เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 49
SPIN-OFF บทที่ 49
“ขอโทษนะคะ แคลอฮัน?”
ชาห์นโบกมือเบาๆ ตรงหน้าแคลอฮันที่ยืนอย่างใจลอย
ตอนนั้นเอง ดวงตาสีเขียวสว่างของเขาถึงกลับมามีจุดรวมสายตาอีกครั้ง
“อ่า ครับ ข้าก็เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เองครับ”
“อย่างนั้นเหรอคะ? โล่งอกไปที งั้นพวกเราไปกินข้าวกันดีไหมคะ?”
“ไม่ได้จะกินที่นี่เหรอครับ?”
แคลอฮันเอียงศีรษะอย่างสงสัย
เขาไม่ค่อยเข้าใจที่นางบอกว่าจะพาไปที่อื่น ทั้งที่นัดเจอกันที่ร้านอาหารในช่วงมื้อเที่ยงอยู่แล้ว
เท่าที่เขารู้มา ‘คลื่นน้ำสีคราม’ แห่งนี้ เป็นร้านอาหารที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงพอสมควร
แต่ชาห์นกลับตอบอย่างหนักแน่น
“ข้ามีร้านเด็ดร้านอื่นที่ดูไว้อยู่ค่ะ พวกเราจะไปที่นั่นกัน”
“แต่ว่า…”
แคลอฮันสองจิตสองใจ เหลือบมองท่าทีของเจ้าของร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ ที่ยังคงยุ่งจนหัวหมุน
แต่ว่านั่นก็แค่ครู่เดียว
พอชาห์นดึงแขนเสื้อ แคลอฮันก็เริ่มเดินตามนางไปอย่างว่าง่าย
และสถานที่ที่พวกเขาเดินทางมาถึง ก็คือตรอกที่อยู่ห่างไกลจากย่านที่มีผู้คนพลุกพล่านอย่างยิ่ง
ในตรอกที่รอบข้างมีแต่บ้านเรือน มีร้านอาหารเล็กๆ เปิดอยู่เพียงร้านเดียว
แต่น่าแปลกที่ร้านอาหารเก่าๆ ที่มองเพียงแวบเดียวก็ดูเหมือนเปิดกิจการอยู่ตรงนั้นมานานแล้วนั้น กลับคึกคักไม่แพ้ ‘คลื่นน้ำสีคราม’ เลย
“อ่า หิวจังเลย พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะค่ะ!”
ชาห์นปล่อยมือออกจากชายเสื้อของแคลอฮันที่จับมาตลอดทางแล้วกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในก่อน
หลังจากหลุบตามองแขนเสื้อที่ชาห์นจับมาตลอดจนถึงเมื่อครู่นี้นิ่งๆ ตอนนั้นเองแคลอฮันก็เริ่มสังเกตรอบข้าง
‘มีสถานที่แบบนี้อยู่ในลอมบาร์เดียด้วยเหรอ?’
หลังจากอายุครบกำหนดที่สามารถออกนอกคฤหาสน์ได้ แคลอฮันก็มักจะออกมาเดินเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่เสมอประหนึ่งว่าเมืองลอมบาร์เดียเป็นลานหน้าบ้าน
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนเองรู้จักสถานที่ขึ้นชื่อทั้งหมดในเมืองอย่างชัดเจนแล้ว
แต่สถานที่ที่ต้องเข้าซอยเล็กซอยน้อยกว่าจะมาถึงแห่งนี้ กลับเป็นสถานที่ที่แม้แต่เขาก็ยังเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
ไม่รู้เป็นเพราะกลิ่นหอมน่าอร่อยที่ลอยออกมาจากข้างใน หรือเป็นเพราะความจริงที่ว่าเขาได้ค้นพบสถานที่ใหม่ๆ ในลอมบาร์เดีย
แคลอฮันจึงเดินเข้าไปด้านในด้วยหัวใจที่รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน
“ตรงนี้ค่ะ แคลอฮัน!”
ชาห์นเข้ามาจับจองที่นั่งใกล้หน้าต่างตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ นางโบกมือไหวๆ ให้เขา
“ข้าสั่งอาหารให้หมดแล้วค่ะ ถ้ามาร้านนี้ต้องกินสตูนะคะ”
แคลอฮันจ้องไปบนโต๊ะแล้วเอาแต่พยักหน้า เพราะไม่อาจมองหน้าชาห์นที่ยิ้มอย่างสดใสได้ตรงๆ
“ไม่ทราบว่าเคยมาที่นี่หรือเปล่าคะ”
“ไม่ครับ ข้าเพิ่งเคยมาที่ตรอกนี้ครั้งแรกเลย”
สำเร็จ!
