เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 50
SPIN-OFF บทที่ 50
“ทะ ท่านพ่อ”
ความรู้สึกหวั่นไหวใจเต้นเมื่อครู่จางหายไป ใบหน้าของแคลอฮันพลันแข็งทื่อ
เพียงแค่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่เฉยๆ เท่านั้น แต่บรรยากาศกดดันที่กระจายออกมาจากรูลลัก ลอมบาร์เดียโดยธรรมชาติได้กดทับรอบด้านลงจนอึดอัด
บทสรุปของการต่อสู้เพื่อสืบทอดตำแหน่งที่เกิดขึ้นอย่างยืดเยื้อ รูลลักผู้ที่ได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเมื่อหลายปีก่อนนั้น เป็นผู้ที่ได้รับการประเมินว่าเป็นผู้ที่ยึดครองอำนาจได้รอบคอบยิ่งกว่าเจ้าตระกูลคนไหนในรุ่นที่ผ่านมา
แคลอฮันซึ่งตอนนั้นมีอายุอยู่ในวัยประมาณสิบกว่าปียังจดจำสงครามภายในตระกูลที่เกิดขึ้นจนถึงก่อนพิธีแต่งตั้งเจ้าตระกูลได้อย่างแจ่มชัด
รวมถึงเรื่องที่รูลลัก ลอมบาร์เดียผู้เป็นบิดากำจัดพี่น้องแท้ๆ ซึ่งเป็นคู่แข่งได้สมบูรณ์แบบเพียงใดด้วย
แคลอฮันลมหายใจสะดุดไปครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงความทรงจำในช่วงเวลานั้น ก่อนค้อมศีรษะลงพลางตอบคำถามอย่างยากลำบาก
“ข้าออกไปตากลมมาครู่หนึ่งน่ะครับ”
“จนถึงป่านนี้งั้นเหรอ”
“พะ พอเดินอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์ที่งดงาม ข้าก็เลยไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านไปขนาดนี้แล้วครับ”
แม้จะไม่ได้อยู่ในวัยที่หูยังต้องฟังเสียงพร่ำบ่นเมื่อกลับบ้านช้าแล้ว แต่แคลอฮันก็ยังอดกลืนน้ำลายไม่ได้เมื่อเห็นสายตาของรูลลักที่จ้องมาอย่างทิ่มแทง
“แคลอฮัน”
“ครับ ท่านพ่อ”
“การใช้เวลาว่างชั่วครู่ในหมู่สามัญชนทั่วไปของลอมบาร์เดียนั้นเป็นเรื่องดี”
สะดุ้ง
ตอนนั้นเอง แคลอฮันถึงจำได้ว่าตนเองสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ของสามัญชนอยู่
รู้สึกเหมือนเหงื่อเย็นสายหนึ่งไหลลงมาจากแผ่นหลัง
“ในฐานะที่เจ้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของลอมบาร์เดีย การเรียนรู้ความเป็นอยู่ของพวกเขา และการมีน้ำใจต่อพวกเขานั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม”
รูลลักจับไหล่ของแคลอฮันอย่างแรง
“เจ้าต้องรู้จักแยกแยะคนที่ต้องปกครองกับคนที่สมควรทุ่มเทหัวใจให้ได้”
รู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้วสินะ
แคลอฮันยกศีรษะที่ก้มอยู่ขึ้นแล้วสบตากับบิดาตรงๆ
นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองดูธรรมดาในแวบแรกมีพลังบางอย่างที่ทำให้คนอื่นไม่อาจคัดค้าน
“แคลอฮัน พ่อเชื่อว่าเจ้าจะรู้จักวางตัวได้เป็นอย่างดี”
จงวางตัวให้ดีเสีย
แคลอฮันที่เข้าใจความหมายในคำพูดนั้นรีบแย้งขึ้นมา
“แต่ว่าท่านพ่อครับ…!”
