เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - SPIN-OFF บทที่ 52
SPIN-OFF บทที่ 52
ไม่อาจหายใจได้ตามต้องการ
หัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
แคลอฮันคิดด้วยสมองที่ทึมทื่อไปแล้ว
‘เราต้องเขยิบไปด้านหลัง’
แต่ร่างกายกลับไม่ฟังความคิดนั้น
รู้สึกเหมือนจิตวิญญาณของเขาถูกดวงตาสีเขียวตรงหน้าพรากไปแล้ว
อีกทั้งแคลอฮันยังตระหนักได้อย่างเลือนราง
ว่านางเองก็ไม่ได้หลบเลี่ยงเขา
ชาห์นทำเพียงนั่งมองแคลอฮันที่ขยับเข้ามาใกล้จนเสียมารยาทอย่างนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น
พรึ่บ
คล้ายว่าได้ยินเสียงขนตายาวๆ ของนางขยับ
แคลอฮันขยับเข้าไปหานางโดยไม่รู้ตัว
เขาอยากจูบนาง
ในหัวของเขามีเพียงความคิดนั้น
ยิ่งขยับเข้าไปใกล้นางการรับรู้ก็ยิ่งฉับไว เขารู้สึกได้กระทั่งลมหายใจที่นางสูดเข้าไปและปล่อยออกมา
ความหวานล้ำกำลังครอบงำเขา
แต่หลังจากที่เห็นอะไรบางอย่างในดวงตากระจ่างใสของนาง แคลอฮันก็หยุดชะงักไปทันที
มันคือภาพตัวเขาผู้ไร้ยางอายที่กำลังขยับเข้าใกล้หญิงสาวที่ยังไม่ได้ขอคบกันอย่างเป็นทางการ
“ขะ ขอโทษครับ…!”
แคลอฮันถอยหลังไปอย่างลนลาน
“พะ พอดีอากาศมันร้อนจนจู่ๆ ข้าก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา…”
ความทรงจำที่บอกว่าอากาศเย็นเพราะมีร่มเงาเมื่อครู่ก่อนหายไปจนเกลี้ยงแล้ว
มีแต่ความรู้สึกละอายใจ
แน่นอนว่าเขามีใจอยากจะสารภาพรักกับนาง
แต่เขารู้สึกอยากตีตัวเองแรงๆ ที่เผลอมีความคิดไม่ดีขึ้นมา ทั้งที่ยังไม่มีความกล้าพอที่จะสารภาพรักแท้ๆ แม้จะเพียงครู่เดียวก็ตาม
ท้ายที่สุด แคลอฮันก็ขยับห่างออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้และกล่าวขอโทษอีกครั้ง
“ขอโทษนะครับชาห์น”
พอเห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความหดหู่ของเขา ชาห์นก็คิด
‘ไม่ใช่ว่าจะจูบกัน…หรอกเหรอ?’
เห็นได้ชัดว่าบรรยากาศเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ
น่าเสียดาย
“ไม่เป็นไรค่ะ แคลอฮัน”
แค่วันนี้ยังไม่ใช่วันก็เท่านั้น
“มันก็เป็นแบบนั้นได้แหละค่ะ”
ดูเหมือนพ่อหนุ่มคนนี้จะยังไม่พร้อมสินะ
ถึงจะรู้สึกเสียดายนิดหน่อย แบบนิดหน่อยจริงๆ แต่ชาห์นก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง และยังถึงกับแสร้งทำเป็นห่วงแคลอฮันด้วยการช่วยพัดให้
“ทะ ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้างครับ?”
แคลอฮันพูดเปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นธรรมชาติจนน่าสงสาร
“ก็เหมือนเดิมทุกวันแหละค่ะ ไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ…อ๊ะ!”
