เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 4
SPIN-OFF บทที่ 4
ลมหายใจของเฟเรสตกลงเหนือผิวหนังที่เผยออกนอกร่มผ้า
ข้าลอบกัดริมฝีปากล่างโดยที่เฟเรสไม่รู้ ก่อนหมุนตัวกลับพลางกล่าวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เฟเรส เจ้าพูดออกมาตรงๆ นะ เจ้าชอบแกล้งให้ข้าตกใจใช่ไหม?”
“ถูกจับได้แล้วแฮะ”
เฟเรสหัวเราะคิกคักเสียงเบา
จักรพรรดิผู้สง่างามที่เห็นในห้องประชุมใหญ่เมื่อครู่ก่อนคนนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ
บนใบหน้าที่ยิ้มบางๆ มีกระทั่งความความซุกซนปรากฏขึ้น
ข้ากุมแก้มของเขาแล้วเอ่ย “เฟเรส”
ค่อยยังชั่วจริงๆ ที่เจ้ายังสามารถยิ้มแบบนี้ได้
“เมื่อครู่ในห้องประชุม ทำไมเจ้าถึงมีสีหน้าแบบนั้นล่ะ?”
“เอ่อ…” สีหน้าของเฟเรสพลันบึ้งตึ้งขึ้นทันทีที่ข้าเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว สีหน้านี้แหละ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ?”
“ก็ที่นิ้วมันว่างอยู่” ปลายนิ้วที่หยาบกร้านและแข็งเล็กน้อยของเฟเรสลูบไล้นิ้วนางของข้า “แหวนหมั้น ไปไหนแล้ว?”
“อ้า!” ตอนนี้เองถึงนึกขึ้นมาได้ แหวนเพชรสีแดงที่ควรจะอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายนั้นไม่อยู่แล้ว
“นะ นั่นสินะ?”
“…ทำหายเหรอ?”
“เปล่านะ หายที่ไหนล่ะ แค่เมื่อเช้าตอนอาบน้ำข้าถอดออกครู่หนึ่ง แล้วลืมใส่มันอีกครั้งเท่านั้นเอง”
อันที่จริงก็จำไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้าก็กุเรื่องให้ฟังขึ้นไปก่อน
ระหว่างนั้นภายในหัวก็หมุนอย่างวุ่นวาย
ข้าเอาแหวนไปวางไว้ที่ไหนนะ
“ไม่เป็นไร ทำหายก็ไม่เป็นไร” ราวกับอ่านความในใจของข้าออก เฟเรสจุมพิตสั้นๆ ลงบนนิ้วนางข้างซ้ายที่ว่างเปล่าของข้าพลางกล่าวเสียงทุ้ม “เพราะข้าจะมอบวงที่เหมือนกันให้อีกครั้งเอง อีกร้อยวงก็ได้”
“…ไม่ได้ทำหาย บอกว่าอยู่ที่บ้านไง”
“งั้นก็โล่งอกไปทีนะ”
แม้จะกล่าวเหมือนไม่แยแส แต่ใบหน้าของเฟเรสก็ยังคงบึ้งตึงเช่นเดิม
“แม้ว่าข้าจะสวมแหวนที่เทียมอบให้อยู่ตลอดก็เถอะ”
เฟเรสกล่าวพลางยกแหวนมรกตที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของตนเองขึ้นมาให้ดู
มันเป็นของที่ข้ามอบให้เป็นของขวัญหลังจากเขาบอกว่าระยะเวลาหมั้นยาวนานถึงสองปี ดังนั้นระหว่างนั้นก็ควรมีหลักฐานที่แสดงถึงคำมั่นสัญญาเก็บเอาไว้
ข้านึกว่าเขาแค่อยากได้อะไรบางอย่าง แต่เขากลับหยิบมรกตเขียวขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง
โดยให้เหตุผลว่ามันเป็นสีที่ทำให้นึกถึงดวงตาของข้า
ดังนั้นข้าจึงไหว้วานให้โรงหัตถกรรมของคุณปู่โครอิลลี่ช่วยทำแหวนจากทองคำขาวและมรกตให้
และนับตั้งแต่วันที่ได้รับมันไป ก็ไม่เคยมีวันที่แหวนมรกตออกห่างจากนิ้วนางข้างซ้ายของเฟเรสเลย
“…ขอโทษ” คนทำผิดจะแก้ตัวอะไรได้อีกเล่า ข้าจับมือเฟเรสแน่นพลางกล่าวออกไป
“อะแฮ่ม”
…แปลกๆ นะ?