ทว่ามือใหญ่ข้างนั้นก็จับลงมาบนไหล่อย่างแรงอีกครั้ง
หมายความว่าจะไม่คุยเกี่ยวกับหัวข้อนี้อีกต่อไปแล้ว
พอเห็นแคลอฮันหุบปากลงอีกครั้งในที่สุด ตอนนั้นเองรูลลักจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มกึ่งพอใจ
“ข้ามีอะไรจะให้เจ้า ตามข้ามา”
แผ่นหลังของบิดาที่หมุนตัวเดินจากไปก่อนดูใหญ่มากเหลือเกิน
มากจนไม่สามารถต่อต้านได้
แคลอฮันเดินตามหลังรูลลักเข้าไปในห้องทำงานของเจ้าตระกูล
อาจเพราะยังสะสางงานไม่เสร็จ ในห้องทำงานที่เปิดไฟสว่างจ้าจึงมีเอกสารวางกองอยู่ทั่ว
รูลลักเดินผ่านพวกมันอย่างเคยชินและนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นเปิดลิ้นชักแล้วหยิบเอกสารปึกหนึ่งที่หนาพอสมควรออกมา
“มันคืออะไรเหรอครับ?”
แคลอฮันรับมันมาอย่างลืมตัวพลางถามขึ้น
“เป็นสรุปเนื้อหางานของกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียในช่วงนี้ ถ้าเจ้าลองอ่านอย่างละเอียด ก็จะพอจับความรู้สึกได้ว่ากลุ่มการค้าดำเนินงานกันยังไง”
“แต่ท่านพ่อครับ ข้าบอกท่านไปแล้วนี่ว่าข้าไม่ต้องการทำงานในกลุ่มการค้า…”
“คนที่พูดว่าไม่ต้องการน่ะคือเจ้า หรือว่าเบเจอร์กันแน่”
แคลอฮันมัวแต่ตกใจกับคำถามที่ตรงไปตรงมาจนสุดท้ายก็ไม่ได้ตอบกลับไป
รูลลักมองบุตรชายคนเล็กด้วยสายตาเข้มงวดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
ในบรรดาบุตรทั้งสี่คนที่อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของเขา คนที่เขามองเห็นว่าน่าจะสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลได้มีเพียงชานาเนสบุตรคนแรกและแคลอฮันบุตรคนสุดท้องเท่านั้น
แต่ชานาเนสนั้น หลังจากแต่งงานก็เริ่มวางมือจากงานที่รับผิดชอบอยู่ไปทีละอย่างโดยให้เหตุผลว่าอยากให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นหลัก
สุดท้ายเขาจึงลองฝากความหวังไว้กับแคลอฮัน ตัวเลือกที่เหลือเพียงหนึ่งเดียว แต่ลูกคนนี้กลับจิตใจอ่อนไหวมากเหลือเกิน
ขอแค่ตัดสินใจจะทำ เขาก็มีความสามารถมากพอที่จะผลักไสเบเจอร์ผู้เป็นพี่ชายออกไปจากสงครามผู้สืบทอดได้ทันที แต่เจ้าตัวกลับเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องนั้น
รูกลักเคยคาดหวังว่าพอโตขึ้น นิสัยของเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งวันเวลาดำเนินผ่านไป แคลอฮันก็มีแต่จะยิ่งถดถอยลง
“ได้ยินว่าที่ผ่านมา เบเจอร์ไปหาเจ้าและทำตัวแย่ๆ ใส่ทุกวันเลยสินะ”
“อ่า รู้เรื่องนั้นด้วยเหรอครับ?”
“คิดว่าในลอมบาร์เดียแห่งนี้ มีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้ด้วยหรือไง?”