จะว่าไปแล้ว นางมีข่าวที่ตั้งใจว่าจะบอกแคลอฮันอยู่เรื่องหนึ่งนี่นา
“ดูเหมือนเจ้าของร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ จะต้องเปลี่ยนคนแล้วละค่ะ”
“มาดามมาจีจะเลิกทำร้านอาหารกับที่พักงั้นเหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้คุณป้าก็อายุค่อนข้างมากแล้วด้วย พอมีคนต้องการซื้อปรากฏตัวขึ้นพอดี ท่านก็เลยว่าจะขายเลยน่ะค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง…”
“แต่ท่านบอกข้าว่ามันก็เหมือนกับการเปลี่ยนเจ้าของร้านเฉยๆ เท่านั้นเอง”
ชาห์นยิ้มออกมาอย่างขมขื่นในตอนท้ายของคำพูด
“แต่ข้าคงจะต้องคิดถึงท่านมากแน่ๆ เลยละค่ะ เพราะท่านเป็นคนแรกที่ยื่นมือมาช่วยข้า คนที่ไม่มีที่ไปเพราะเพิ่งมาถึงลอมบาร์เดียคนนี้อย่างไม่ลังเลเลยนี่นะ”
***
ชาห์นเดินอย่างเชื่องช้าหลังจากแยกกับแคลอฮัน
ระหว่างนั้นนางก็คิดไปด้วยว่ามีของขวัญอะไรที่เหมาะจะมอบให้คุณป้ามาจีบ้าง
และในตอนที่มาถึงหน้าร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ นางก็มองเห็นรถม้าคันใหญ่จอดอยู่ตรงนั้น
“รถม้าของลูกค้าเหรอ?”
แต่มันเป็นรถม้าที่ดูแพงเกินกว่าที่สามัญชนส่วนใหญ่ที่มาร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ จะใช้กัน
ร้านอาหารที่เงียบสงบเพราะเลยช่วงเวลาที่ยุ่งมาแล้วก็ดูไม่ชอบมาพากลต่างจากปกติ
ชาห์นเข้าไปข้างในและชะเง้อชะแง้มองไปรอบๆ ร่างของมาจีผู้เป็นเจ้าของพลันปรากฏเข้ามาในสายตา
“…คุณป้ามาจี?”
เจ้าของร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ ผู้สง่าผ่าเผยและพูดจาฉะฉานกับลูกค้าอยู่เสมอกำลังค้อมตัวพูดคุยกับใครบางคนอย่างนอบน้อม
‘…ใครกันนะ?’
ผู้ชายคนนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้ราวกับว่าคุยธุระกันเสร็จพอดี
เป็นชายหนุ่มที่มีเรือนผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีน้ำตาลและรูปโฉมที่ดูธรรมดา แต่กลับให้ความรู้สึกชั่วร้ายและเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น สิ่งที่สะดุดสายตากลับเป็นการแต่งตัวที่ราวกับตะโกนบอกว่าตนเองเป็นชนชั้นสูงตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า และท่าทางเย่อหยิ่งที่ราวกับว่าคนอื่นๆ ล้วนต่ำกว่าตนเอง
ทันทีที่ชายหนุ่มคนนั้นเข้ามาใกล้ ชาห์นที่ยังยืนอยู่ตรงประตูก็ทักทายเขาอย่างนอบน้อมเหมือนที่คุณป้ามาจีทำ
ปฏิบัติตามมารยาทของอาณาจักรที่นางได้เรียนรู้มาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
แต่นางสัมผัสได้ถึงสายตาที่ตกลงมาหลังศีรษะที่ก้มมองปลายเท้าอยู่
ตึก
การก้าวเดินของชายหนุ่มหยุดลงตรงหน้าชาห์น
และไม่ขยับไปจากที่ตรงนั้นอีกสักพักใหญ่
‘เขาคงมีเรื่องอยากจะถามข้าสินะ’
ชาห์นค่อยๆ ยืดตัวตรง
เวลาเดียวกับที่คิ้วสีน้ำตาลของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันคล้ายไม่พอใจ
“อ๊ะ”
ชาห์นหลุดอุทานออกไปโดยไม่รู้ตัว
เพราะใบหน้าของชายหนุ่มดูค้นตาชอบกล
เบเจอร์ ลอมบาร์เดีย
เขาคือเบเจอร์ พี่ชายคนโตของแคลอฮันไม่ผิดแน่
ชาห์นไม่หลบสายตาเบเจอร์
นางไม่อยากพ่ายแพ้ให้กับคนผู้นี้อย่างเด็ดขาด
“ถุย!”