ชาห์นไม่ปิดบังสีหน้าดีใจพลางกล่าวต่อว่า
“ข้าสืบมาพอสมควรเพื่อตามหาร้านอร่อยเลยนะคะ จริงอยู่ที่อาหารของร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ อร่อยมาก แต่ข้าก็ไม่อยากใช้เวลาอยู่ในที่ทำงานของตัวเองแม้แต่วันหยุดหรอกนะคะ”
“ที่ทำงาน…เหรอครับ?”
“อ๋อ ข้ายังไม่เคยเล่าให้ฟังสินะคะ ข้าทำงานอยู่ที่ร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ ค่ะ นอนพักอยู่ที่นั่นด้วยนะคะ! ที่จริงแล้วข้าเพิ่งจะมาถึงลอมบาร์เดียได้ไม่นาน เพราะงั้นก็ยังไม่มีที่พักเป็นหลักเป็นแหล่งเลยน่ะค่ะ”
ดวงตาทั้งสองข้างที่มองไปยังอาหารของโต๊ะข้างๆ ที่ถูกยกมาเสิร์ฟในขณะที่กล่าวเช่นนั้นเปล่งประกายงดงาม
“แล้วนี่ก็เป็นมื้ออาหารมื้อแรกที่ข้าได้มากินกับเพื่อนทั้งที จะให้พาไปที่ไหนส่งๆ ก็ไม่ได้จริงไหมคะ”
“อ่า…”
แคลอฮันกะพริบตาทั้งสองข้างเมื่อได้ยินคำพูดหยอกล้อของชาห์น
จากนั้นก็ตอบกลับเงียบๆ
“ถ้าเป็นชาห์นละก็ น่าจะหาเพื่อนที่มากินข้าวด้วยกันแบบนี้ได้ไม่ยากนะครับ ไม่เห็นต้องเป็นข้าเลย”
ถึงแม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สองที่เราได้พบหน้ากัน แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีว่านางเป็นคนที่สดใสและมีเสน่ห์ดึงดูดมากเพียงใด
ในตอนนี้อาจจะยังไม่มีใครในลอมบาร์เดียรับรู้ แต่เขาเชื่อว่าอีกไม่นานคนอื่นๆ ก็จะต้องค้นพบข้อดีของชาห์นได้เหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนางแท้ๆ แต่แคลอฮันกลับเผลอขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ
แต่ชาห์นแยกแยะสีหน้าที่ต่างกันของเขาได้จึงเอ่ยถามอย่างระวัง
“คือว่า…ข้าทำให้แคลอฮันรำคาญหรือเปล่าคะ?”
“ครับ? ไม่ใช่ครับ! ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ!”
ไม่รู้ว่าเขาตกใจมากเพียงใด ช้อนส้อมที่วางอยู่บนโต๊ะถึงกับส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเพราะการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเลยนะครับ พอดีข้าแค่รู้สึกว่าชาห์นเป็นคนดี ก็เลยคิดว่าอีกไม่นานก็คงจะมีเพื่อนเยอะแยะแล้ว…”
แคลอฮันรีบร้อนอธิบาย ใบหน้าที่แข็งทื่อไปครู่หนึ่งของชาห์นถึงได้กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง
“โล่งอกไปที…”
ชาห์นลูบหน้าอก
แม้ภายนอกนางจะไม่ได้แสดงออก แต่ที่จริงแล้วนางประหม่าอย่างยิ่ง
ใครๆ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ
นี่เป็นโอกาสที่ได้มาจากการที่นางตื๊อเขาหลังจากขอเป็นเพื่อนก็จริง แต่แคลอฮันไม่ได้เป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆ
เขาเป็นถึงสามีในอนาคต
ไม่ว่าอนาคตในวันข้างหน้ากับเขาจะเป็นเช่นไรก็ตาม ชาห์นก็อยากเรียนรู้เกี่ยวกับแคลอฮันอย่างราบรื่น
และในตอนที่เห็นภาพลักษณ์ต่างๆ ที่เขาแสดงออกมาจนถึงตอนนี้ ชาห์นก็พบว่าสามีในอนาคตของนางไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ
ความเงียบงันสั้นๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ สิ้นสุดลงเมื่อสตูที่มีไอร้อนลอยฟุ้งสองถ้วยถูกวางลงบนโต๊ะ
แคลอฮันถือช้อนขึ้นมาลองชิมอย่างระมัดระวัง
“เป็นยังไงบ้างคะ?”
