รู้กี่ครั้งก็คือวันนี้นี่เอง
ตึกตัก ตึกตัก
หัวใจเริ่มเต้นแรงจนไม่อาจรับมือได้
“ฮูว” ชาห์นสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
“จะตื่นเต้นจนน่าเกลียดไม่ได้ เราต้องมอบความประทับใจแรกให้เขา เพราะงั้นใจเย็นๆ…”
แล้วชาห์นก็ต้องหุบปากลงอย่างกะทันหัน
เพราะนางเผลอสบตากับแคลอฮันที่จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง
ตึกตัก ตึกตัก
สายลมพัดมาอีกครั้งท่ามกลางเสียงหัวใจเต้นที่ดังอื้ออึงอยู่ในหู
แม้จะอยู่ท่ามกลางกลีบดอกไม้ที่ปลิวกระจัดกระจาย ชาห์นก็ไม่ละสายตาออกไปจากแคลอฮันเลย
ซึ่งแคลอฮันก็เป็นเช่นเดียวกัน
เขาจ้องมาที่ชาห์นนิ่งๆ มือที่กำลังวาดรูปหยุดชะงักลง
เป็นช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะมีเพียงเราสองอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่รวมตัวกันอยู่ในจัตุรัส
ชาห์นขยับเข้าไปหาเขาทีละก้าวขณะที่โอบกอดความรู้สึกที่ทั้งอยากวิ่งหนี และทั้งอยากพุ่งตัวไปหาเอาไว้
และในที่สุดนางก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขา
“สวัสดี”
ค่อยยังชั่วที่เสียงของนางไม่สั่น
“…”
แต่แคลอฮันกลับไม่พูดอะไร
ทำเพียงแหงนหน้ามองชาห์นที่เดินเข้ามาหานิ่งๆ
ชาห์นพลันรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
หรือว่าข้าจะชวนคุยอย่างกะทันหันเกินไปจนทำให้เขาไม่สบอารมณ์?
ความหวาดกลัวจู่โจมเข้ามาทันที
แต่ชาห์นก็ยังรวบรวมความกล้าและถามออกไปอีกครั้ง
“ชื่ออะไรเหรอคะ?”
“…แคลอฮัน”
ผงะ
ไหล่ของชาห์นกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงที่ทุ้มต่ำกว่าที่คิด
“ข้าชื่อแคลอฮันครับ”
“เอ่อ…ข้า ข้าชื่อชาห์นค่ะ”
“…ชาห์น”
แคลอฮันพึมพำชื่อของนาง
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
หัวใจของชาห์นเต้นจนรู้สึกเจ็บ
เวลาเดียวกับที่รู้สึกร้อนใจขึ้นมา
ข้าควรจะพูดอะไรอีกสักหน่อย
ชาห์นโยนคำถามที่นึกขึ้นมาได้อย่างเร่งรีบออกไป
“อืมมม ชอบวาดรูปเหรอคะ?”
“…ใช่ครับ ถึงจะ…วาดไม่ค่อยสวยก็เถอะ”
แคลอฮันใช้นิ้วลูบมุมของกระดาษพลางตอบกลับ
“ข้าว่าวาดสวยออกนะคะ ถ้าไม่ว่าอะไรละก็ ข้าขอดูสักหน่อย…อ๊ะ!”
นางแค่ขยับเข้าไปใกล้เพราะกะจะดูรูปเฉยๆ แท้ๆ
แต่เป็นเพราะตื่นเต้นจนเกินไป ปลายเท้าจึงพันกันจนซวนเซจะล้มลง
ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นมีความคิดมากมายแล่นเข้ามาในสมอง
ความประทับใจที่ดีอะไรกันล่ะ
กลายเป็นผู้หญิงซุ่มซ่ามที่ล้มเพราะสะดุดเท้าของตัวเองไปเสียแล้ว
ชาห์นหลับตาปี๋
แต่ทั้งที่คิดว่าสิ่งที่กำลังรออยู่จะมีเพียงความเจ็บปวดและความเขินอายจากการที่หัวเข่ากระแทกกับพื้นหินแล้วแท้ๆ
หมับ!
นางลืมตาขึ้นอย่างฉับพลันเพราะรู้สึกเหมือนเอวถูกอะไรแข็งๆ โอบเอาไว้ สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในสายตาคือแผงอกของแคลอฮัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ชาห์นแหงนมองที่มาของเสียงด้วยความตกใจ
แต่สายตาดันขยับขึ้นไปเรื่อยๆ มากกว่าที่คิด
ศีรษะเงยอยู่เช่นนั้นพักใหญ่
“ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะครับ?”
หัวใจของชาห์นเต้นโครมครามอย่างแรง
ถ้าดูจากแววตาอ่อนโยนและผิวพรรณกระจ่างใส เขาก็คือแคลอฮันไม่ผิดแน่
เขาก็คือ ‘แคลอฮันของข้า’ ที่น่ารักเสียจนอยากดึงเข้ามากอด และอุ้มมานั่งเล่นบนตักไม่ผิดแน่
เอื๊อก
ชาห์นกลืนน้ำลายลงไปเอื๊อกใหญ่โดยที่ตนเองก็ไม่รู้ตัว
“…ชาห์น?”
แต่ดูเหมือนการที่นางจะอุ้มผู้ชายคนนี้ที่กำลังประคองตัวนางอย่างสบายๆ ด้วยแขนข้างเดียวนั้น…จะเป็นเรื่องที่ยากไปหน่อยแล้วละ