ทันทีที่เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเฟเรสกำลังใช้มือที่กำไว้หลวมๆ ปิดปากอยู่
“เจ้า…อีกแล้ว!”
อ๊า หลอกกันอีกแล้ว!
“เลิกแกล้งได้แล้ว! ไปเรียนรู้เรื่องไม่ดีมาจากไหน!”
“ขอโทษนะ เทียน่ารักเกินไปจนข้าเผลอน่ะสิ”
“ใคร ใครเป็นคนสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า! พวกสหายจากอคาเดมี่อีกแล้วใช่ไหม? ริกนิเต้ รูมันสินะ!”
“ฮ่าฮ่า” เฟเรสมองข้าที่ส่งเสียงดังออกมาด้วยความโกรธ แล้วจึงหัวเราะออกมาดังลั่น
จากนั้นก็ช้อนตัวข้าขึ้นอย่างกะทันหันแล้วเดินไปอย่างเนิบๆ
“ทะ ทำอะไร!”
ข้ายกแขนโอบรอบคอของเขาด้วยความตกใจ และที่ที่ข้านั่งลงหลังจากนั้นไม่นานก็คือบนโซฟาตัวนุ่ม
“เก้าอี้ในห้องประชุมใหญ่มันไม่สบายใช่ไหมล่ะ”
เฟเรสปรับระดับสายตาให้เท่ากับข้าที่นั่งอยู่แล้วคลี่ยิ้มอย่างสดใส
“ก็ใช่อยู่หรอก แต่เจ้ารู้เรื่องนั้นได้ยังไง?”
เก้าอี้ที่เฟเรสนั่งในห้องประชุมใหญ่เป็นเก้าอี้ที่นุ่มมาก
สมัยเป็นรัชทายาทก็เป็นเช่นนั้น ยิ่งในตอนนี้ที่เป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรแลมบลูแล้วก็ยิ่งนุ่มขึ้นไปอีก
คนแบบนั้นไม่มีทางได้นั่งเก้าอี้แข็งๆ ที่เหล่าขุนนางได้นั่งนี่นะ
และความคิดที่แวบขึ้นมาในหัวก็ทำให้ข้าเอ่ยถามออกไปอย่างไม่มั่นใจ
“เจ้า คงไม่ใช่ว่าไปลองนั่งเก้าอี้ของข้ามาหรอกนะ?”
“…” เฟเรสหลบตาของข้าแทนคำตอบ
เป็นใบหน้าที่เขาชอบทำในเวลาลำบากใจที่จะตอบคำถามของข้า
“ไปนั่งที่นั่งของข้าทำไมล่ะ?”
“…ข้าสงสัยว่าภาพที่เทียเห็นเป็นเช่นไร นานๆ ทีก็ลองไปนั่งดู”
“นานๆ ที?”
“ตอนที่คิดถึง นานๆ ที”
‘นานๆ ที’ ที่ว่านี่ดูเหมือนจะไม่ใช่นานๆ ทีนะ
“ก็ข้าไปหาเจ้าทุกครั้งที่คิดถึงไม่ได้นี่”
“อา…:”
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
เฟเรสเป็นจักรพรรดิ ส่วนข้าคือเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย
ดังนั้น พวกเราจึงไม่สามารถพบเจอกันได้บ่อยๆ อย่างคู่รักคู่อื่น
ข้าข่มความรู้สึกอยากถอนหายใจลงพลางกล่าว
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สงสัยไปถึงเรื่องนั้นมัน…น่าอายนะ”
พอข้ากล่าวต่อเสียงเบา เฟเรสก็ยื่นมือออกมาทันที
จากนั้นทัดผมของข้าที่พลิ้วอยู่ด้านข้างไว้หลังหูแล้วกล่าวขึ้นว่า
“ข้าสงสัยทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้า ตอนเช้าจะได้กินสตอร์เบอร์รี่ที่ชอบอย่างเต็มอิ่มหรือไม่ ตอนกลางคืนจะฝันเช่นไร”
เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้ความประหม่าลดน้อยลง ขณะเดียวกับที่หัวใจค่อยๆ เต้นแรงขึ้น
“วันนี้ทั้งวันได้พบใครบ้าง คิดเรื่องอะไรบ้าง และ…”
นิ้วมือของเฟเรสที่เขี่ยติ่งหูของข้า สอดเข้ามาระหว่างต้นคอและเส้นผมอย่างแผ่วเบา
“คิดเรื่องของข้าบ้างหรือไม่” ได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างชิดใกล้ “สงสัยว่าเทียจะคิดถึงข้าเช่นกันไหม”