สถานการณ์ที่ดำเนินไปราวกับทั้งสองคนกำลังประจันหน้ากันอยู่ชั่วครู่นั้น จบลงเมื่อเบเจอร์ถ่มน้ำลายใส่เท้าชาห์นและหมุนตัวจากไป
ตรงสถานที่ที่เบเจอร์ก้าวขึ้นรถม้าคันใหญ่ที่ตนเองนั่งมาจากไป เหลือทิ้งไว้แต่ความดูแคลนที่เขามีต่อชาห์น
“ชาห์น มาแล้วเหรอ”
“อ๊ะ คุณป้ามาจี”
ชาห์นฝืนยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มจนดูไม่เป็นธรรมชาติ
ฝ่ามืออันอบอุ่นของมาจีตบปุปุบนหัวไหล่ราวกับเข้าใจความรู้สึกของนาง
“ชาห์น ไหนๆ ก็ไม่มีลูกค้าแล้ว พวกเรามาดื่มชากันสักถ้วยดีไหม?”
ดื่มชาด้วยกันอย่างนั้นเหรอ
มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้งเลย แม้ว่าชาห์นจะเริ่มทำงานในร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ ที่มีงานต้องทำกองสูงเป็นภูเขาอยู่เสมอมาหลายเดือนแล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ตรงหน้าของชาห์นกับมาจีก็มีน้ำชาวางอยู่คนละถ้วย
แม้จะเป็นถ้วยที่หยาบกระด้าง แต่กลิ่นที่ลอยขึ้นมาสัมผัสปลายจมูกช่างหอมหวาน
มาจีจิบน้ำชาที่มีไอร้อนลอยฟุ้งแทนการพูดคุยอยู่หลายอึก ก่อนจะเปิดปากในที่สุด
“ที่จริงแล้วน่ะชาห์น สัญญาของร้านเราจะสิ้นสุดลงในวันนี้น่ะ”
“อ่า…”
น่าเสียดายเหลือเกิน
มันเป็นเรื่องที่สมควรจะร่วมยินดีด้วยเพราะคุณป้ามาจีได้เกษียณงานอย่างปลอดภัยแท้ๆ
แต่ชาห์นกลับไม่สามารถปิดบังความเสียดายได้
“แต่ตรงนี้จะมีอาคารอื่นถูกสร้างขึ้นแทนต่างจากที่ข้าเคยบอกเจ้าไว้ในคราวแรกแล้วละ”
“…คะ?”
“เขาบอกว่าจะรื้อตึกทิ้งทั้งหมดเลยน่ะ”
มือเหี่ยวย่นของคุณป้ามาจีลูบผ้ากันเปื้อนที่ถอดวางไว้อยู่บนโต๊ะ
พอเห็นมือหยาบข้างนั้น ชาห์นก็เข้าใจทันทีว่าคุณป้าต้องการจะพูดอะไร
“ดูเหมือนข้าคง…ต้องไปหางานที่อื่นแล้วสินะคะ”
ชาห์นสูญเสียที่ซุกหัวนอนและที่ทำงานไปพร้อมๆ กัน
“ข้ามันหน้าไม่อายเอง เขาบอกว่าจะให้ราคาที่ดีกว่าเดิม…ข้าก็เลยปฏิเสธไม่ได้ ขอโทษนะชาห์น”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณป้า”
ชาห์นจับมือของมาจีที่ยังคงวางอยู่บนผ้ากันเปื้อน
“คุณป้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเลยนะคะ”
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะตกลงทำการค้าที่ได้ผลตอบแทนดีกว่าเดิม
“ที่นี่เป็นที่ที่คุณป้าใช้เวลาทั้งชีวิตฟูมฟักมันขึ้นมานี่คะ อุตส่าห์ได้เงินที่เหมาะสมกับคุณค่าของมันทั้งที จะขอโทษข้าทำไมล่ะคะ”
ชาห์นบีบมือข้างที่จับกันแน่นขึ้น
“ขอบคุณนะคะ คุณป้า”
“ชาห์น…”
“เป็นเพราะคุณป้า ข้าก็เลยปรับตัวเข้ากับลอมบาร์เดียได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ ทั้งหมดก็เป็นเพราะคุณป้าทั้งนั้นเลยนะคะ”
ชาห์นจงใจคลี่ยิ้มอย่างสดใสเพื่อให้มาจีรู้สึกสบายใจขึ้นแม้จะนิดเดียวก็ตาม
“ส่วนที่พักกับที่ทำงาน อีกไม่นานก็คงหาได้แล้วล่ะค่ะ!”