“อร่อยครับ อร่อยจริงๆ”
สตูแบบที่ให้เนื้อสัตว์เยอะเป็นสตูแบบที่แคลอฮันชอบพอดี
“ใช่ไหมล่ะคะ? เดี๋ยวกินอันนี้เสร็จแล้ว เราต้องกินของหวานต่อด้วยนะคะ”
“มีของหวานขายด้วยเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ แถมพายแอปเปิลยังอร่อยมากด้วยนะคะ มันเป็นของหวานที่แคลอฮันชอบใช่ไหมล่ะ พายแอปเปิลที่เปรี้ยวนิดๆ หวานหน่อยๆ น่ะค่ะ”
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะชอบมันก็เถอะนะ แต่การได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขาด้วยตาตัวเองมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอยู่ดี
ในขณะที่ชาห์นกำลังจะตักสตูช้อนแรกขึ้นมาอย่างสบายใจนั่นเอง
“รู้เรื่องนั้น…ได้ยังไงกันครับ”
“อะไรเหรอคะ?”
“เรื่องที่ข้าชอบพายแอปเปิลน่ะครับ”
อ๊ะ พลาดแล้ว
แถมยังพลาดอย่างรุนแรงเสียด้วย
พอดีข้าเคยเห็นท่านกินพายแอปเปิลคนเดียวหลายชิ้นในฝันบอกเหตุน่ะค่ะ
จะพูดไปแบบนั้นก็ไม่ได้
เหงื่อเย็นไหลบนแผ่นหลังเป็นสาย
อาจเพราะนางตกตะลึงอย่างรุนแรง สมองจึงแข็งทื่อไปซะแล้ว
สุดท้ายชาห์นก็พูดอะไรเรื่อยเปื่อยออกมาตามใจนึกเป็นการกลบเกลื่อน
“มะ ไม่รู้ทำไมข้าถึงคิดแบบนั้นขึ้นมาน่ะค่ะ น่าจะเพราะแคลอฮันมีภาพลักษณ์ที่ดูน่าจะชอบพายแอปเปิลมั้งคะ”
“ข้ามีหน้าตาที่…น่าจะชอบพายแอปเปิลงั้นเหรอครับ?”
“ก็ ก็ส่วนใหญ่คนที่ผิวขาว หน้าตาดีแล้วก็น่ารัก มักจะชอบกินพายแอปเปิลกันนี่คะ”
พูดอะไรของเธอกันเนี่ย
แม้ปากจะยังพูดอยู่ แต่สมองมึนงงไปแล้ว
เขาจะต้องคิดว่าข้าเป็นคนที่พูดอะไรประหลาดมากแน่ๆ
ลองหัวเราะออกไปเสียงดังเหมือนแค่หยอกเล่นจะยังทันไหมนะ
ขณะที่ชาห์นกำลังกังวลเช่นนั้นอยู่นั่นเอง
“อุ๊บส์”
นางก็ต้องเงยหน้าขึ้นเพราะเสียงที่ดังขึ้นเบาๆ ตรงหน้า
“…แคลอฮัน?”
แคลอฮันกำลังหัวเราะ
เขาใช้มือข้างหนึ่งปิดปากไว้ หัวไหล่ขยับขึ้นลงเบาๆ เพราะกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ “หน้าตาน่าจะชอบพายแอปเปิลอย่างนั้นหรือ คำพูดแบบนั้นมีที่ไหนกันครับ”
ดวงตากลมโตคู่นั้นที่หางตาตกลงด้านล่างเล็กน้อยยิ้มจนเป็นเส้นโค้ง ใบหน้าที่ดูซีดเซียวเล็กน้อยอยู่เสมอก็กลับมามีสีเลือดฝาดอีกครั้ง
รอยยิ้มนั้นราวกับมีแสงส่องประกายระยิบระยับออกมา
ชาห์นจ้องใบหน้ายิ้มแย้มของเขาอยู่ครู่หนึ่ง
‘ตอนนี้ค่อยวางใจได้หน่อย’
แม้จะรู้สึกใจเต้นเพราะได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของสามีในอนาคตผู้หล่อเหลา แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือนางรู้สึกโล่งใจ
ในอนาคตที่นางมองเห็นในชั่วขณะหนึ่ง แคลอฮันเป็นคนที่ยิ้มเก่ง
โดยเฉพาะในตอนที่อยู่ต่อหน้านาง เขาก็จะยิ่งเป็นเช่นนั้น
ชาห์นวางช้อนที่ถืออยู่ในมือลง แล้วจับมือของแคลอฮันแน่น
เป็นการกระทำที่ค่อนข้างหุนหันไม่น้อย
“…ชาห์น?”