ริมฝีปากขยับเข้ามาใกล้ในชั่วพริบตา
สัมผัสที่ผสมผสานไปด้วยลมหายใจเข้ามาพร้อมกับความร้อนของเฟเรสที่ส่งผ่านริมฝีปากนุ่ม
“เฮือก”
ทันทีที่หายใจหอบแรงจนไม่อาจกลั้นได้อีกต่อไป เฟเรสก็ลุกขึ้นพรวดและขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้น
ร่างกายของข้าฝังลึกลงไปกับพนักพิงของโซฟาโดยไม่รู้ตัว ศีรษะแหงนขึ้นด้านบนอย่างเต็มที่
เรื่องราวภายนอกที่ทำให้สมองยุ่งเหยิงพลันสลายหายไปทั้งหมด โลกของข้าถูกเติมเต็มด้วยเฟเรสเพียงผู้เดียว
“เทีย”
ทุกชั่วขณะสั้นๆ ที่ริมฝีปากของเราผละออกจากกัน เฟเรสจะเอ่ยกระซิบชื่อของข้าไม่หยุด
อ่า…จริงๆ เลย
ข้ารั้งแขนที่โอบรอบคอของเขาเข้ามาใกล้ขึ้น
ทั้งที่ตอนนี้น่าจะชินได้แล้วแท้ๆ
แต่ทุกครั้งที่เฟเรสมีสีหน้าแบบชายหนุ่มเช่นนี้ ข้าก็ยังไม่คุ้นเคยกับเขาเสียที
การจูบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ช่องว่างระหว่างร่างกายของพวกเราลดน้อยลงเรื่อยๆ
อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงขึ้น พานให้รู้สึกว่าชุดเดรสเกะกะจนแทบทนไม่ไหว
อ่า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป
ข้าจับไหล่เฟเรสแน่นพลางพูดอย่างยากลำบากผ่านช่องว่างระหว่างริมฝีปากที่ไม่ยอมห่างออกจากข้า
“เฟเรส”
เพียงแค่เอ่ยเรียกชื่อเท่านั้น เฟเรสก็หยุดการเคลื่อนไหวราวกับฟังความหมายในนั้นเข้าใจ
แต่ก็เพียงเท่านั้น ระยะห่างราวกับจะแคบเข้ามาอีกครั้ง
เวลานี้ เขาหายใจออกมาอย่างร้อนรุ่ม
ดูจากการที่ชะงักอยู่หลายครั้ง ส่วนของเหตุผลและสัญชาตญาณคงกำลังสู้กันอย่างดุเดือด
“อีกกี่เดือน…พวกเราถึงจะได้แต่งงานกันนะ?”
เฟเรสเอ่ยถามข้าด้วยดวงตาที่ขอบตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
“ไม่ได้…เจ้าก็รู้นี่ว่าทำไม่ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกเทีย ต้องมีวิธีแน่ พวกเรามักจะหาวิธีได้เสมอนี่”
ดวงตาที่ร้อนผ่าวจนแดงก่ำราวกับก้อนถ่านจ้องบนใบหน้าของข้าทุกซอกทุกมุมอย่างโลมเลีย
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ”
เฮ้อ ตอบตกลงไปดีไหมนะ
ข้าลูบคลำชายเสื้อของเฟเรสที่ยังกำอยู่ในมือพลางกัดริมฝีปากแน่น
ทั้งเฟเรสและข้าต่างก็ต้องการแบบนี้แท้ๆ
แต่ในท้ายที่สุด ส่วนของเหตุผลก็ปักธงลงไปเป็นสิ่งสุดท้าย
ข้าแนบหน้าผากของข้ากับหน้าผากของเฟเรสพลางกล่าว
“เครย์นียังอยู่ระหว่างการท่องเที่ยวนี่ เฟเรส”
“เฮ้อ” ท้ายที่สุดเฟเรสที่หายใจออกมายาวๆ ก็พึมพำออกมาผ่านฟันที่ขบกันแน่น “เครย์นี”
ในที่สุดเมื่อปีที่แล้วเครย์นีก็เรียนจบก่อนกำหนด ด้วยคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของสาขาศิลปศาสตร์
เพราะแต่เดิมการแต่งงานของข้ากับเฟเรสนั้น ถูกถ่วงเวลาเอาไว้เพื่อรอจนกว่าเครย์นีผู้ที่จะสามารถช่วยงานเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียได้จะจบการศึกษา