“…ขอบคุณที่เข้าใจกันนะชาห์น”
มาจีลูบหลังมือของชาห์นเบาๆ
“ว่าแต่ข้าต้องออกจากร้านตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลยหรือเปล่าคะ”
“ตายจริง ไม่ใช่จ้ะ! จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง ยังไงก็ต้องคิดถึงขาประจำของเราด้วย เขาให้เวลาจัดการทุกอย่างให้เสร็จภายในสิบวันน่ะ”
“สิบวัน…”
เป็นเวลาที่ไม่เพียงพอสำหรับการหาที่พักและงานใหม่เอาเสียเลย
***
“ถึงคฤหาสน์แล้วขอรับ”
แคลอฮันพาร่างอันเหน็ดเหนื่อยลงจากรถม้าเมื่อได้ยินเสียงของสารถี
ลำพังแค่เตรียมงานเฉลิมฉลองยังไม่พอ หลายวันก่อนเขายังได้รับหน้าที่ให้ดูแลการขนส่งสินค้าที่จะใช้งานอภิเษกสมรสขององค์ชายรัชทายาทโยบาเนสด้วย แต่ละวันจึงผ่านไปอย่างไม่มีเวลาให้ลืมหูลืมตา
‘อยากรีบกลับไปนอนที่เตียงแล้ว’
ในหัวของแคลอฮันมีเพียงความคิดเดียว
แคลอฮันก้าวเข้าไปในโถงทางเดินที่มืดสนิทเพราะดึกมากแล้ว มีฝีเท้าเดินเข้ามาหาเขาเงียบๆ
“ท่านแคลอฮัน ท่านเบเจอร์เรียกหาขอรับ”
“…ท่านพี่เหรอ”
ถึงจะเหนื่อยจนเท้าลากแทบจะไปกับพื้น แต่ก็ช่วยไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าถ้าเขาเมินที่เบเจอร์เรียกหาจะต้องมีเรื่องน่ารำคาญเกิดขึ้นอีก
“…ไปเถอะ”
แคลอฮันมุ่งหน้าไปยังที่พักของเบเจอร์
“ทำงานจนดึกดื่นเลยนะ”
เบเจอร์กระแนะกระแหนแคลอฮันทันทีที่เขามาถึงห้องรับแขก
ช่วงนี้นับวันเป้าหมายของแคลอฮันชักจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าขี้ขลาดแคลอฮันผู้นั้นน่ะเหรอจะมาเป็นผู้สืบทอดของลอมบาร์เดีย
เป็นไปไม่ได้หรอกน่ะ
โชคดีที่เบเจอร์รู้วิธีที่จะถอนรากถอนโคนแคลอฮันในคราวเดียวได้
“ช่วงนี้คงจะยุ่งมากเลยสินะ?”
“ใช่ครับ ถึงยังไงงานของกลุ่มการค้าก็…”
“ใช่ๆ นั่นสินะ เพราะลำพังแค่งานของกลุ่มการค้าที่เกินความสามารถของเจ้ายังไม่พอ”
เบเจอร์เบ้ริมฝีปากบาง
“เจ้ายังถึงกับเล่นเป็นแฟนกับของต่ำๆ พรรค์นั้นที่ซุกไว้ที่โรงแรมด้วยนี่นะ”