แคลอฮันพลันหน้าแดงขึ้นมาเมื่อได้ยินรูลลักย้อนถาม
เพราะความทรงจำตอนที่เขาเล่นละครอย่างเก้ๆ กังๆ ต่อหน้าบิดาเมื่อวานแล่นขึ้นมาอีกครั้ง
“มันไม่เหมือนกับครั้งก่อน รอบนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือกอีกแล้ว”
แคลอฮันเบิกตาทั้งสองข้างกว้าง
“เจ้าคงจะเข้าใจใช่ไหมว่าข้าหมายความว่าอะไร”
แคลอฮันพยักหน้าอย่างหนักอึ้ง
หากเขาถูกยึดสิทธิ์ในการเลือกไป หมายความว่าเบเจอร์จะไม่มีโอกาสให้เข้ามาแทรกแซงได้อีกแล้ว
สิ่งนั้นเป็นทั้งการบีบบังคับ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นความเอาใจใส่ที่มีต่อแคลอฮันด้วย
หลังจากมองบุตรชายคนเล็กที่ไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง รูลลักก็เริ่มทำงานของเจ้าตระกูลที่หยุดชะงักไปแล้วกล่าวขึ้นว่า
“เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าเตรียมใจพร้อมแล้วก็กลับมาหาข้าอีกครั้ง ข้าไม่สามารถให้เวลาเจ้าได้นานขนาดนั้นหรอกนะ”
***
“ความฝันนั้นคืออะไรกันแน่นะ”
ชาห์นเก็บโต๊ะที่ลูกค้าเพิ่งลุกออกไปพลางโคลงศีรษะไปมา
เมื่อคืนนางฝัน
ฝึนถึงอนาคตของแคลอฮัน
เนื้อหานั้นไม่มีอยู่ในฝันครั้งที่นางฝันอย่างยาวนานตอนอยู่ที่หมู่บ้าน
“หรือว่าช่วงที่ผ่านมา อนาคตจะเกิดความเปลี่ยนแปลงเหรอ”
แคลอฮันในความฝันกำลังทำงานอยู่
ภาพนั้นดูยุ่งวุ่นวายแต่ขณะเดียวกันก็ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง มองเพียงแวบเดียวก็เห็นว่าเขาถูกล้อมรอบไปด้วยบุคคลที่มีความสามารถ
เป็นอนาคตที่ต่างไปโดยสิ้นเชิงกับอนาคตที่นางเคยเห็นมาจนถึงตอนนี้
ตอนนั้นเองใครบางคนส่งก็ยิ้มให้ชาห์นพลางพูดขึ้นเสียงดัง
“ชาห์น วันนี้อาหารก็อร่อยมากเลยค่ะ!”
“ไว้เจอกันใหม่นะคะ!”
เป็นลูกค้าขาประจำที่มักแวะจะมาที่ร้านอาทิตย์จะหลายครั้ง
“เดินทางปลอดภัยนะคะ!”
ชาห์นยิ้มตอบพลางกล่าวลา จากนั้นนางก็กวาดสายตามองไปรอบๆ
วิ่งไปวิ่งมาวุ่นวายมาตลอดหลายชั่วโมง แต่พอพ้นช่วงมื้อเที่ยงไป ร้านก็เงียบเหงาขึ้นไม่น้อย
จากนั้นชาห์นก็เห็นแคลอฮันนั่งอยู่ริมหน้าต่างตรงมุมร้าน
“แคลอฮัน มาตั้งแต่เมื่อไรคะเนี่ย?”
“สักพักแล้วครับ ถึงเวลาพักของชาห์นแล้วใช่ไหม?”
แคลอฮันตอบพร้อมยิ้มบางๆ
ชาห์นพลันใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น ก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนแล้วนั่งลง
ผ่านมาสิบวันแล้วที่ชาห์นกับแคลอฮันเริ่มนัดเจอกันทุกวัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกวันเขาจะมาที่ร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ ในช่วงเวลาพักเที่ยงและเวลาเลิกงานของชาห์นเหมือนเคย รู้ตัวอีกทีทั้งสองคนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของกันและกันไปแล้ว
การได้เจอหน้าแคลอฮันทุกวันเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ไม่สบอารมณ์
“หืมม”
ชาห์นไม่ปิดบังความไม่พอใจ นางขมวดคิ้วชั่วครู่ ก่อนกวาดตามองไปรอบด้าน
เพราะหญิงสาวของโต๊ะที่ยังเหลืออยู่ในร้านจนถึงตอนนี้กำลังเหลือบมองมาที่แคลอฮันเป็นระยะ
“…”
ไม่รู้เพราะช่วงนี้มีเรื่องให้กลุ้มใจหรืออย่างไร แคลอฮันจึงมักจะมองเหม่อออกไปไกลๆ เหมือนเช่นตอนนี้
และท่าทางที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มนั่นก็ยิ่งดึงดูดสายตาของคนอื่นมากขึ้น
ชาห์นหรี่ตาลงและกล่าวออกไป
“แคลอฮัน จากนี้ไปท่านไม่ต้องมาที่นี่แล้วนะคะ”
“ชาห์น…?”