“ต่อจากนี้ไป ข้าจะทำให้ท่านได้ยิ้มเยอะๆ เองนะ แคลอฮัน”
ให้ท่านกลายเป็นคนที่เหมาะสมกับรอยยิ้มมากกว่าความเศร้า
“อ๊ะ อาหารเย็นหมดแล้วค่ะ เรามารีบกินกันเถอะค่ะ”
ชาห์นตบหลังมือของแคลอฮันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตักสตูขึ้นมากินคำใหญ่
แค่ก
นางเงยหน้าขึ้นมองเพราะได้ยินเสียงไอเบาๆ ใบหน้าของแคลอฮันแดงเล็กน้อย
“สตู…เผ็ดนิดหน่อยนะครับเนี่ย”
เขาก้มศีรษะลงพลางกล่าวเสียงเบา
***
แคลอฮันก้าวขึ้นรถม้าที่มารอรับเขาตามเวลาที่นัดไว้
ทั้งที่เป็นถนนกลับบ้านที่แสนคุ้นเคย แต่ในวันนี้กลับให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม
ไม่รู้ว่าเพราะได้เดินเที่ยวในลอมบาร์เดีย พูดคุยและหัวเราะกับชาห์นมาตลอดทั้งวันหรือไม่ เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่แม้จะใช้เวลาด้วยกันมาตลอดทั้งวัน ก่อนแยกกัน ทั้งคู่ก็ยังนัดเจอกันอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้
พอนึกถึงภาพที่ชาห์นโบกมือให้ตนเองอย่างแรงตรงหน้าร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ เมื่อสักครู่นี้ รอยยิ้มก็พลันกระจายไปทั่วใบหน้าของแคลอฮัน
แต่ว่านั่นก็แค่ครู่เดียว
ไม่นานนักเขาตกอยู่ในความกลัดกลุ้มใจขึ้นมาอย่างรุนแรง
“ก็พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่นา”
“พรุ่งนี้เจอกันใหม่นะ เพื่อน!”
“เพื่อน…”
เขาผงะไปแทบทุกครั้งที่ชาห์นพูดคำคำนั้นออกมา
“ดูเหมือนว่าข้า…”
จะชอบชาห์นเข้าแล้วละ
จิตใจพลันล่องลอยไปอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนอดีตที่เขาเคยใจสั่นให้กับหนังสือหรือภาพวาดดีๆ มากกว่าเพศตรงข้ามกลายเป็นเรื่องน่าขัน
“…ชาห์น”
แคลอฮันเปล่งเสียงเรียกชื่อของนางภายในรถม้าที่เงียบสงัด
ตึกตัก ตึกตัก
หัวใจที่เริ่มเต้นตึกตักอีกครั้งเพียงเพราะเรื่องแค่นั้นกำลังบอกเขา
ว่าอย่างน้อยสำหรับเขา นางไม่อาจเป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆ ได้
แคลอฮันเปิดหน้าต่างเพื่อทำให้ใบหน้าที่ร้อนผ่าวเย็นลงพลางพึมพำออกมาอย่างระวัง
“ข้าขอโลภอีกสักหน่อย…ได้ไหมนะ”
จบประโยคก็มีเสียงทอดถอนใจเบาๆ ดังขึ้นมาทันที
แต่ก็ใช่ว่าเขาไม่มีความหวังเลยเสียทีเดียว
เพราะเรามีช่วงเวลาที่สนุกสนานจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน และพรุ่งนี้เรายังตกลงว่าจะเจอกันอีกครั้งตอนที่ชาห์นเลิกงานด้วย
แคลอฮันถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะที่แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ตอนนี้เริ่มมีดวงดาราปรากฏให้เห็นทีละดวง
ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน
“ถึงแล้วขอรับ”
รถม้าจอดตรงหน้าคฤหาสน์พร้อมกับเสียงแจ้งให้ทราบของสารถี
แคลอฮันพาขาที่ปวดตึงเล็กน้อยเพราะเดินมาตลอดทั้งวันมุ่งหน้ากลับไปยังห้องนอน
“แคลอฮัน”
จนกระทั่งมีเสียงทุ้มต่ำและเข้มงวดเอ่ยเรียกเขา
“เจ้าไปไหนมาทั้งวัน”
เป็นรูลลัก ลอมบาร์เดีย บิดาของเขาเอง