ข้าไม่อาจลืมสีหน้าชื่นบานของเฟเรสหลังจากได้ยินข่าวนั้นได้เลย
ทว่าหลังจากสองจิตสองใจ เครย์นีก็บอกว่าเขาอยากไปท่องเที่ยวกับสหายจากอคาเดมี่ก่อนหนึ่งปี
ในฐานะที่ข้ารู้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เครย์นีผู้กล่าวว่าจะตอบแทนความคาดหวังของข้าตั้งใจเรียนมากเพียงใด ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับฟังคำขอนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นหากเริ่มทำงานเพื่อลอมบาร์เดียแล้ว ก็อย่าคิดฝันว่าจะได้ไปเที่ยวอีกเลย
เครย์นีที่เริ่มต้นการท่องเที่ยวในอาณาจักรเช่นนั้น ช่วงนี้กำลังเดินทางไปภาคตะวันออกเพื่อให้ทันเข้าร่วมงานแต่งของลาลาเน่
เรียกได้ว่าหลังจากทราบข่าวว่าเฟเรสออกคำสั่งตามจับไปทั่วอาณาจักรเมื่อรู้ว่าตนจะเดินทางท่องเที่ยวเป็นระยะเวลาหนึ่งปี เขาก็แทบจะไม่เฉียดเข้ามาในภาคกลาง
ข้าใช้นิ้วลบร่องรอยของตนเองที่เหลืออยู่บนริมฝีปากเฟเรสพลางกล่าว
“ช่วงที่เดินทางไปตะวันออก พวกเราก็อยู่ด้วยกันบนเรือสำราญตลอดเถอะ เฟเรส”
“อ่า เรือสำราญ”
ทันทีที่ข้าเอ่ยปากถึงการเดินทางไปภาคตะวันออก ใบหน้าที่เหมือนปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกของเฟเรสถึงได้สดใสขึ้น
จากนั้นก็ขยับร่างกายที่คร่อมอยู่บนตัวข้าออก และนั่งฟุบลงด้านข้าง
แม้ด้านข้างที่ว่านั่น จะชิดจนแทบจะสัมผัสกันไม่ต่างจากเดิมก็ตาม
“ว่าแต่จะไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอเฟเรส?”
“…อะไรเหรอ?”
เขาสอดประสานนิ้วมือของตัวเองกับนิ้วมือของข้าอย่างซุกซนแล้วเอ่ยตอบอย่างเกียจคร้าน
“ถึงยังไงก็จะไม่อยู่ตั้งหลายสัปดาห์นี่นา ถึงข้าจะคิดว่าไม่น่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็เถอะ”
จักรพรรดิจะไม่เดินทางไปไหนตามอำเภอใจ
นั่นเพื่อความปลอดภัยด้วยก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็เพื่ออำนาจด้วยเช่นกัน
เพราะยังไงเก้าอี้ที่ปล่อยว่างก็ย่อมเกิดที่ว่างขึ้น
ใครบางคนอาจเผยความโลภออกมาต่อเก้าอี้ที่ว่างตัวนั้นก็ได้
ได้ยินคำถามของข้า เฟเรสก็กะพริบตาช้าๆ ก่อนเอ่ยตอบ
“ข้าไม่ใช่จักรพรรดิไม่ได้เรื่องที่แค่บอกว่าจะไม่อยู่ชั่วคราวแล้วก็เกิดปัญหาสักหน่อย ไม่เป็นไรหรอกเทีย”
อ๊ะ จริงสิ นั่นสินะ
ข้าตระหนักได้อีกครั้งว่าเฟเรสเป็นจักรพรรดิผู้ครอบครองอำนาจอันแข็งแกร่งมากเพียงใด ก่อนจะผงกศีรษะ
“นั่นสินะ ใช่แล้ว สุดยอดไปเลยนะเจ้าน่ะ”
ข้าลูบหัวเขาด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ
ทันใดนั้นเฟเรสก็ซบหน้าผากลงบนหัวไหล่ของข้าพลางยิ้มน้อยๆ ราวกับเด็กหนุ่มที่เขินอาย แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาข้าพลางกล่าวเสียงทุ้ม
“เจ้าเป็นคนทำให้ข้าเป็นเช่นนี้นี่นะ เทีย”