“ข้าว่าพวกเรานัดเจอกันข้างนอกดีกว่าค่ะ”
ทันใดนั้น นัยน์ตาสีเขียวอ่อนของแคลอฮันก็สั่นเทาด้วยความไม่สบายใจ
“ทำไมล่ะชาห์น? หรือว่าข้ามารบกวนชาห์นกันครับ? หรือชาห์นถูกต่อว่าเพราะข้าหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่เพราะอย่างนั้น”
แม้แต่คุณป้าเจ้าของร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ ก็ยังไม่รังเกียจที่จะเก็บโต๊ะโต๊ะหนึ่งไว้ให้แคลอฮันทุกวัน
ไม่สิ กลับชอบเสียด้วยซ้ำ
เพราะลูกค้าในร้านเยอะขึ้นก็เพราะเขา
“มีคนมาเพื่อดูแคลอฮันเยอะเกินไปแล้วค่ะ”
เขารู้กันหมดแล้วว่าท่านหล่อ
พอได้ยินคำพูดที่ชาห์นกล่าวเสริมเบาๆ ใบหน้าของแคลอฮันก็แดงก่ำในพริบตา
แต่ท่าทางแบบนั้นก็น่ารักอีก นางได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดของหญิงสาวดังขึ้นมาไกลๆ
‘จะไล่ลูกค้าออกไปก็ไม่ได้ซะด้วย’
ขณะที่ชาห์นกำลังคิดอย่างไม่พอใจอยู่นั่นเอง
“เรื่องนั้น…ข้าก็เหมือนกันนะครับ”
แคลอฮันจ้องชาห์นตรงๆ แล้วกล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“รู้บ้างไหมครับว่าวันวันหนึ่งมีผู้ชายตั้งกี่คนที่ไม่สามารถละสายตาไปจากชาห์นได้?”
“ขะ ข้าน่ะเหรอคะ?”
“ใช่ครับ พวกเขามัวแต่ตั้งใจมองชาห์นที่ขยันทำงาน จนไม่รู้แล้วว่ายัดสตูเข้าไปทางปากหรือจมูกกันแน่ ก็บางครั้งที่ชาห์นยิ้มออกมามันเหมือนมีแสงระยิบระยับเปล่งออกมาด้วยนี่นา…”
จู่ๆ แคลอฮันที่โพล่งความในใจออกมาเป็นชุดก็หยุดพูดไป
เขาเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่
ใบหน้าขาวผ่องดูเหมือนแอปเปิลสวยๆ ลูกหนึ่งขึ้นมาแล้ว
ชาห์นที่นั่งหน้าแดงก่ำไม่น้อยหน้ากันอยู่ตรงข้ามใช้มือพัดพั่บๆ พลางเอ่ยถามว่า
“ต่อให้ข้าห้ามไม่ให้มา ก็คงจะมาอยู่ดีสินะคะ?”
หงึก
แคลอฮันรีบร้อนพยักหน้า ทั้งที่ยังไม่กล้าแม้แต่จะสบตาตรงๆ
แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่แน่วแน่พอสมควร
“ถ้างั้นก็…สวมอะไรที่มันช่วยปิดหน้าหน่อยแล้วกันนะคะ อย่างเช่นหมวกหรือไม่ก็เสื้อคลุมพวกนั้น ดีไหมคะ?”
…หงึก
แม้จะตกลงแผนประนีประนอมกันเสร็จแล้ว แต่ใบหน้าที่แดงก่ำทั้งสองก็ยังไม่มีทีท่าจะลดลง
เพื่อน
เพราะสำหรับความสัมพันธ์ที่ผูกกันไว้ด้วยคำที่แสนคลุมเครือนั้น เพื่อให้ได้พบเจอกันทุกวัน บทสนทนาอย่างเช่นเมื่อสักครู่นี้ดูจะใจกล้าและล้ำเส้นไปสักหน่อย
“อะแฮ่ม ตรงนี้ค่อนข้างร้อน เราไปเดินเล่นลานหลังร้านกันไหมคะ”
“…ไปสิครับ”
แคลอฮันลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีหลังจากวางค่าอาหารลงบนโต๊ะอย่างลุกลี้ลุกลน
แม้ลานหลังร้านจะมีแขกและพนักงานของโรงแรมที่ดำเนินกิจการพร้อมกับร้านอาหารมาไม่บ่อยครั้งนั้นจะมีขนาดเล็ก แต่ก็เป็นพื้นที่ที่อบอุ่น มีแสงแดดส่องเข้ามาเป็นอย่างดี
“เป็นสถานที่ที่ทำให้รู้สึกสบายใจจังเลยนะครับ”
แคลอฮันกล่าวขึ้นมาหลังจากกวาดตามองรอบด้านรอบหนึ่ง
“ใข่ไหมคะ? ข้าก็อยากจะมีลานหลังบ้านแบบนี้เหมือนกันค่ะ อยากมีบ้านที่ปลูกต้นไม้กับดอกไม้เยอะๆ จนทำให้รู้สึกสบายใจและอบอุ่นน่ะค่ะ”
“…เป็นบ้านที่เหมาะกับชาห์นดีนะครับ”
ชาห์นยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำชมของแคลอฮัน ก่อนที่จู่ๆ จะปรบมือขึ้นมาเสียงดัง
“อ่า ดูสติข้าสิคะ!”
“มีอะไรเหรอชาห์น?”
“ข้าเป็นคนดูแลต้นไม้กับดอกไม้ที่นี่อยู่น่ะสิคะ แต่กลับลืมรดน้ำพวกมันเฉยเสียได้!”
ชาห์นรีบร้อนหาถังน้ำใบใหญ่แล้วเติมน้ำใส่ลงไป
และในขณะที่กำลังจะยกมันขึ้นมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“เดี๋ยวข้าถือให้เองครับ ต้องรดตรงไหนบ้างครับ?”
แคลอฮันดันมือของชาห์นออกอย่างนุ่มนวลพลางเอ่ยถาม
ถังน้ำที่แม้นางจะใช้สองมือยกขึ้นก็ยังเกินกำลังนั้น แคลอฮันกลับยกมันขึ้นได้อย่างง่ายดายด้วยมือข้างเดียว
ไร้ซึ่งวี่แววเหน็ดเหนื่อยใดๆ
“เอ่อ…เริ่มรดจากต้นไม้ตรงนั้นได้ค่ะ ให้ข้าไปด้วยดีไหมคะ?”
แต่แคลอฮันส่ายหน้า
“ข้าจัดการเองครับ ชาห์นแค่บอกมาก็พอว่าต้องรดมากเท่าไร”
“…”
ชาห์นแอบพัดหน้าอีกครั้งอยู่ด้านหลังแคลอฮันที่กำลังเต็มใจทำงาน
หลังจากรดน้ำให้ต้นไม้และดอกไม้เช่นนั้นแล้ว ชาห์นก็ชี้ไปที่กระถางดอกไม้ใบน้อยเป็นสิ่งสุดท้าย
แคลอฮันขยับเข้าไปมองกระถางใบนั้นที่ถูกวางอยู่ลำพังในบริเวณที่แดดส่องเข้ามาดีที่สุดในลานหลังร้าน
สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องไปยังใบไม้อ่อนๆ และดอกตูมเล็กๆ ที่ออกดอกขึ้นมา
“ดอกไม้นี้ชื่อว่าอะไรเหรอครับชาห์น?”
ได้ยินคำถามของแคลอฮัน ชาห์นก็รดน้ำให้พวกมันด้วยตัวเองพลางตอบกลับว่า
“บอมเนียค่ะ มันเรียกว่าดอกบอมเนียค่ะ